ความร้อน
DESCRIPTION
ใบความรู้เอกสารประกอบการเรียนฟิสิกส์ เรื่อง ความร้อนTRANSCRIPT
1
รายวิชา ฟสิกสพ้ืนฐานและเพ่ิมเติม 3 ใบความรู 5
ผลการเรียนท่ีคาดหวังท่ี 5
รหัสวิชา ว 40203 ระดับช้ัน ม. 5 ใชประกอบแผนจัดการเรียนรูท่ี 5
ความรอน และการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ
ความรอน (Thermal)
ความรอนเปนพลังงานรูปหนึ่งท่ีเปลี่ยนมาจากพลังงานรูปอ่ืน เชน พลังงานไฟฟา พลังงานกล
(พลังงานศักยและ พลังงานจลน) พลังงานเคมี พลังงานนิวเคลียร หรืองาน เปนตน
พลังงานความรอนมีหนวยเปนจูล (Joule, J ) ในระบบเอสไอ (SI) แตบางครั้งอาจบอกเปนหนวย
อ่ืนได เชน แคลอรี (cal) และบีทียู (BTU)
พลังงานความรอน 1 แคลอรี คือ พลังงานความรอนท่ีทําใหน้ํามวล 1 กรัม มีอุณหภูมิเพ่ิมข้ึน 1 องศาเซลเซียส (℃) ในชวง 14.5 ℃ ถึง 15.5 ℃
พลังงานความรอน 1 บีทียู คือ พลังงานความรอนท่ีทําใหน้ํามวล 1 ปอนด มีอุณหภูมิเพ่ิมข้ึน 1 องศาฟาเรนไฮต (℉) ในชวง 58.1 ℉ ถึง 59.1 ℉
จากการทดลองพบวา 1 cal = 4.186 J
1 BTU = 252 cal = 1055 J
อุณหภูมิ (Temperature )
นักวิทยาศาสตรไดกําหนดวา อุณหภูมิ คือ ปริมาณท่ีแปรผันโดยตรงกับพลังงานจลนเฉล่ียของแกส การท่ีเราจะบอกวาวัตถุใดรอนมากหรือนอย เราสามารถบอกไดดวยอุณหภูมิของวัตถุนั้น คือ วัตถุท่ีมีระดับความรอนมากจะมีอุณหภูมิสูง วัตถุท่ีมีระดับความรอนนอยจะมีอุณหภูมิต่ํา ดังนั้นถาเราเอาวัตถุท่ีมีอุณหภูมิสูงมาสัมผัสวัตถุท่ีมีอุณหภูมิต่ํา พลังงานความรอนจะถูกถายโอนจากวัตถุท่ีมีอุณหภูมิสูงไปยังวัตถุท่ีมีอุณหภูมิต่ํา จนวัตถุท้ังสองมีอุณหภูมิเทากัน
อุปกรณท่ีใชวัดอุณหภูมิเรียกวา เทอรโมมิเตอร เทอรโมมิเตอรมีหลายชนิด เชน
1. สเกลองศาเซลเซียส (Celsuis, ℃ ) หรือบางท่ีเรียกวาองศาเซนติเกรด (ท่ีความดัน 1 บรรยากาศ จุด เยือกแข็งของน้ําเปน 0 เซลเซียสและจุดเดือดเปน 100 เซลเซียส ระหวางจุดเยือกแข็งและจุดเดือดแบงเปน 100 สวนเทาๆ กัน ) 2. สเกลองศาเคลวิน (Kelvin, K) เปนหนวยของอุณหภูมิสัมบูรณ (ท่ีความดัน 1 บรรยากาศ จุดเยือก แข็งของน้ําเปน 273.16 เคลวินและจุดเดือดเปน 373.16 เคลวิน ระหวางจุดเยือกแข็งและจุดเดือดแบงเปน 100 สวนเทาๆ กัน ) ## หนวยเคลวินเปนหนวยมาตรฐานในระบบเอสไอ
ความสัมพันธระหวางอุณหภูมิหนวย เซลเซียส ฟาเรนไฮต โรเมอร และเคลวิน ตามลําดับ
จากรูป เปนเทอรโมมิเตอร 4 อัน ตางชนิดกัน วัดอุณหภูมิของวัตถุชนิดเดียวกัน จะไดความสัมพันธดังนี ้
𝐶𝐶100
= 𝐹𝐹−32180
= 𝑅𝑅80
= 𝐾𝐾−273100
หรือ
𝐶𝐶5 =
𝐹𝐹 − 329 =
𝑅𝑅4 =
𝐾𝐾 − 2735
2
ปริมาณความรอนของวตัถุ (HEAT, Q) เปนพลังงานความรอนท่ีวัตถุรับเขามาหรือคายออกไป จากการ ศึกษาผลของความรอนตอสสาร
หรือวัตถุในชั้นนี้จะศึกษาเพียงสองดาน คือ 1. ความรอนจําเพาะ ( Specific heat ) หมายถึง พลังงานความรอนท่ีทําใหวัตถุมีอุณหภูมิสูงข้ึนหรือ
ต่ําลงโดยสถานะยังคงรูปเดิม 2. ความรอนแฝง (Latent Heat) หมายถึง พลังงานความรอนท่ีทําใหวัตถุเปลี่ยนสถานะโดยท่ีอุณหภูมิ
ยังคงท่ี ความจคุวามรอน ( Heat capacity,C ) คือความรอนท่ีทําใหสารท้ังหมดท่ีกําลังพิจารณามีอุณหภูมิ
เปลี่ยนไปหนึ่งหนวย โดยสถานะไมเปลี่ยน
ถาใหปริมาณความรอน ∆Q แกวัตถุ ทําใหอุณหภูมิของวัตถุเปลี่ยนไป ∆T ดังนั้นถาอุณหภูมิของวัตถุเปลี่ยนไป 1 หนวย จะใชความรอน C คือ
𝐶𝐶 = ∆𝑄𝑄∆𝑇𝑇
มีหนวยเปน จูล/ เคลวิน (J/K)
ความจคุวามรอนจาํเพาะ (Specific Heat Capacity, c ) คือความรอนท่ีทําใหสาร(วัตถุ) มวลหนึ่งหนวยมีอุณหภูมิเปลี่ยนไปหนึ่งองศาเคลวิน คือ
𝑐𝑐 = ∆𝑄𝑄𝑚𝑚∆𝑇𝑇
ความจุความรอนจําเพาะของสาร(J/kg-K)
นั่นคือ เม่ือสารมวล m มีอุณหภูมิเพ่ิมจาก T1 เปน T2�� และความจุความรอนจําเพาะมีคาคงตัว ความรอนท่ีสาร
ไดรับ คือ
𝑄𝑄 = 𝐶𝐶∆𝑇𝑇 หรือ 𝑄𝑄 = 𝑚𝑚𝑐𝑐∆𝑇𝑇
ตารางท่ี 1 แสดงความจุความรอนจําเพาะของสารท่ีอุณหภูมิหองและท่ีความดันบรรยากาศ
วัสดุ ความจคุวามรอนจาํเพาะของสาร(J/kg K)
อะลูมิเนียม ทองแดง เหล็ก ตะก่ัว ปรอท หนิออน เอทานอล น้ํา รางกายมนุษย
900 390 450 130 140 860
2,500 4,186 3,500
ตัวอยางท่ี 1 จงหาพลังงานความรอนท่ีทําใหน้ํามวล 500 กรัม ท่ีอุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียสมีอุณหภูมิ
สูงข้ึนเปน 50 องศาเซลเซียส
วิธีทํา m = 500 g = 0.5 kg จากตาราง น้ํามีคา c = 4,186 J/kg K
∆T = T2 - T1 = (50 - 25) = 25 °K
∆Q = mc∆T = 0.5 x 4,186 x 25 = 52,325 J คาํตอบ ความรอนท่ีตองการคือ 52,325 จูล
3
ความรอนแฝง (Latent Heat) คือ ปริมาณความรอนท่ีทําใหวัตถุเปลี่ยนสถานะโดยอุณหภูมิคงท่ี ความรอนแฝงจําเพาะ (Specific Latent Heat, L ) คือความรอนท่ีทําใหสาร(วัตถุ) มวลหนึ่งหนวย
เปลี่ยนสถานะไปจนหมด เชน น้ําท่ีความดัน 1 บรรยากาศ ความรอนท่ีทําใหน้ําแข็ง 1 กิโลกรัม อุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส หลอมเหลวกลายเปนน้ําหมดท่ีอุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส จะใชความรอน 333 กิโลจูล
ดังนั้น ความรอนแฝงจําเพาะของการหลอมเหลวของน้ํา คือ Lf Lf = 333 kJ/kg
และท่ีความดัน 1 บรรยากาศ ความรอนท่ีทําใหน้ํา 1 กิโลกรัม อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส กลายเปนไอน้ําหมดท่ีอุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส จะใชความรอน 2256 กิโลจูล
ดังนั้น ความรอนแฝงจําเพาะของในการกลายเปนไอของน้ํา คือ Lv Lv = 2256 kJ/kg นั่นคือ ถาให Q คือความรอนท่ีทําใหสาร(วัตถุ) มวล m เปลี่ยนสถานะหมดคือ
𝑄𝑄 = 𝑚𝑚𝑚𝑚
การเปลี่ยนสถานะของสาร
สารและสิ่งของท่ีอยูรอบตัวเราพบวามีอยู 3 สถานะ คือ ของแข็ง(น้ําแข็ง) ของเหลว(น้ํา) และ
แกส(ไอน้าํ) ได I. ของแข็ง แรงดึงดูดระหวางโมเลกุลมีคามาก ทําใหโมเลกุลอยูใกลกัน จึงทําใหรูปทรงของของแข็งไม
เปลี่ยนแปลงมากเม่ือมีแรงขนาดไมมากนักมากระทํา ตามคําจํากัดความนี้ เหล็ก คอนกรีต กอนหิน เปนของแข็ง
II. ของเหลว แรงดึงดูดระหวางโมเลกุลมีคานอย โมเลกุลจึงเคลื่อนท่ีไปมาไดบาง จึงทําใหรูปทรงของของเหลวเปลี่ยนแปลงไปตามภาชนะท่ีท่ีบรรจุ น้ํา น้ํามัน ปรอท เปนของเหลว
III. แกส แรงดึงดูดระหวางโมเลกุลมีคานอยมาก จนโมเลกุลของแกสอยูหางกันมากและเคลื่อนท่ีไดสะเปะสะปะ ฟุงกระจายเต็มภาชนะท่ีบรรจุ เชนอากาศและแกสชนิดตางๆ
รูป แสดงการเปลี่ยนสถานะของน้ําเม่ือไดรับความรอน
ถาเรานําน้ําแข็งท่ีอุณหภูมิ -20 ℃ ท่ีความดันบรรยากาศ 1 บรรยากาศ ความรอนทําใหน้ําแข็งมีการเปลี่ยนแปลงเปนชวงๆ คือ
1. น้ําแข็งท่ีอุณหภูมิ -20 ℃ กลายเปนน้ําแข็ง 0 ℃ (เปนคา c ของน้ําแข็ง)
2. น้ําแข็ง 0 ℃ ละลายกลายเปนน้ํา 0 ℃
3. น้ํา 0 ℃ อุณหภูมิสูงข้ึนจนเปนน้ํา 100 ℃ (เปนคา c ของน้ํา )
4. น้ํา 100 ℃ เดือดกลายเปนไอน้ํา 100 ℃
4
ท่ีมาของภาพ http://www.myfirstbrain.com/thaidata/image.asp?ID=1654594 ตัวอยางท่ี 2 จงหาปริมาณความรอนท่ีทําใหน้ําแข็งมวล 250 กรัมอุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส กลายเปนน้ําหมด และสุดทายน้ํา 50 กรัม เดือดกลายเปนไอ วิธีทํา มวลน้ําแข็ง 250 g = 0.25 kg
น้ําแข็งละลายหมดกลายเปนน้ํา 0 ℃ ตองการความรอน Q1 = mLf = 0.25 x 333 = 83.25 kJ
น้ํา 0 ℃ กลายเปนน้ํา 100 ℃ ตองการความรอน
Q2 = mc∆T = 0.25 x 4.2 x 100 = 105 กิโลจูล
น้ํา 10 กรัม หรือ 0.01 กิโลกรัม ท่ี 100 ℃ เดือดเปนไอน้ํา 100 ℃ ตองการความรอน Q3 = mLv = 0.05 x 2256 = 112.8 kJ ความรอนท้ังหมดท่ีตองใช Q = Q1 + Q2 + Q3
= 83.25 + 105 + 112.8 = 301.05 kJ
คาํตอบ ความรอนท่ีตองการคือ 301.05 กิโลจูล
ตัวอยางท่ี 3 กอนอะลูมิเนียมมวล 200 กรัม อุณหภูมิ 300 องศาเซลเซียส อยูในภาชนะท่ีเปนฉนวน เม่ือเท
น้ําแข็งอุณหภูมิ 0 ℃ มวล 70 กรัม ลงในภาชนะจากนั้นปดภาชนะดวยฉนวนอุณหภูมิสุดทายภายในภาชนะเปนเทาใด (ใหคิดวาภาชนะใหหรือรับความรอนนอยมาก) วิธีทํา เหตุการณท่ีอาจเกิดข้ึนไดในภาชนะ 4 รูปแบบคือ
1.) น้ําแข็งละลายไมหมด ดังนั้นอุณหภูมิสุดทาย t = 0 ℃
2.) น้ําแข็งละลายหมด แตอุณหภูมิของอะลูมิเนียมสูงกวา 0 ℃ ทําใหน้ํามีอุณหภูมิสูงข้ึน แตไมเดือด
ดังนั้นอุณหภูมิสุดทายอยูระหวาง 0 ℃ กับ 100 ℃ คือ 0 < t < 100
3.) น้ําบางสวนเดือด อุณหภูมิสุดทาย t = 100 ℃
4.) น้ําเดือดหมด และกอนอะลูมิเนียม อุณหภูมิสุดทาย t > 100 ℃ ดังนั้นเราตองคํานวณความรอนทีละชวงคือ พิจารณา ความรอนท่ีน้ําแข็งมวล 0.07 kg ละลายหมดตองการความรอน Q1 = mLf = .07 x 333000 = 23310 J พิจารณา ความรอนที่กอนอะลูมิเนียม 0.2 kg คายออกมาจนมีอุณหภูมิเปน 0 oC คือ
Q2 = mc∆T = 0.2 x 900 x 300 = 54000 J พิจารณา ความรอนที่นํ้า 0 oC กลายเปนน้ํา 100 oC ความรอนท่ีตองการ คือ
คายความรอ้น คายความรอ้น คายความรอ้น
5
Q3 = mc∆T = 0.07 x 4200 x 100 = 29400 J เม่ือพิจารณาความรอนของน้ําและอะลูมิเนียมแลวไดผลดังนี้ (Q1 + Q3 ) < Q2
นั่นคือ ดังนั้นอุณหภูมิสุดทายอยูระหวาง 0 ℃ กับ 100 ℃ คือ 0 < t < 100 จากกฏการอนุรักษพลังงาน Q1 + mc(t - 0) = mAlcAl(300 - t) 23310 + 0.07 x 4200 x t = 0.2 x 900(300 - t)
t = 64.7 ℃ ตอบ อุณหภูมิผสมสุดทายของน้ําและอะลูมิเนียมเทากับ 64.7 องศาเซลเซียส
ตัวอยางท่ี 4 จงหาพลังงานความรอนท่ีทําใหน้ําแข็งมวล 100 กรัม อุณหภูมิ -20 ℃ หลอมละลายกลายเปนน้ําหมด น้ํา และน้ํามีอุณหภูมิสูงจนเดือดเปนไอหมดท่ีความดัน 1 บรรยากาศ
วิธีทํา น้ําแข็ง - 20 ℃ กลายเปนน้ําแข็ง 0 ℃ ตองการความรอน
Q1 = mc∆T = 0.100 x 2.1(0 - (-20)) = 4.2 กิโลจูล มวลน้ําแข็ง 100 g = 0.100 kg
น้ําแข็งละลายหมดกลายเปนน้ํา 0 ℃ ตองการความรอน Q2 = mLf = 0.100 x 333 = 33.3 kJ
น้ํา 0 ℃ กลายเปนน้ํา 100 ℃ ตองการความรอน
Q3 = mc∆T = 0.100 x 4.2 x 100 = 42 กิโลจูล
น้ํา 10 กรัม หรือ 0. 1 กิโลกรัม ท่ี 100 ℃ เดือดเปนไอน้ํา 100 ℃ ตองการความรอน Q4 = mLv = 0.100 x 2256 = 225.6 kJ ความรอนท้ังหมดท่ีตองใช Q = Q1 + Q2 + Q3 + Q4
= 4.2 + 33.3 + 42 + 225.6 = 305.1 kJ
คาํตอบ ความรอนท่ีตองการคือ 305.1 กิโลจูล
การขยายตัวของวัตถุเนื่องจากความรอน
วัตถุโดยท่ัวไปเม่ือไดรับความรอนจะขยายตัว การขายตัวของวัตถุจะข้ึนอยูกับรูปรางลักษณะของวัตถุเชน วัตถุท่ีมีความยาวมีลักษณะเปนเสนหรือแทงยาว จะมีการขยายตัวตามเสน (การขยายตัวตามยาว) วัตถุท่ีเปนแผนจะมีการขยายตัวตามพ้ืนท่ี วัตถุท่ีมีรูปรางเปนปริมาตรจะมีการขยายตัวตามปริมาตร ในทางกลับกันถาวัตถุสูญเสียความรอนก็จะหดตัว
6
ท่ีมาของภาพ http://www.thaiceramicsociety.com/images/ch_heat-3.jpg
สมบัติท่ีสําคัญๆ เกี่ยวกับการขยายของของแข็ง ไดแก 1. ของแข็งตางชนิดกัน ถาเดิมมีความยาวเทากัน เม่ือรอนข้ึนเทากันจะมีสวนขยายตัวเพ่ิมข้ึนไมเทากัน
2. ของแข็งชนิดเดียวกัน ถาเดิมมีความยาวเทากัน เม่ือรอนข้ึนเทากันจะมีสวนขยายตัวเพ่ิมข้ึนเทากัน
3. การขยายตัวของวัตถุเปนเรื่องท่ีสําคัญมากในทางวิศวกรรม เชน การวางเหล็กรางรถไฟ การขึงสายไฟฟาแรงสูงเปนตน
การถายโอนความรอน (Heat Transfer)
ความรอนจะถายโอนหรือสงผานจากวัตถุท่ีมีระดับความรอนสูง(อุณหภูมิสูง) ไปสูวัตถุท่ีมีระดับความรอนต่ํา (อุณหภูมิต่ํา) การถายโอนความรอนมี 3 แบบ คือ
1. การนํา (Conduction) เปนการถายโอนพลังงานความรอนผานตัวกลางซ่ึงโดยมากจะเปนพวกโลหะตางๆ เชน เราเอามือไปจับชอนโลหะท่ีปลายขางหนึ่งแชอยูในน้ํารอน มือเราจะรูสึกรอน เพราะความรอนถูกสงผานจากน้ํารอนมายังมือเราโดยมีชอนโลหะเปนตัวนําความรอน
2. การพา (Convection) เปนการถายโอนความรอนโดยการเคลื่อนท่ีของโมเลกุลของตัวกลางเปนตัวพาความรอนไปจากบริเวณท่ีมีระดับความรอนสูง(อุณหภูมิสูง) ไปสูบริเวณท่ีมีระดับความรอนต่ํา(อุณหภูมิต่ํา) เชน
เวลาตมน้ําความรอนจากเตาทําใหน้ําท่ีกนภาชนะรอนมันจะขยายตัวทําใหมีความหนาแนนนอยกวาน้ําดาน บนจึงลอยตัวสูงข้ึนสวนน้ําดานบนอุณหภูมิต่ํากวาความหนาแนนมากก็จะจมลงมาแทนท่ี การหมุนวนของน้ําทําใหเกิดการพาความรอน
3. การแผรังสี (Radition) เปนสงพลังงานความรอนท่ีอยูในรูปคลื่นแมเหล็กไฟฟา(รังสีอินฟราเรด) ดังนั้นจึงไมตองอาศัยตัวกลางในการเคลื่อนท่ี เชนการแผรังสีความรอนจากดวงอาทิตยมายังโลก โดยท่ัวไปวัตถุท่ีแผรังสีไดดีก็จะรับ(ดูดกลืน)รังสีไดดีดวย วัตถุชนิดนั้นเราเรียกวาวัตถุดํา(Black Body) วัตถุดําไมมีในธรรมชาติ มีแตในอุดมคติ ดังนั้นวัตถุท่ีมีลักษณะใกลเคียงวัตถุดําคือ วัตถุท่ีมีสีดํา ในทางกลับกันวัตถุขาวจะ ไมดูดกลืนรังสีและ ไมแผรังสีท่ีตกกระทบ มีแตในอุดมคติเทานั้น
ท่ีมาของภาพ http://www.fao.org/docrep/008/y7223e/y7223e0d.jpg