add m6-2-chapter1
TRANSCRIPT
บทที่ 1 ลําดับอนันตและอนุกรมอนันต
(20 ชั่วโมง)
ลําดับอนันตและอนุกรมอนนัตที่จะกลาวถึงในบทนี้ เปนเรื่องเกี่ยวกับลิมิตของลําดับ ทฤษฎีบทตาง ๆ เกี่ยวกับลิมติของลําดับ การหาผลบวกของอนุกรมอนันต และการใชสัญลักษณแทนการบวก ตลอดจนโจทยที่แสดงใหเหน็การนําความรูที่กลาวมาไปใชในการแกปญหาตาง ๆ
ผลการเรียนรูที่คาดหวัง 1. หาลิมิตของลําดับอนันตโดยอาศัยทฤษฎีบทเกี่ยวกับลิมิตได 2. หาผลบวกของอนุกรมอนันตได 3. นําความรูเร่ืองลําดับและอนุกรมไปใชแกปญหาได ผลการเรียนรูที่คาดหวังดังกลาวเปนผลการเรียนรูที่สอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรู ชวงชั้นที่ 4 ทางดานความรู ในการจดัการเรียนรูผูสอนตองคํานึงถึงมาตรฐานการเรยีนรูดานทักษะ/ กระบวนการทางคณติศาสตรดวยการสอดแทรกกจิกรรมหรือโจทยปญหาที่จะสงเสริมใหผูเรียนเกดิทักษะ / กระบวนการทางคณิตศาสตรที่จําเปนอันไดแกความสามารถในการแกปญหา การใหเหตุผล การสื่อสาร การสื่อความหมายทางคณิตศาสตรและการนําเสนอ การเชื่อมโยงความรูตาง ๆ ทางคณิตศาสตรและเชื่อมโยงคณิตศาสตรกับศาสตรอ่ืน และการคดิริเร่ิมสรางสรรค นอกจากนั้น กจิกรรมการเรียนรูควรสงเสริมใหผูเรียนตระหนกัในคุณคาและมีเจตคตทิี่ดีตอวิชาคณิตศาสตร ตลอดจนฝกใหผูเรียนทํางานอยางเปนระบบ มีระเบียบวนิัย รอบคอบ มีความรับผิดชอบ มีวิจารณญาณและมีความเชื่อมัน่ในตนเอง สาระการเรียนรูคณิตศาสตรเพิ่มเติมเปนสาระการเรียนรูสําหรับการศึกษาตอและอาชีพ ดังนั้นในการจดัการเรียนรูในสาระนี้ ผูสอนควรสงเสริมใหผูเรียนไดฝกทักษะการคิดวิเคราะห โดยคํานึงถึงความสมเหตุสมผลของขอมูล ดังนั้น ในการสอนแตละสาระผูสอนจําเปนตองศึกษาสาระนั้น ๆ ใหเขาใจถองแทเสียกอนแลวเลือกวิธีสอนใหเหมาะสม เพื่อทําใหการจดัการเรียนรูไดผลดี
2
ขอเสนอแนะ 1. รูปแบบการกาํหนดลําดับทําไดหลายแบบ ผูสอนควรย้าํและยกตวัอยางใหผูเรียนเหน็วา การกําหนดลําดับโดยการแจงพจนแลวหาพจนทัว่ไปของลําดับนั้น อาจหาพจนทั่วไปไดตางกนั (ดูหนังสือเรียนหนา 3 – 4 และคูมือครูสาระการเรียนรูพื้นฐาน ช้ันมธัยมศึกษาปที่ 5 เร่ืองลําดับและอนุกรม หนา 2) 2. ผูสอนควรทบทวนเรื่องลําดบัจํากัด ลําดับเลขคณิตและลาํดบัเรขาคณิต และอนุกรมจํากัดกอนที่จะขยายความตอและกลาวถึงลําดับอนันตและอนุกรมอนนัต ผูสอนควรบอกผูเรียนดวยวา ยังมีลําดับอื่น ๆ อีกมากมายที่ไมใชลําดับเลขคณิตหรือลําดับเรขาคณิต ผูสอนอาจใชประโยชนจากเว็บไซต The On-Line Encyclopedia of Integer Sequences ซ่ึงเก็บรวบรวมลําดับตาง ๆ ไวใหคนหาไดมากมาย ที่ http://www.research.att.com/~njas/sequences/ หรือผูสอนอาจใหผูเรียนชวยกันสรางลําดับใหมเอง 3. ในเรื่องความสัมพันธเวียนเกิด ผูสอนอาจเพิ่มเติมแบบฝกหัดสําหรับผูเรียนที่สนใจคณิตศาสตรเปนพิเศษ ผูสอนอาจใหผูเรียนกําหนดลําดบัที่กําหนดใหตอไปนี้โดยใชความสัมพันธเวียนเกดิ (1) 1, 2, 4, 8, 16, ..., 2n–1 , ... เพราะวา a1 = 1 a2 = 2 = 2(1) = 2a1 a3 = 4 = 2(2) = 2a2 a4 = 8 = 2(4) = 2a3 an = 2n–1 = 2an–1
ดังนั้น กําหนดลําดับนี้โดยใชความสัมพันธเวียนเกิดไดเปนลําดับ an = 2an–1 เมื่อ n ≥ 2, a1 = 1
(2) 1, –1, 1, –1, ..., (–1)n+1, ... เพราะวา a1 = 1 a2 = –1 = (–1)(1) = (–1)a1 a3 = 1 = (–1)(–1) = (–1)a2 a4 = –1 = (–1)(1) = (–1)a3 an = (–1)an–1
ดังนั้น กําหนดลําดับนี้โดยใชความสัมพันธเวียนเกิดไดเปนลําดับ an = (–1)an–1 เมื่อ n ≥ 2, a1 = 1
3
(3) กําหนดลําดับ 5, 9, 13, 17, ..., 4n + 1, ... โดยใชความสัมพันธเวียนเกิดไดเปนลําดับ an = an–1 + 4 เมื่อ n 2≥ , a1 = 5
(4) กําหนดลําดับ 1, 3, 9, 27, ..., 3n–1, ... โดยใชความสัมพนัธเวียนเกดิไดเปนลําดับ an = 3an–1 เมื่อ n 2≥ , a1 = 1
(5) กําหนดลําดับ 1, 1, 1, 1, ..., 1, ... โดยใชความสัมพันธเวียนเกิดไดเปนลําดับ an = an–1 เมื่อ n ≥ 2, a1 = 1 (6) กําหนดลําดับ 1, 3, 6, 10, 15, ..., n(n 1)
2+ , ... โดยใชความสัมพนัธเวียนเกดิ
ไดเปนลําดับ an = an–1+ n เมื่อ n ≥ 2, a1 = 1 (7) กําหนดลําดับ 5, 10, 30, 120, ..., 5n!, ... โดยใชความสัมพันธเวียนเกิดไดเปน
ลําดับ an = nan–1 เมื่อ n ≥ 2, a1 = 5 4. การทบทวนสตูรพจนที ่n ของลําดับเลขคณิต (หนา 7) และสูตรพจนที่ n ของลําดับเรขาคณิต (หนา 9) โดยการเขียนยอนกลับ ผูสอนอาจจะแสดงตัวอยางที่เปนตัวเลขใหผูเรียนพิจารณาประกอบไปดวยสัก 2 – 3 ตัวอยางกอนที่จะสรุปเปนกรณีทั่วไป และถาผูสอนพิจารณาแลววา แนวทางของเรื่องเดียวกันทีน่ําเสนอไวในหนังสือเรียนสาระการเรียนรูพื้นฐาน ช้ันมธัยมศึกษา ปที่ 5 เขาใจงายกวา ก็อาจขามสวนนี้ไปกไ็ด อยางไรกต็าม ผูสอนควรชี้ใหผูเรียนเห็นแนวทาง ที่แตกตางของทั้งสองวิธี
5. จากการพิจารณาลิมิตของลําดับ ทําใหแบงลําดับออกเปน 2 ประเภท คือ ลําดับ ที่มีลิมิต เรียกวา ลําดับลูเขา และลําดับที่ไมมีลิมิต เรียกวา ลําดับลูออก สําหรับลําดับลูออก ถาพจิารณาลําดับจากกราฟจะแบงออกเปน 3 ประเภทคอื
(1) ลําดับลูออกซึ่งพจนที่ n มีคามากขึ้นเรื่อย ๆ เมือ่ n มีคามากขึ้นโดยไมมีที่ส้ินสุด เชน 1, 2, 4, ..., 2 n–1 , ...
(2) ลําดับลูออกซึ่งพจนที่ n มีคาลดลงเรื่อย ๆ เมื่อ n มีคามากขึ้นโดยไมมีที่ส้ินสุด เชน –1, –3, –5, ..., –(2n – 1), ... (3) ลําดับลูออกซึ่งมีลักษณะแตกตางจากลาํดับในขอ (1) และขอ (2) ซ่ึงเรียกวา ลําดับแกวงกวัด เชน an = (–1)n , bn = (–1)n n 6. การเชื่อมโยงมโนทัศนเร่ืองลิมิตของลําดับกับรูปภาพ ผูสอนอาจเริ่มจากการคํานวณแลวเขียนกราฟ และพจิารณาแนวโนมวา เมื่อ n มีคามากขึ้นเรื่อย ๆ กราฟของลําดับ an จะเปนอยางไร ผูสอนอาจแนะนําการเขยีนกราฟโดยใชเครื่องมือตาง ๆ เชน กระดาษกราฟ เครื่องคํานวณ โปรแกรม Geometer’s Sketchpad หรือโปรแกรมประเภทตารางทํางาน เชน Microsoft Excel 7. หนังสือเรียนไมไดแสดงวิธีการพิสูจนทฤษฎีบทตาง ๆ เกี่ยวกับลิมิตไว ผูสอนควรใหผูเรียนพจิารณาคา an โดยตรง หรือทดลองเขียนกราฟของลําดับ an แลวพิจารณาแนวโนมของกราฟ
4
เชน ใหผูเรียนพิจารณาลําดบั an = 3
1n
และ an = 13
1
n เพื่อนาํไปสูการยอมรับทฤษฎีบทที่วา
rn1limn→∞
= 0 เมื่อ r เปนจํานวนจริงบวกใด ๆ ผูเรียนควรอธิบายไดวา เมื่อ n มีคามากขึ้นอยาง
ไมมีที่ส้ินสุด n3 และ 13n จะมคีามากขึ้นอยางไมมีที่ส้ินสุดดวย ซ่ึงจะทําให 3
1n
และ 13
1
n มีคา
นอยลงและเขาใกล 0 ใหผูเรียนพิจารณาลําดับ an = n4 และ an =
14n เพื่อนําไปสูการยอมรับทฤษฎีบท
ที่วา rnlim n→∞
หาคาไมได เมื่อ r เปนจํานวนจริงบวกใด ๆ ผูเรียนควรอธิบายไดวา เมื่อ n มี
คามากขึ้นอยางไมมีที่ส้ินสุด n4 และ 14n จะมีคามากขึ้นอยางไมมีที่ส้ินสุดดวย
ใหผูเรียนพิจารณาลําดับ an = n1
3⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
และ an = n1
4⎛ ⎞−⎜ ⎟⎝ ⎠
เพื่อนําไปสูการยอมรับ
ทฤษฎีบทที่วา n
nlim r→∞
= 0 เมื่อ r เปนจํานวนจริง และ r 1< ใหผูเรียนพิจารณาลําดับ an = 3n และ an = (–4)n เพื่อนําไปสูการยอมรับทฤษฎีบทที่วา n
nlim r→∞
หาคาไมได เมื่อ r เปนจํานวนจริง และ r 1> 8. ขอความวา “ nnlim a
→∞ หาคาไมได” มีความหมายเชนเดียวกับขอความ “ลําดับ an
ไมมีลิมิต” หรือ “พจนที ่ n ของลําดับ an ไมเขาใกลหรือเทากับจํานวนจริง L ใด ๆ เลย” ในบทนี้ไมมีการใชขอความวา “ nnlim a
→∞ = ∞ ” หรือ “ nnlim a
→∞ = –∞ ”
9. ในหนังสือเรียนหนา 22 ผูสอนควรย้ํากับผูเรียนวา จะใชทฤษฎีบทเกี่ยวกับลิมิตได
เมื่อเงื่อนไขเบือ้งตนเปนจริงกอนเทานัน้ เชน จะสรุปวา nn
n n
lim anlimn lim bn
ab
→∞=→∞
→∞ ไดเมื่อ nnlim a
→∞
และ nnlim b→∞
หาคาได และ nnlim b 0→∞
≠ ในกรณีที่ไมสามารถใชทฤษฎีบทเกี่ยวกับลิมิตของลําดับ an โดยตรงได อาจตองจัดรูปของ an กอนการใชทฤษฎีบทเกีย่วกบัลิมิต ดังปรากฏในหลาย ๆ ตัวอยางในหนงัสือเรียน อยางไรก็ตาม ลําดับบางลําดับก็ยังคงใชทฤษฎีบทเกีย่วกบัลิมิตไมไดถึงแมจะพยายามจัดรูปใหแตกตางจากเดิมแลว เชน
พิจารณาลําดับ 22n 3n
an 4n 5
−=
−
เนื่องจาก 2lim (2n 3n)n
−→∞
และ lim (4n 5)n
−→∞
หาคาไมไดทั้งคู ฉะนั้น หากตองการ
หา22n 3n
lim a limnn n 4n 5
−=
→∞ →∞ − จึงใชทฤษฎีบทเกี่ยวกับลิมิตที่วา
2lim (2n 3n)nlim ann lim (4n 5)
n
−→∞=
→∞ −→∞
ไมได
การจัดรูป an กอนการพิจารณาลิมิตอาจทําไดหลาย ๆ แบบ บางคนอาจทําดังนี ้
5
22n 3n
4n 5
−
− =
32n 2n
4 52n 2n n
−
−
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 3
2n
4 52n n
−
−
กรณีนีก้็ยังคงใชทฤษฎีบทเกีย่วกับลิมิตไมได เพราะเปนกรณียกเวน เนื่องจาก 4 5
lim 2n n n−
→∞⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 0
บางคนอาจทําดังนี้ 22n 3n
4n 5
−
− = ( )n 2n 3
5n 4
n
−
−⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 2n 35
4n
−
−
การจัดรูป an เชนนี้กย็ังคงใชทฤษฎีบทเกี่ยวกับลิมิตไมไดเชนเดยีวกัน เพราะ lim (2n 3)
n−
→∞ หาคาไมได
จะเห็นไดวาการจัดรูป an ทั้งสองแบบไมสามารถชวยสรุปไดวา na เปนลําดับลูเขาหรือลูออกโดยใชทฤษฎีบทเกีย่วกบัลิมิตได จึงตองใชวิธีอ่ืนพจิารณา เชน การพิจารณาคาของ an โดยตรง หรือจากกราฟของลําดับ an เปนตน
10. จากบทนยิามของอนุกรมจะเห็นวา อนุกรมไดจากการบวกพจนทุกพจนของลําดับ และในการศึกษาเรื่องลิมิตของอนุกรมไดแบงอนุกรมออกเปน 2 ประเภท เชนเดียวกับลําดับ คือ อนุกรมลูเขาและอนุกรมลูออก จากตวัอยางของอนุกรมลูเขาจะเหน็วา อนุกรมลูเขามักจะไดจากลําดับลูเขา บางคนอาจจะเขาใจอยางไมถูกตองวา ลําดับลูเขาทุกลําดับเมื่อนํามาเขียนเปนอนุกรมจะไดอนุกรมลูเขาเสมอ ซ่ึงเปนขอที่ควรระวังอยางยิ่งดังตัวอยางตอไปนี้
(1) 1, 1, 1, ..., 1, ... เปนลําดับลูเขาที่มีลิมิตเปน 1 1 + 1 + 1 + ... + 1 + ... เปนอนุกรมลูออก (2) 1, 1
2, 1
4, ..., n 1
12 − , ... เปนลําดับลูเขาที่มีลิมิตเปน 0
n 11 1 11 ... ...2 4 2 −+ + + + + เปนอนุกรมลูเขา และผลบวกของ
อนุกรมนี้มีคาเปน 2 (3) 1 1 11, , ,..., ,...
2 3 n เปนลําดับลูเขาที่มีลิมิตเปน 0
1 1 11 ... ...2 3 n
+ + + + + เปนอนุกรมลูออก
การแสดงวาอนุกรม 1 1 11 ... ...2 3 n
+ + + + + เปนอนุกรมลูออกนัน้ จะตองพิสูจนไดวาลําดับผลบวกยอยไมมีลิมิต แตวิธีการพิสูจนคอนขางยุงยากในทีน่ี้จะแสดงคาของพจนแรก ๆ บางพจนของลําดับผลบวกยอยเพื่อใหเห็นวา เมื่อมีจํานวนพจนมากเขาผลบวกยอยจะมากขึ้นไดเร่ือย ๆ ดังนี ้
6
S1 = 1 S2 = 11
2+
S3 = 1 112 3
+ +
S4 = 1 1 112 3 4
+ + +
แต 1 1 112 3 4
+ + + > 1 1 112 4 4
+ + + > 2 ดังนั้น S4 > 2 S8 = 1 1 1 1 1 1 11
2 3 4 5 6 7 8+ + + + + + +
แต 1 1 1 1 1 1 112 3 4 5 6 7 8
⎛ ⎞ ⎛ ⎞+ + + + + + +⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎝ ⎠ ⎝ ⎠
> 1 1 1 1 1 1 112 4 4 8 8 8 8
⎛ ⎞ ⎛ ⎞+ + + + + + +⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎝ ⎠ ⎝ ⎠
> 122
ดังนั้น S8 > 122
S16 = 1 1 1 1 1 1 112 3 4 5 6 7 8
⎛ ⎞ ⎛ ⎞+ + + + + + +⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎝ ⎠ ⎝ ⎠
1 1 1 1 1 1 1 19 10 11 12 13 14 15 16
⎛ ⎞ ⎛ ⎞+ + + + + + + +⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎝ ⎠ ⎝ ⎠
S16 > 1 1 1 1 1 1 112 4 4 8 8 8 8
⎛ ⎞ ⎛ ⎞+ + + + + + +⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎝ ⎠ ⎝ ⎠
1 1 1 1 1 1 1 1
16 16 16 16 16 16 16 16⎛ ⎞+ + + + + + + +⎜ ⎟⎝ ⎠
S16 > 3
จะพบวา S4 (ผลบวก 4 พจนแรก) มากกวา 2 S8 (ผลบวก 8 พจนแรก) มากกวา 12
2
S16 (ผลบวก 16 พจนแรก) มากกวา 3 S32 (ผลบวก 32 พจนแรก) มากกวา 13
2
S64 (ผลบวก 64 พจนแรก) มากกวา 4 และผลบวกยอยจะมีคามากขึ้นเรื่อย ๆ ไปไมมีที่ส้ินสุด 11. จากการศกึษาเรื่องอนุกรมเลขคณิต จะเหน็วาอนกุรมอนันตที่เปนอนุกรมเลขคณิตสวนมากเปนอนุกรมลูออก จะทําใหบางคนคิดวาอนุกรมอนันตที่เปนอนุกรมเลขคณิตทุกอนกุรม
7
เปนอนุกรมลูออก แตความจริงแลวมีอนกุรมอนันตที่เปนอนุกรมเลขคณิตและเปนอนุกรมลูเขา คือ อนุกรม 0 + 0 + 0 + ... + 0 + ... ซ่ึงเปนอนุกรมเลขคณติที่มี a1 = 0 และ d = 0 และมีผลบวกเปน 0
12. ผูสอนควรย้ํากบัผูเรียนวาการพิจารณาอนกุรมวาเปนอนกุรมลูเขาหรือลูออกตองพิจารณาจากลําดับของผลบวกยอยของอนกุรมเปนหลัก เชน
พิจารณาอนกุรม 1 – 1 + 1 – 1 + ... + (–1)n–1 + ... จะเหน็วาลําดับของผลบวกยอยของอนุกรมนีค้ือ 1, 0, 1, 0, 1, ... ซ่ึงเปนลําดับลูออก
ดังนั้น อนกุรม 1 – 1 + 1 – 1 + ... + (–1)n–1 + ... จึงเปนอนุกรมลูออก ผูสอนควรเสนอแนะเพิ่มเตมิวา อาจมีบางคนเขียนจัดรูปอนุกรมขางตนใหมดังนี ้1 – 1 + 1 – 1 + ... + (–1)n–1 + ... = (1 – 1) + (1 – 1) + (1 – 1) + ...
ซ่ึงจะไดอนุกรม 0 + 0 + 0 + 0 + ... + 0 + ... เปนอนุกรมลูเขา ที่มีผลบวกเปน 0 หรือบางคนอาจเขียนจัดรูปอนุกรมขางตนใหมดังนี้
1 – 1 + 1 – 1 + ... + (–1)n–1 + ... = 1 + (–1 + 1) + (–1 + 1) + (–1 + 1) + ... ซ่ึงจะไดอนุกรม 1 + 0 + 0 + 0 + 0 + ... เปนอนุกรมลูเขา ที่มีผลบวกเปน 1
ผูสอนควรชี้แนะใหผูเรียนเขาใจใหไดวาการเขียนจัดรูปอนุกรมขางตนทั้งสองแบบแลวสรุปวา อนุกรม 1 – 1 + 1 – 1 + ... + (–1)n–1 + ... เปนอนุกรมลูเขานั้นไมถูกตอง
13. ในบทเรียนนี้มุงใหพิจารณาอนุกรมอนันตเฉพาะอนุกรมเรขาคณติหรืออนุกรมที่อาจจะหาพจนที่ n ของลําดับผลบวกยอยไดไมยากนกั กลาวคือ ถาเปนอนุกรมเรขาคณิตก็พิจารณาอัตราสวนรวม r และถา r 1< ก็สามารถหาผลบวกจากสูตร S = 1a
1 r− สวนอนุกรม
ที่ไมใชอนุกรมเรขาคณิตนัน้ ใหหาผลบวกโดยการหาลําดับของผลบวกยอยกอน นั่นคือ จะตองหาพจนที่ n ของลําดับผลบวกยอยนั้น แลวจึงหาลิมิตของลําดับผลบวกยอย
14. ในบทเรียนนี้ไดนําเสนออนุกรมประเภทหนึ่งซึ่งมีความสําคัญและนาสนใจเรยีกวาอนุกรมเทเลสโคป (telescoping series) อนุกรมเทเลสโคป คือ อนุกรม a1 + a2 + a3 + ... + an + ... ที่สามารถเขียนอยูในรูป a1 + a2 + a3 + ... + an + ... = (b1 – b2) + (b2 – b3) + (b3 – b4) + ... + (bn – bn+1) + ... เมื่อ a1 = b1 – b2 a2 = b2 – b3 a3 = b3 – b4
an = bn – bn+1
ดังนั้น a1 + a2 + a3 ... + an = b1 – bn+1
8
ผูสอนควรเนนลักษณะพิเศษของอนุกรมประเภทนี้ใหผูเรียนทราบ ตัวอยางของอนกุรม
เทเลสโคปในหนังสือเรียน ดังเชน 1 1 1 1...
1 2 2 3 3 4 n(n 1)+ + + +
⋅ ⋅ ⋅ + = 1 1 1 1 1 1 11 ...
2 2 3 3 4 n n 1⎛ ⎞ ⎛ ⎞ ⎛ ⎞ ⎛ ⎞− + − + − + + −⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟+⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
= 11n 1
−+
( )22
3 5 7 2n 1...1 4 4 9 9 16 n n 1
++ + + +
⋅ ⋅ ⋅ + =
( )22
1 1 1 1 1 1...1 4 4 9 n n 1
⎛ ⎞⎛ ⎞ ⎛ ⎞ ⎜ ⎟− + − + + −⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎝ ⎠ ⎝ ⎠ +⎝ ⎠
= ( )2
11n 1
−+
15. ผูสอนอาจจะแนะนําสญัลักษณ ∑ ในหวัขอเร่ืองสัญลักษณแทนการบวก ไปพรอมกับหัวขอเร่ืองผลบวกของอนุกรมอนันตเลยก็ได หากพจิารณาแลวเหน็วาสอดคลองกับแนวทางการจัดการเรียนการสอนที่ปฏิบัติอยู
16. ในหนังสือเรียนหวัขอ 1.2.2 ไดกลาวถึงสมบัติของ ∑ ที่ควรทราบไว สมบัติเหลานั้นแสดงใหเห็นจริงไดโดยงาย ผูสอนควรเชิญชวนใหผูเรียนทดลองพิสูจนสมบัติตาง ๆ ดวยตนเอง ดังนี ้ (1)
n
i 1c
=∑ = nc เมื่อ c เปนคาคงตัว
n
i 1c
=∑ = c + c + c + ... + c
= nc
(2) n
ii 1
ca=∑ =
ni
i 1c a=∑ เมื่อ c เปนคาคงตัว
n
ii 1
ca=∑ = ca1 + ca2 + ca3 + ... + can
= c(a1 + a2 + a3 + ... + an) =
ni
i 1c a=∑
(3) n
i ii 1
(a b )=
+∑ = i 1
n ni i
i 1a b
==+∑ ∑
n
i ii 1
(a b )=
+∑ = (a1 + b1) + (a2 + b2) + (a3 + b3) + ... + (an + bn)
= (a1 + a2 + a3 + ... + an) + (b1 + b2 + b3 + ... + bn) =
n ni i
i 1 i 1a b
= =+∑ ∑
n พจน
9
ในทํานองเดียวกันจะแสดงไดวา n
i ii 1
(a b )=
−∑ = n n
i ii 1 i 1
a b= =
−∑ ∑
17. ในการหาผลบวก n
i 1i
=∑ นอกจากวิธีที่แสดงไวในหนังสอืเรียนแลว ยังแสดงไดโดยวธีิ
เดียวกันกับที่ใชหาสูตรของ n 2
i 1i
=∑ หรือ
n 3
i 1i
=∑ ดังนี้
เนื่องจาก n2 – (n – 1)2 = 2n – 1 -----(1) (n – 1)2 – (n – 2)2 = 2(n – 1) – 1 -----(2) (n – 2)2 – (n – 3)2 = 2(n – 2) – 1 -----(3)
32 – 22 = 2(3) – 1 -----(n–2)
22 – 12 = 2(2) – 1 -----(n–1) 12 – 02 = 2(1) – 1 -----(n)
(1) + (2) + (3) + ... + (n) จะได n2 = n n
i 1 i 12 i 1= =
−∑ ∑
= n
i 12 i n=
−∑
ดังนั้น n
i 1i
=∑ =
2n n2+ = n(n 1)
2+
หลังจากศึกษาที่มาของสูตร n
i 1i
=∑ , 2
n
i 1i
=∑ , 3
n
i 1i
=∑ แลว ผูสอนอาจถามผูเรียนตอวา
การหาสูตร 4n
i 1i
=∑ หรือ 5
n
i 1i
=∑ จะดําเนินการตามวิธีการเดิมไดหรือไม ผูสอนอาจแนะนําให
ผูเรียนเริ่มตนจาก n5 – (n – 1)5 และ n6 – (n – 1)6 ตามลําดับ 18. แบบฝกหัด 1.2 ข ขอ 7 และขอ 9 อาจจะยากเกินไปหากผูเรียนไมสามารถจัดรูปใหมได ดังนัน้ ผูสอนควรใหคาํแนะนําเบื้องตนในแตละขอดังนี ้ 7(1)
( )1
n n 1+ = 1 1
n n 1−
+
7(2) ( )( )
12n 1 2n 1− +
= 1 1 12 2n 1 2n 1⎛ ⎞−⎜ ⎟− +⎝ ⎠
7(3) ( )( )
1n n 1 n 2+ +
= ( ) ( )( )
1 1 12 n n 1 n 1 n 2⎛ ⎞
−⎜ ⎟⎜ ⎟+ + +⎝ ⎠
7(4) ( )
1n n 2+
= 1 1 12 n n 2⎛ ⎞−⎜ ⎟+⎝ ⎠
9(1) ( )22
2n 1n n 1
+
+ =
( )22
1 1n n 1
−+
10
กิจกรรมแสนอแนะ
ลิมิตของลําดับ กิจกรรมที ่1
ผูสอนและผูเรียนชวยกนัเขียนกราฟของลําดับ an ตอไปนี้บนกระดานดํา หรือใชโปรแกรมประเภทตารางทํางาน เชน Microsoft Excel
(1) an = n1
2
(2) an = 2 (3) an =
n( 1)1n−
+ (4) an = 2n – 1 (5) an = (–1)n+1 จากนั้นชวยกนัพิจารณากราฟของลําดับ an เมื่อ n มีคามากขึ้นโดยไมมีที่ส้ินสุด คาของ
พจนที่ n ของลําดับ จะมีคาเขาใกลจํานวนจริงใดหรือไม ซ่ึงผูเรียนควรบอกไดวา สําหรับ ลําดับในขอ (1) คาของพจนที่ n จะเขาใกล 0 ลําดับในขอ (2) คาของพจนที่ n จะเปน 2 เสมอ ลําดับในขอ (3) คาของพจนที่ n จะเขาใกล 1 ลําดับในขอ (4) คาของพจนที่ n จะมากขึน้เรื่อย ๆ ลําดับในขอ (5) คาของพจนที่ n จะเปน 1 เมื่อ n เปนจํานวนคี่ และ
เปน –1 เมื่อ n เปนจํานวนคู ผูสอนเสนอแนะผูเรียนวาลําดับในขอ (1), (2) และ (3) คาของพจนที่ n จะเขาใกลหรือ
เทากับจํานวนจริงเพียงจาํนวนเดียวเทานั้น ในกรณีที่พจนที่ n ของลําดับมีคาเขาใกลหรือเทากับจํานวนจริง L เพียงจํานวนเดยีวเทานั้น เมื่อ n มีคามากขึ้นโดยไมมีที่ส้ินสุด จะเรยีก L วาเปนลิมิตของลําดับนั้น หรือกลาววาลําดับนั้นมีลิมิตเปน L สวนลําดับที่ไมมีสมบัติเชนนี้จะเปนลําดับที่ไมมีลิมิต ผูสอนใหผูเรียนบอกวาลําดับขางตนลําดับใดบางมลิีมิตและลิมิตเปนเทาใด ลําดับใดไมมีลิมติ ซ่ึงผูเรียนควรบอกไดวา ลําดับในขอ (1) มีลิมิตเปน 0 ลําดับในขอ (2) มีลิมิตเปน 2 และลําดับในขอ (3) มีลิมิตเปน 1
ผูสอนทบทวนผูเรียนเกี่ยวกบัลําดับที่มีลิมิตเรียกวา ลําดบัลูเขา สวนลําดับที่ไมมีลิมิตเรียกวาลําดับลูออก แลวผูสอนใหผูเรียนบอกวาลําดับทั้งหาลําดับขางตน ลําดับใดเปนลําดับลูเขาและลําดับใดเปนลําดับลูออก ซ่ึงผูเรียนควรบอกไดวา ลําดับในขอ (1), (2) และ (3) เปนลําดับลูเขา ลําดับในขอ (4) และ (5) เปนลําดับลูออก
11
กิจกรรมที ่2 ผูสอนอาจใชการพับกระดาษแสดงความหมายของลิมิตของลําดับบางลําดับไดดังตอไปนี้
เชน พิจารณาลําดับ 1, 12
, 14
, 18
, 116
, 132
, …
1 1
2
1
4
1
8
1
16
1
32
ผูสอนอธิบายวาถาพับกระดาษตอไปอีก จะไดความยาวของกระดาษนอยลงเรื่อย ๆ จนเกือบเปน 0 แสดงวา ถา n มีคามากขึ้นโดยไมมีที่ส้ินสุด พจนที่ n ของลําดับจะเขาใกล 0 และกลาวไดวา ลิมิตของลําดับขางตนเทากับ 0 อนุกรมอนันต กิจกรรมที ่3
ผูสอนอาจประยุกตใชกจิกรรมตอไปนี้นําเขาเรื่องอนุกรมอนันตได ใหผูเรียนปฏิบตัิตามลําดับขั้นและตอบคําถามตอไปนี ้
ขั้นท่ี 1 ตัดกระดาษขนาด A4 เปนรูปสี่เหล่ียมผืนผาสามรูปที่เทากัน ดังรูป
12
ขั้นท่ี 2 แยกสวนที่หนึ่งไวกองหนึ่ง สวนที่สองไวอีกกองหนึ่ง เก็บสวนที่สามไวในมือ ขั้นท่ี 3 ทําซ้ําขั้นที่ 1 และ 2 กับกระดาษสวนที่สามที่อยูในมือไปเรื่อย ๆ
1. สมมติวากระดาษ A4 มีพื้นที่ 1 ตารางหนวย และสมมติวาสามารถตัดกระดาษซ้ําตอไปไดอีกอยางตอเนื่องไมส้ินสุด จะมกีระดาษในกองที่หนึ่งเทาไร กองที่สองเทาไร และมีเหลืออยูในมือเทาไร ใหเขยีนผลบวกของเศษสวนทีใ่ชแทนพื้นที่ของกระดาษที่มีอยูในแตละกอง ผูเรียนควรตอบไดวา จะมกีระดาษในกองที่หนึ่งและกองที่สองเทากันคือเทากับ
2 3 4
1 1 1 1 ...3 3 3 3+ + + + ตารางหนวย และกระดาษที่อยูในมือจะชิ้นเล็กลงเรื่อย ๆ จนไมสามารถตัด
ไดจริง ๆ 2. สมมตวิาสามารถตดักระดาษซ้ําตอไปไดอีกอยางตอเนือ่งอยางไมส้ินสุด เศษสวนในขอ 1
จะมีอยูอยางจาํกัดหรือนับไมถวน และผลบวกของเศษสวนเหลานัน้หาคาไดหรือไม ผูเรียนควรตอบไดวา เศษสวนในขอ 1 มอียูอยางไมจํากัด แตผลบวกของเศษสวนเหลานั้นยังไมแนใจวาจะหาไดหรือไม
3. อนุกรมอนนัต คือ ผลบวกของจํานวนหลาย ๆ จํานวน นับไมถวน เชน 1 + 2 + 3 + 4 + 5 + ... + n + ... เปนอนุกรมอนันต อนกุรมนี้สามารถหาผลบวกเปนจํานวน ๆ หนึง่ไดหรือไม ผูเรียนควรตอบไดวา ไมสามารถหาผลบวกดังกลาวได
4. ถาอนุกรมอนันตไมสามารถหาผลบวกเปนจํานวน ๆ หนึ่งได เรียกอนุกรมนั้นวาอนุกรมลูออก เชน อนุกรมในขอ 3 เปนอนุกรมลูออก อนุกรม 2 3 4
1 1 1 1 ...2 2 2 2+ + + + ลูออก
หรือไม ใหสรางแบบจําลองการตัดกระดาษคลาย ๆ กับที่ทํามาแลว อนุกรม 2 3 4
1 1 1 1 ...2 2 2 2+ + + + ยังไมแนใจวาจะหาผลบวกไดหรือไม แบบจําลองการ
ตัดกระดาษไปเรื่อย ๆ ซ่ึงแทนอนุกรม 2 3 4
1 1 1 1 ...2 2 2 2+ + + + ในขอ 4 เปนดงันี้
12
2
12
3
12
4
12
13
กิจกรรมที ่4 การหาสูตร
n
i 1i
=∑ นอกจากจะใชวิธีทางพีชคณติดังที่ปรากฏในหนังสือเรียนแลว ผูสอน
อาจเพิ่มความนาสนใจใหผูเรียนโดยใชพืน้ที่สรุปการหาผลบวกของ i ไดอีกวิธีหนึง่ดังนี ้กําหนดใหรูปสี่เหล่ียมจัตุรัสเล็ก ๆ 1 รูป มีพื้นที่ 1 ตารางหนวย
รูปที่ 1
จะเห็นวารูปที่ 1 มีพื้นที่เทากับ 1 + 2 + 3 + 4 ตารางหนวย ถานํารูปที่ 1 จํานวนสองรูปมาประกอบกัน จะไดรูปสี่เหล่ียมผืนผาหนึ่งรูป ดังนี ้
รูปสี่เหล่ียมผืนผาที่ไดมีพื้นที่เปนสองเทาของรูปที่ 1 และมีพื้นที่เทากับ 4 5× ตารางหนวย ดังนัน้ จึงได 4 5× = 2(1 + 2 + 3 + 4)
4 52× = 1 + 2 + 3 + 4
ในทํานองเดียวกัน เมื่อ n เปนจํานวนเต็มบวก และตองการหาคาของ 1 + 2 + 3 + ... + n ก็พิจารณาจากพื้นที่ได
4
4
4
5
n
n
n
n + 1
14
จะเห็นวารูปซาย มีพื้นที่เทากับ 1 + 2 + 3 + 4 + ... + n ตารางหนวย ถานํารูปซายจํานวนสองรูปมาประกอบกัน จะไดรูปสี่เหล่ียมผืนผาหนึ่งรูปทีม่ีความยาว n + 1 หนวย และความกวาง n หนวย
รูปสี่เหล่ียมผืนผามีพื้นที่เปนสองเทาของรูปซาย และมพีื้นที่เทากับ n(n 1)+ ตารางหนวย ดังนัน้ จึงได n(n 1)+ = 2(1 + 2 + 3 + 4 + ... + n)
= n
i 12 i=∑
n
i 1i
=∑ = n(n 1)
2+
ตัวอยางแบบทดสอบประจําบท
1. ลําดับตอไปนี้เปนลําดับลูเขาหรือลูออก (1) an = 2n
5n 3− (2) an =
2
2
1 n2 3n−+
(3) an = 2
3 2
n n 72n n− ++
(4) an = n91
10⎛ ⎞+ ⎜ ⎟⎝ ⎠
(5) an = n12
2⎛ ⎞− −⎜ ⎟⎝ ⎠
(6) an = 1 + (–1)n
2. จงตัดสินวาลําดับตอไปนี้เปนลําดับลูเขาหรือลูออก โดยพิจารณาคาของพจนตาง ๆ ในลําดับโดยตรง หรือใชเครื่องคํานวณชวยเขียนกราฟของลําดับ หรือใชทฤษฎบีทเกี่ยวกับลิมติ
(1) an = n 2n 13−+
(2) an = n 1 1( 1)n
+−
3. เขียน 0.249 ใหอยูในรูปเศษสวน 4. จงหาคา (1) n
n 1
23
∞
=∑ (2) 2
k 1
14k 1
∞
= −∑
(3) n n
nn 0
2 79
∞
=
+∑ (4) k 1
6 64k 1 4k 3
∞
=
⎛ ⎞−⎜ ⎟− +⎝ ⎠∑
5. อนุกรม 1 1 1 1... ...1 5 2 6 3 7 n(n 4)
+ + + + +⋅ ⋅ ⋅ +
เปนอนุกรมลูเขาหรือลูออก
6. การเลนบันจีจัมป (bungee jump) เปนกจิกรรมทาทายที่ผูเลนกระโดดลงมาจากที่สูงโดยมีปลาย เชือกดานหนึ่งผูกติดลําตัวหรือหัวเขาของผูเลน ปลายเชือกอีกดานหนึ่งผูกติดไวกบัฐานกระโดด ชายคนหนึง่ใชเชือกยาว 250 ฟุต กระโดดบันจจีัมปจากฐานกระโดด และพบวาหลังจากใน แตละครั้งที่เขาดิ่งลงถึงตําแหนงต่ําสดุ เชือกที่มีความยืดหยุนสูงจะดึงตัวเขาใหลอยขึ้นเปน ระยะทาง 55% ของระยะทางที่เขาดิ่งลงถึงตําแหนงต่ําสุด จงหาระยะทางที่ชายคนนี้เคลื่อนที่ ลอยข้ึนและดิ่งลงทั้งหมด
15
เฉลยตัวอยางแบบทดสอบประจําบท
1. (1) n2nlim
5n 3→∞ − = n
2nlim3n 5n
→∞ ⎛ ⎞−⎜ ⎟⎝ ⎠
= n2lim 35
n→∞
−
เนื่องจาก nlim 2→∞
= 2 และ n3lim 5n→∞
⎛ ⎞−⎜ ⎟⎝ ⎠
= 5
จะได n2lim 35
n→∞
− = n
n
lim 2
3lim 5n
→∞
→∞⎛ ⎞−⎜ ⎟⎝ ⎠
= 25
ดังนั้น ลําดับ n2na
5n 3=
− เปนลําดับลูเขา และ n
2nlim5n 3→∞ −
= 25
(2) 2
2n1 nlim2 3n→∞−+
= 2
2
22
n
1n 1nlim2n 3n
→∞
⎛ ⎞−⎜ ⎟⎝ ⎠⎛ ⎞+⎜ ⎟⎝ ⎠
= 2
2
n
1 1nlim 2 3n
→∞
−
+
เนื่องจาก 2n1lim 1n→∞
⎛ ⎞−⎜ ⎟⎝ ⎠
= –1 และ 2n2lim 3n→∞
⎛ ⎞+⎜ ⎟⎝ ⎠
= 3
จะได 2
2
n
1 1nlim 2 3n
→∞
−
+ =
2
2
n
n
1lim 1n2lim 3n
→∞
→∞
⎛ ⎞−⎜ ⎟⎝ ⎠⎛ ⎞+⎜ ⎟⎝ ⎠
= 13−
ดังนั้น ลําดับ 2
n 2
1 na2 3n−
=+
เปนลําดับลูเขา และ 2
2n1 nlim2 3n→∞−+
= 13
−
(3) 2
2 2nn n 7lim2n n→∞− ++
= 3
2 3
3n
1 1 7nn n nlim
1n 2n
→∞
⎛ ⎞− +⎜ ⎟⎝ ⎠
⎛ ⎞+⎜ ⎟⎝ ⎠
= 2 3
n
1 1 7n n nlim 12
n→∞
− +
+
เนื่องจาก 3 3n1 1 7limn n n→∞
⎛ ⎞− +⎜ ⎟⎝ ⎠
= 0 และ n1lim 2n→∞
⎛ ⎞+⎜ ⎟⎝ ⎠
= 2
จะได 2 3
n
1 1 7n n nlim 12
n→∞
− +
+ = 0
2 = 0
ดังนั้น ลําดับ 2
n 2 2
n n 7a2n n− +
=+
เปนลําดับลูเขา และ 2
3 2nn n 7lim2n n→∞− ++
= 0
(4) เนื่องจาก nlim 1→∞
= 1 และ n
n9lim
10→∞⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 0
จะได n
n9lim 1
10→∞
⎛ ⎞⎛ ⎞+⎜ ⎟⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠⎝ ⎠ =
n
n n9lim 1 lim
10→∞ →∞⎛ ⎞+ ⎜ ⎟⎝ ⎠
= 1 + 0
ดังนั้น ลําดับ an = n91
10⎛ ⎞+ ⎜ ⎟⎝ ⎠
เปนลําดับลูเขา และ n
n9lim 1
10→∞
⎛ ⎞⎛ ⎞+⎜ ⎟⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠⎝ ⎠ = 1
16
(5) เนื่องจาก nlim 2→∞
= 2 และ n
n1lim2→∞
⎛ ⎞−⎜ ⎟⎝ ⎠
= 0
จะได n
n1lim 22→∞
⎛ ⎞⎛ ⎞− −⎜ ⎟⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠⎝ ⎠ =
n
n n1lim 2 lim2→∞ →∞
⎛ ⎞− −⎜ ⎟⎝ ⎠
= 2 – 0 = 2
ดังนั้น an = n12
2⎛ ⎞− −⎜ ⎟⎝ ⎠
เปนลําดับลูเขา และ n
n1lim 22→∞
⎛ ⎞⎛ ⎞− −⎜ ⎟⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠⎝ ⎠ = 2
(6) ลําดับนี้คือ 0, 2, 0, 2, ... ซ่ึงไมมีลิมิต ดังนั้น ลําดับนี้เปนลําดับลูออก
2. (1) พิจารณาคาของ an โดยตรง เมื่อ n มีคามากขึ้น n – 2 และ n +13 มีคาใกลเคียงกนั มาก ลิมิตของลําดับ an = n 2
n 13−+
จึงเทากับ 1 ใชทฤษฎีบทเกี่ยวกับลิมิตเพือ่สนับสนุนการพิจารณาขางตนดังนี ้
nn 2limn 13→∞−+
= n
2n 1nlim
13n 1n
→∞
⎛ ⎞−⎜ ⎟⎝ ⎠⎛ ⎞+⎜ ⎟⎝ ⎠
= n
21nlim 131n
→∞
−
+
เนื่องจาก n2lim 1n→∞
⎛ ⎞−⎜ ⎟⎝ ⎠
= 1 และ n13lim 1n→∞
⎛ ⎞+⎜ ⎟⎝ ⎠
= 1
จะได n
21nlim 131n
→∞
−
+ = n
n
2lim 1n
13lim 1n
→∞
→∞
⎛ ⎞−⎜ ⎟⎝ ⎠⎛ ⎞+⎜ ⎟⎝ ⎠
= 11
= 1
ดังนั้น ลําดับ nn 2an 13−
=+
เปนลําดับลูเขา และ nn 2limn 13→∞−+
= 3
(2) คํานวณหาแตละพจนของลําดับ an = n 1 1( 1)n
+− ไดลําดับ 1 1 1 11, , , , , ...2 3 4 5
− −
จากนั้นพิจารณาคาของ an โดยตรง หรือเขียนกราฟของลําดับ an โดยใชโปรแกรม ประเภทตาราง เชน Microsoft Excel มาชวย จะไดกราฟดังรูป
-0.4
-0.2
0
0.4
0.8
1
2 4 6 10
0.6
0.2
an
n 8
17
จากกราฟ จะเห็นวา an จะเขาใกล 0 เมื่อ n มีคามากขึ้นโดยไมมีที่ส้ินสุด ดังนั้น ลําดับ an = n 1 1( 1)
n+− เปนลําดับลูเขา และ n 1
n
1lim ( 1)n
+
→∞
⎛ ⎞−⎜ ⎟⎝ ⎠
= 0
3. 0.249 = 0.24999... = 0.24 + 0.009 + 0.0009 + 0.00009 + ... = 3 4 5
9 9 90.24 ...10 10 10
+ + + +
3 4 5
9 9 9 ...10 10 10
+ + + เปนอนุกรมเรขาคณิตที่มี a1 = 3
910
และ r = 110
เนื่องจาก r = 110
< 1 อนุกรม 3 4 5
9 9 9 ...10 10 10
+ + + เปนอนุกรมลูเขา
และมีผลบวกเทากับ 1a1 r−
= 39
1011
10−
= 39
109
10
= 1100
= 0.01
ดังนั้น 0.249 = 0.24 + 0.01 = 0.25 = 14
4. (1) nn 1
23
∞
=∑ = 2 3 n
2 2 2 2... ...3 3 3 3+ + + + +
เปนอนุกรมเรขาคณิตที่ม ี a1 = 23
และ r = 13
เนื่องจาก r = 13
= 13
< 1 อนุกรมนี้เปนอนุกรมลูเขา
และมีผลบวกเทากับ 1a1 r−
= 23
113
− = 1
ดังนั้น nn 1
23
∞
=∑ = 1
(2) ให Sn = n
2k 1
14k 1= −∑
เนื่องจาก 2
14k 1−
= 2
1(2k) 1−
= 1(2k 1)(2k 1)− +
จะได Sn = n
k 1
1 1 12 2k 1 2k 1=
⎛ ⎞⎛ ⎞−⎜ ⎟⎜ ⎟− +⎝ ⎠⎝ ⎠∑
= n
k 1
1 1 12 2k 1 2k 1=
⎛ ⎞−⎜ ⎟− +⎝ ⎠∑
= 1 1 1 1 1 1 1 11 ...2 3 3 5 5 7 2n 1 2n 1⎛ ⎞⎛ ⎞ ⎛ ⎞ ⎛ ⎞ ⎛ ⎞− + − + − + + −⎜ ⎟⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟− +⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠
18
= 1 112 2n 1⎛ ⎞−⎜ ⎟+⎝ ⎠
nnlim S→∞
= n1 1lim 12 2n 1→∞⎛ ⎞−⎜ ⎟+⎝ ⎠
= 12
ดังนั้น 2k 1
14k 1
∞
= −∑ = 12
(3) n n
nn 0
2 79
∞
=
+∑ = n
nn 0
29
∞
=∑ +
n
nn 0
79
∞
=∑
= n
n 0
29
∞
=
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
∑ + n
n 0
79
∞
=
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
∑
= 12
19
− + 1
71
9−
= 9 9 18 63 817 2 14 14
++ = =
n n
nn 0
2 79
∞
=
+∑ = 8114
(4) ให Sn = n
k 1
6 64k 1 4k 3=
⎛ ⎞−⎜ ⎟− +⎝ ⎠∑
จะได Sn = n
k 1
6 64k 1 4k 3=
⎛ ⎞−⎜ ⎟− +⎝ ⎠∑
= 6 6 6 6 6 6 62 ...
7 7 11 11 15 4n 1 4n 3− + − + − + + −
− +⎛ ⎞ ⎛ ⎞ ⎛ ⎞ ⎛ ⎞⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
= 62
4n 3−
+
nnlim S→∞
= n6lim 2
4n 3→∞⎛ ⎞−⎜ ⎟+⎝ ⎠
= 2
ดังนั้น k 1
6 64k 1 4k 3=
∞ ⎛ ⎞−⎜ ⎟− +⎝ ⎠∑ = 2
5. พิจารณา 1k(k 4)+
= 1 1 14 k k 4
−+
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
ดังนั้น Sn = 1 1 1 1...
1 5 2 6 3 7 n(n 4)+ + + +
⋅ ⋅ ⋅ +
= 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 11
4 5 2 6 3 7 4 8 5 9 6 10− + − + − + − + − + − +
⎛⎛ ⎞ ⎛ ⎞ ⎛ ⎞ ⎛ ⎞ ⎛ ⎞ ⎛ ⎞⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎜⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝
1 1 1 1...
7 11 n n 4− + + −
+
⎞⎛ ⎞ ⎛ ⎞⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎟⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎠
= 1 1 1 1 1 1 1 1 11
4 2 3 4 4 n 1 n 2 n 3 n 4+ + + + − − − −
+ + + +⎛ ⎞ ⎛ ⎞⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎝ ⎠ ⎝ ⎠
19
เนื่องจาก nnlim S→∞
= n
1 1 1 1 1 1 1 1 11
4 2 3 4 4 n 1 n 2 n 3 n 4lim→∞
+ + + + − − − −+ + + +
⎛ ⎞⎛ ⎞ ⎛ ⎞⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠
= 1 1 1 11
4 2 3 4+ + +⎛ ⎞
⎜ ⎟⎝ ⎠
= 2548
ดังนั้น อนกุรม 1 1 1 1... ...
1 5 2 6 3 7 n(n 4)+ + + + +
⋅ ⋅ ⋅ + เปนอนุกรมลูเขา และมีผลบวกเทากับ 25
48
6. ระยะทางทีช่ายคนนี้เร่ิมกระโดดจนถึงตําแหนงต่ําสดุมีระยะทาง 250 ฟุต ชายคนนี้จะลอยขึ้นสูงเปนระยะทาง 55% ของระยะทางที่เขาดิ่งลงถึงตําแหนงต่ําสุด มีคาเทากบั ของระยะทางที่เขาดิ่งลงถึงตําแหนงต่ําสุด
ระยะทางที่ชายคนนี้ลอยข้ึนครั้งที่ 1 แลวดิ่งลงถึงตาํแหนงต่ําสดุมีระยะทาง
คือ
ระยะทางที่ชายคนนี้ลอยข้ึนครั้งที่ 2 แลวดิ่งลงถึงตาํแหนงต่ําสดุมีระยะทางคือ
ระยะทางที่ชายคนนี้ลอยข้ึนแลวดิ่งลงเปนเชนนีไ้ปเรื่อย ๆ จะไดระยะทางที่ชายคนนี้เคลื่อนที่ลอยข้ึนและดิ่งลงทั้งหมดเทากับ
2 311 11 11
250 500 500 500 ...20 20 20
+ + + +⎛ ⎞ ⎛ ⎞ ⎛ ⎞⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
= 2 3
11 11 11250 500
20 20 20...+
⎛ ⎞⎛ ⎞ ⎛ ⎞⎜ ⎟+ + +⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠
= 1120250 500
111
20
+−
⎛ ⎞⎜ ⎟⎜ ⎟⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠
= 11250 500
9+ ⎛ ⎞
⎜ ⎟⎝ ⎠
= 861.11 ดังนั้น ในการกระโดดบนัจจีัมปคร้ังนี้ ชายคนนี้เคลื่อนที่ลอยข้ึนและดิ่งลงเปนระยะทางทั้งหมด 861.11 ฟุต
1120
11 11 11250 250 500 ฟุต20 20 20⎛ ⎞ ⎛ ⎞ ⎛ ⎞⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
+ =
211 11 11 11 11250 250 500 ฟุต20 20 20 20 20⎛ ⎞⎛ ⎞ ⎛ ⎞⎛ ⎞ ⎛ ⎞⎜ ⎟⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠
+ =
20
เฉลยแบบฝกหัด 1.1 ก
1. (1) a2 = a1 + 2 – 1 = 0 + 2 – 1 = 1 a3 = a2 + 3 – 1 = 1 + 3 – 1 = 3 a4 = a3 + 4 – 1 = 3 + 4 – 1 = 6 a5 = a4 + 5 – 1 = 6 + 5 – 1 = 10 ดังนั้น 5 พจนแรกของลําดับนี้คือ 0, 1, 3, 6, 10
(2) a2 = 1 + 0.05a1 = 1 + 0.05(1000) = 51 a3 = 1 + 0.05a2 = 1 + 0.05(51) = 3.55 a4 = 1 + 0.05a3 = 1 + 0.05(3.55) = 1.1775 a5 = 1 + 0.05a4 = 1 + 0.05(1.1775) = 1.058875 ดังนั้น 5 พจนแรกของลําดบันี้คือ 1000, 51, 3.55, 1.1775, 1.058875
(3) a2 = 6a1 = 6(2) = 12 a3 = 6a2 = 6(12) = 72 a4 = 6a3 = 6(72) = 432 a5 = 6a4 = 6(432) = 2592 ดังนั้น 5 พจนแรกของลําดบันี้คือ 2, 12, 72, 432, 2592
(4) a3 = a2 + 2a1 = 2 + 2(1) = 4 a4 = a3 + 2a2 = 4 + 2(2) = 8 a5 = a4 + 2a3 = 8 + 2(4) = 16 ดังนั้น 5 พจนแรกของลําดบันี้คือ 1, 2, 4, 8, 16
(5) a3 = a2 + a1 = 0 + 2 = 2 a4 = a3 + a2 = 2 + 0 = 2 a5 = a4 + a3 = 2 + 2 = 4 ดังนั้น 5 พจนแรกของลําดบันี้คือ 2, 0, 2, 2, 4
2. (1) เปนลําดับเลขคณิต มีผลตางรวมเปน 2 (2) เปนลําดับเรขาคณิต มีอัตราสวนรวมเปน –1 (3) เปนลําดับเลขคณิต มีผลตางรวมเปน –2 (4) เปนลําดับเรขาคณิต มีอัตราสวนรวมเปน 1
3
(5) ไมเปนทั้งลําดบัเลขคณิตและลําดับเรขาคณิต
21
3. (1) d = 4 – (–2) = 6 เนื่องจาก an = a1 + (n – 1)d ∴ an = –2 + (n – 1)6 = 6n – 8 พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an = 6n – 8
(2) d = 1 16 6
⎛ ⎞− −⎜ ⎟⎝ ⎠
= 13
เนื่องจาก an = a1 + (n – 1)d ∴ an = 1 1(n 1)
6 3− + −
= 3 n6 3
− +
= 2n 36−
พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an = 2n 36−
(3) d = 113 112− = 5
2
เนื่องจาก an = a1 + (n – 1)d ∴ an = 511 (n 1)
2+ −
= 17 5n2 2+
= 5n 172+
พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an = 5n 172+
(4) d = 22.54 – 19.74 = 2.8 เนื่องจาก an = a1 + (n – 1)d ∴ an = 19.74 + (n – 1)(2.8) = 2.8n + 16.94 พจนที ่ n ของลําดับนี้คือ an = 2.8n + 16.94
(5) d = (x + 2) – x = 2 เนื่องจาก an = a1 + (n – 1)d ∴ an = x + (n – 1)2 = x + 2n – 2 พจนที ่ n ของลําดับนี้คือ an = x – 2 + 2n
22
(6) d = (2a + 4b) – (3a + 2b) = –a + 2b เนื่องจาก an = a1 + (n – 1)d ∴ an = (3a + 2b) + (n – 1)(–a + 2b) = 3a + 2b – na + 2nb + a – 2b = 4a – na + 2nb พจนที ่ n ของลําดับนี้คือ an = 4a – na + 2nb
4. จะได 5p – p = 6p + 9 – 5p 4p = p + 9 3p = 9 p = 3 จะได สามพจนแรกของลําดบันี้คือ 3, 15, 27 ลําดับนี้มีผลตางรวมเปน 12 ดังนั้น ส่ีพจนตอไปของลําดับนี้คือ 39, 51, 63, 75
5. ใหลําดับนี้มีสามพจนแรกคอื a – d, a, a + d จะได a – d + a + a + d = 12 ---------- (1) และ (a – d)3 + a3 + (a + d)3 = 408 ---------- (2) จาก (1) 3a = 12 a = 4 จาก (2), a3 – 3a2d + 3ad2 – d3 + a3 + a3 + 3a2d + 3ad2 + d3 = 408 3a3 + 6ad2 = 408 3(4)3 + 24d2 = 408 24d2 = 408 – 192 d2 = 216
24
= 9 d = 3 หรือ –3 ถา d = 3 แลว จะไดลําดับนี้คือ 1, 4, 7, 10, 13, ... ถา d = –3 แลว จะไดลําดบันี้คือ 7, 4, 1, –2, –5, ...
6. (1) r = 63
−−
= 2 เนื่องจาก an = a1rn–1 ∴ an = (–3)2n–1 พจนที ่ n ของลําดับนี้คือ an = (–3)2n–1
23
(2) r = 510− = 1
2−
เนื่องจาก an = a1rn–1
∴ an = n 1110
2
−⎛ ⎞−⎜ ⎟⎝ ⎠
พจนที ่ n ของลําดับนี้คือ an = n 1110
2
−⎛ ⎞−⎜ ⎟⎝ ⎠
(3) r = 5414
= 5
เนื่องจาก an = a1rn–1 ∴ an = n 11 5
4−⎛ ⎞
⎜ ⎟⎝ ⎠
พจนที ่ n ของลําดับนี้คือ an = n 11 54
−⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
(4) r = 5356
= 2
เนื่องจาก an = a1rn–1 ∴ an = n 15 (2)
6−⎛ ⎞
⎜ ⎟⎝ ⎠
พจนที ่ n ของลําดับนี้คือ an = n 15 (2)6
−⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
(5) r = 1
1229
− = 3
8−
เนื่องจาก an = a1rn–1
∴ an = n 12 3
9 8
−⎛ ⎞⎛ ⎞− −⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠⎝ ⎠
พจนที ่ n ของลําดับนี้คือ an = n 12 3
9 8
−⎛ ⎞⎛ ⎞− −⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠⎝ ⎠
(6) r = 2 2
3
a bab
= ab
เนื่องจาก an = a1rn–1
∴ an = n 1
3 a(ab )b
−⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
24
= n
4 n
ab −
พจนที ่ n ของลําดับนี้คือ an = n
4 n
ab −
7. (1) ให a1 = –15 และ a5 = –1215 จะได a5 = a 1r4 = –1215 –15r4 = –1215 r4 = 81 r = –3 หรือ r = 3 ดังนั้น สามพจนที่อยูระหวาง –15 กับ –1215 คือ 45, –135, 405 หรือ –45, –135, –405
(2) ให a1 = 43
และ a5 = 2764
จะได a5 = a 1r4 = 2764
43
r4 = 2764
r4 = 81256
r = 34
หรือ r = 34
−
ดังนั้น 3 พจนที่อยูระหวาง 43
กับ 2764
คือ 1, 34
, 916
หรือ –1, 34
, 916
− 8. ให a เปนจํานวนทีน่ําไปบวก จะได 3 + a, 20 + a, 105 + a เปนลําดับเรขาคณิต ดังนั้น 20 a
3 a++
= 105 a20 a
++
400 + 40a + a2 = 315 + 108a + a2 68a = 85 a = 85
68 = 5
4
จํานวนที่นําไปบวกคือ 54
25
เฉลยแบบฝกหัด 1.1 ข
1. (1) ลูออก
n 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 an 1 0 –1 0 1 0 –1 0 1 0
(2) ลูเขา
n 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 an 1 0 –0.333 0 0.2 0 –0.142 0 –0.111 0
-0.4 -0.2
0 0.2 0.4 0.6 0.8
1 1.2
0 5 10 15 20 25 30
an
n
-1.5
-1
-0.5
0
0.5
1
1.5
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
an
n
26
(3) ลูเขา
n 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 an 2.5 1.666 1.25 1 0.833 0.714 0.625 0.555 0.5 0.454
(4) ลูออก
n 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 an 2 2 2.666 4 6.4 10.666 18.285 32 56.888 102.4
n 0
0.5
1
1.5
2
2.5
0
an
10 20 30
0
10
20
30
40
50
60
0 2 4 6 8
an
n
27
(5) ลูออก
n 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 an 0 4 0 8 0 12 0 16 0 20
(6) ลูเขา
n 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 an 3.5 3.75 3.875 3.937 3.968 3.984 3.992 3.996 3.998 3.999
0 5
10 15 20 25 30 35 40
0 5 10 15 20
an
n
3.4 3.5 3.6 3.7 3.8 3.9
4 4.1
0 2 4 6 8
an
n
28
(7) ลูเขา
n 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 an 4 2 1 0.5 0.25 0.125 0.0625 0.03125 0.015625 0.0078125
(8) ลูเขา
n 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 an 0.666 0.816 0.873 0.903 0.922 0.934 0.943 0.950 0.955 0.960
0 1 2 3 4 5 6 7 8 9
0 2 4 6 8
an
n
0
0.2
0.4
0.6
0.8
1
1.2
0 5 10 15 20
an
n
29
(9) ลูออก
n 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 an –1.333 1.777 –2.370 3.160 –4.213 5.618 –7.491 9.988 –13.318 17.757
(10) ลูเขา
.n 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 an 0.25 0.333 0.3 0.222 0.147 0.090 0.053 0.031 0.017 0.009
0 0.05
0.1 0.15
0.2 0.25
0.3 0.35
0 2 4 6 8 10 12
an
n
-15
-10
-5
0
5
10
15
20
0 2 4 6 8 10 12
an
n
30
2. ไมเห็นดวย เพราะเปนการสรุปที่ไมถูกตอง ถา xn และ yn เปนลําดับ การที่จะกลาววา n
nn
xlimy→∞
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= nn
nn
lim x
lim y→∞
→∞
ไดนัน้ ขอตกลงเบือ้งตนเกีย่วกับ nnlim x→∞
และ nnlim y→∞
ตองเปน
จริงกอน ขอกาํหนดเบื้องตนนั้นคือ nnlim x→∞
และ nnlim y→∞
ตองหาคาได ในกรณีนี้ ตองจัดรูป an และ bn กอนการใชทฤษฎีบทเกี่ยวกับลิมิต ดังนี ้
จาก 4 22n n43n 13
−
+ =
14n (2 )2n134n (3 )4n
−
+ =
12 2n133 4n
−
+
และเนื่องจาก 2n
1lim(2 )n→∞
− = 2 และ 4n
13lim(3 )n→∞
+ = 3
ดังนั้น 4 2
4n
2n nlim3n 13→∞
−+
= 12 2nlimn 133 4n
−
→∞+
= 2n
4n
1lim(2 )n13lim(3 )n
→∞
→∞
−
+
= 23
3. (1)
n
8lim3n→∞
= n
8 1lim3 n→∞
= 8 (0)3
= 0 ดังนั้น ลําดับ an = 8
3n เปนลําดับลูเขา
(2) จาก n
n
87
= n8
7⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
จะได n
nn
8lim7→∞
= n
n
8lim7→∞
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
n
n
8lim7→∞
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
หาคาไมได เพราะ 87
> 1
ดังนั้น ลําดับ an = n
n
87
เปนลําดับลูออก
(3) n( 1)− = 1 เมื่อ n เปนจํานวนคู และ n( 1)− = –1 เมื่อ n เปนจํานวนคี ่ ดังนั้น ลําดับ an = (–1)n ไมมีลิมิต และเปนลําดับลูออก
31
(4) n
n
1lim 32→∞
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= n
n
13lim2→∞
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 3(0) = 0
ดังนั้น ลําดับ an = n13
2⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
เปนลําดับลูเขา
(5) เนื่องจาก nlim 4→∞
= 4 และ n
1limn→∞
= 0
จะได n
1lim 4n→∞
⎛ ⎞+⎜ ⎟⎝ ⎠
= n n
1lim 4 limn→∞ →∞
+
= 4 + 0 = 4 ดังนั้น ลําดับ an = 14
n+ เปนลําดับลูเขา
(6) จาก 6n 46n− = 6n 4
6n 6n− = 1 – 2
3n
และเนื่องจาก nlim1→∞
= 1 และ n
2lim3n→∞
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 0
จะได n
6n 4lim6n→∞
−⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= n
2lim 13n→∞
⎛ ⎞−⎜ ⎟⎝ ⎠
= n n
2lim1 lim3n→∞ →∞
− = 1 – 0 = 1 ดังนั้น ลําดับ an = 6n 4
6n− เปนลําดับลูเขา
(7) เมื่อ n มีคาเพิ่มขึ้น คาของพจนที่ n ของลําดับนี้จะเพิ่มขึ้น และไมเขาใกลจํานวนใด จํานวนหนึ่ง
ดังนั้น ลําดับ an = 3n 56+ เปนลําดับลูออก
(8) จาก nn 1+
= n1
n 1n
+⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 111n
+
และเนื่องจาก nlim1→∞
= 1 และ n
1limn→∞
= 0
จะได n
nlimn 1→∞
⎛ ⎞⎜ ⎟+⎝ ⎠
= n
1lim 11n
→∞
⎛ ⎞⎜ ⎟⎜ ⎟⎜ ⎟+⎜ ⎟⎝ ⎠
32
= n
n n
lim11lim1 limn
→∞
→∞ →∞+
= 11 0+
= 1 ดังนั้น ลําดับ an = n
n 1+ เปนลําดับลูเขา
(9) เนื่องจาก 2n
4limn→∞
= 0 และ 2n
5nlimn→∞
= 0
จะได 2n
4 5nlimn→∞
+⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 2 2n n
4 5nlim limn n→∞ →∞
+
= 0 + 0 = 0 ดังนั้น ลําดับ an = 2
4 5nn+ เปนลําดับลูเขา
(10) จาก 2n 13n 1
−+
= 1
n 2n
n 3n
1
−
+
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 1
2n
3n
1
−
+
และเนื่องจาก 1lim 2
n n−
→∞⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 2 และ lim 3n n
1+
→∞⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 3
จะได n
2n 1lim3n 1→∞
−+
= n
n
1lim 2n1lim 3n
→∞
→∞
⎛ ⎞−⎜ ⎟⎝ ⎠⎛ ⎞+⎜ ⎟⎝ ⎠
= 23
ดังนั้น ลําดับ an = 2n 13n 1
−+
เปนลําดับลูเขา
(11) an = 23n 5n
7n 1−−
เปนลําดับลูออก
(12) จาก 2
2
7n5n 3−
= 2
22
7n3n 5n
⎛ ⎞−⎜ ⎟⎝ ⎠
= 2
735n
−
และเนื่องจาก nlim 7→∞
= 7 และ 2n
3lim 5n→∞
⎛ ⎞−⎜ ⎟⎝ ⎠
= 5
จะได 2
2n
7nlim5n 3→∞ −
= n
2n
lim 7
3lim 5n
→∞
→∞
⎛ ⎞−⎜ ⎟⎝ ⎠
33
= 7
5
ดังนั้น ลําดับ an = 2
2
7n5n 3−
เปนลําดับลูเขา
(13) จาก 2
2
4n 2n 3n− + = 2
2 34n n
− +
และเนื่องจาก nlim 4→∞
= 4 , n
2limn→∞
= 0 และ 2n
3limn→∞
= 0
จะได 2
2n
4n 2n 3limn→∞
⎛ ⎞− +⎜ ⎟⎝ ⎠
= 2n
2 3lim 4n n→∞
⎛ ⎞− +⎜ ⎟⎝ ⎠
= 2n n n
2 3lim 4 lim limn n→∞ →∞ →∞
− + = 4 – 0 + 0 = 4 ดังนั้น ลําดับ an =
2
2
4n 2n 3n− + เปนลําดับลูเขา
(14) จาก 2
2
3n 110n 5n
−−
= 2
2
2
1n 3n
10n 5n
⎛ ⎞−⎜ ⎟⎝ ⎠⎛ ⎞−⎜ ⎟⎝ ⎠
= 213n
10 5n
−
−
และเนื่องจาก 2n
1lim 3n→∞
⎛ ⎞−⎜ ⎟⎝ ⎠
= 3 และ 10lim 5n n
−→∞
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= –5
จะได 2
2n
3n 1lim10n 5n→∞
⎛ ⎞−⎜ ⎟−⎝ ⎠
= 2n
n
1lim 3n
10lim 5n
→∞
→∞
⎛ ⎞−⎜ ⎟⎝ ⎠⎛ ⎞−⎜ ⎟⎝ ⎠
= 35
−
ดังนั้น ลําดับ an = 2
2
3n 110n 5n
−−
เปนลําดับลูเขา
(15) เนื่องจาก n
1limn→∞
= 0 และ n
1limn 1→∞ +
= 0
จะได n
1 1limn n 1→∞
⎛ ⎞−⎜ ⎟+⎝ ⎠ =
n n
1 1lim limn n 1→∞ →∞−
+
= 0 – 0 = 0 ดังนั้น ลําดับ an = 1 1
n n 1−
+ เปนลําดับลูเขา
34
(16) จาก n 1
n 2
35
+
+ = n 1
n 1
35 5
+
+⋅ =
n 11 35 5
+⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
จะได n 1
n 2n
3lim5
+
+→∞ =
n 1
n
1 3lim5 5
+
→∞
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= n 1
n
1 3lim5 5
+
→∞
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 1 (0)5
= 0 ดังนั้น ลําดับ an =
n 1
n 2
35
+
+ เปนลําดับลูเขา
(17) จาก n 1
n 2
2 33
−
+
+ = n 1
n 1 n 2
2 327 3 3
−
− ++⋅
= n 1
1 2 1n 127 3 3
−+ +
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
และเนื่องจาก n 11 2lim27 3n
⎛ ⎞⎛ ⎞⎜ ⎟⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠⎝ ⎠
−
→∞ = 1
27 และ 1lim n 1n 3
⎛ ⎞⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠+→∞
= 0
จะได n 1
n 2n
2 3lim3
−
+→∞
+ = n 11 2 1lim n 127 3n 3
⎛ ⎞⎛ ⎞⎜ ⎟⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠⎝ ⎠
−+ +→∞
= n 1
n 1n n
1 2 1lim lim27 3 3
−
+→∞ →∞
⎛ ⎞ +⎜ ⎟⎝ ⎠
= 1 (0) 027
+ = 0 ดังนั้น ลําดับ an =
n 1
n 2
2 33
−
+
+ เปนลําดับลูเขา
(18) จาก n 1n 1−+
= 1n 1n
1n 1n
⎛ ⎞−⎜ ⎟⎝ ⎠⎛ ⎞+⎜ ⎟⎝ ⎠
= 11n
11n
−
+
และเนื่องจาก n
1lim(1 )n→∞
− = 1 และ n
1lim(1 )n→∞
+ = 1
จะได n
n 1limn 1→∞
−+
= n
n
1lim 1n
1lim 1n
→∞
→∞
⎛ ⎞−⎜ ⎟⎝ ⎠⎛ ⎞+⎜ ⎟⎝ ⎠
= 1 ดังนั้น ลําดับ an = n 1
n 1−+
เปนลําดับลูเขา
35
(19) จาก 2n 1
4n− = 2
1n 1n
4n
− = 2
11n
4
−
และเนื่องจาก 2n
1lim 1n→∞
− = 1 และ nlim 4→∞
= 4
จะได 2
n
n 1lim4n→∞
− = 2
n
11nlim
4→∞
−
= 2n
1 1lim 14 n→∞
⎛ ⎞−⎜ ⎟⎝ ⎠
= 1 14
= 14
ดังนั้น ลําดับ an = 2n 1
4n− เปนลําดับลูเขา
(20) จาก 2
3 3
4n 12n n 2
−
+ + = 2
33
1n 4n
2n 2 1n
−
⎛ ⎞+ +⎜ ⎟
⎝ ⎠
= 2
33
14n
22 1n
−
+ +
และเนื่องจาก 2n
1lim 4n→∞
⎛ ⎞−⎜ ⎟⎜ ⎟
⎝ ⎠ = 2 และ 3
3n
2lim 2 1n→∞
⎛ ⎞+ +⎜ ⎟⎜ ⎟
⎝ ⎠ = 3
จะได 2
3 3n
4n 1lim2n n 2→∞
−
+ + = 2
n3
3
14nlim
22 1n
→∞
−
+ +
= 2n
33n
1lim 4n
2lim 2 1n
→∞
→∞
⎛ ⎞−⎜ ⎟
⎝ ⎠⎛ ⎞
+ +⎜ ⎟⎝ ⎠
= 2
3
ดังนั้น ลําดับ an = 2
3 3
4n 12n n 2
−
+ + เปนลําดับลูเขา
(21) an = n( 1)
n− เปนลําดับลูเขา
(22) an = 28n 5n 23 2n+ ++
เปนลําดับลูออก
36
4. (1) ไมจริง เชน ลําดับ an = n และ ลําดับ bn = –n เปนลําดับลูออก แตลําดับ (an + bn) = n – n = 0 เปนลําดับลูเขา (2) จริง การพิสูจนโดยขอขัดแยง (proof by contradiction) ทําไดดังนี ้ ส่ิงที่กําหนดใหคือ ลําดับ an เปนลําดบัลูเขา และ ลําดับ bn เปนลําดับลูออก สมมติวา “(an + bn) เปนลําดับลูเขา” เนื่องจากลําดับ an และลําดับ (an + bn) เปนลําดับลูเขา จึงไดวา nn
lim a→∞
และ n nn
lim(a b )→∞
+ หาคาได ให nnlim a→∞
= A และ n nnlim(a b )→∞
+ = B พิจารณา n n nn
lim(a b a )→∞
+ − = nnlim b→∞
และ n n nn
lim(a b a )→∞
+ − = n nnlim(a b )→∞
+ – nnlim a→∞
= B – A ดังนั้น nn
lim b→∞
หาคาได ซ่ึงทาํให ลําดับ bn เปนลําดับลูเขา เกิดขอขดัแยงกับสิ่งทีก่ําหนดให จึงสรุปวา ขอความที่สมมติวา “(an + bn) เปนลําดับลูเขา” เปนเท็จ นั่นคือ (an + bn) ตองเปนลําดับลูออก
5. (1) n
n
rlim P(1 )12→∞
+ = n
n
rP lim(1 )12→∞
+
เนื่องจาก r1 112
+ > ดังนั้น n
n
rlim 112→∞
⎛ ⎞+⎜ ⎟⎝ ⎠
หาคาไมได
ดังนั้น an = nrP 1
12⎛ ⎞+⎜ ⎟⎝ ⎠
ไมเปนลําดบัลูเขา
(2) จาก an = nrP 1
12⎛ ⎞+⎜ ⎟⎝ ⎠
กําหนด r = 1.5100
= 0.015
ส้ินเดือนที่ 1 จะได a1 = 0.0159000 112
⎛ ⎞+⎜ ⎟⎝ ⎠
= 9011.25
ส้ินเดือนที่ 2 จะได a2 = 20.0159000 1
12⎛ ⎞+⎜ ⎟⎝ ⎠
= 9022.51
ส้ินเดือนที่ 3 จะได a3 = 30.0159000 1
12⎛ ⎞+⎜ ⎟⎝ ⎠
= 9033.79
ส้ินเดือนที่ 4 จะได a4 = 40.0159000 1
12⎛ ⎞+⎜ ⎟⎝ ⎠
= 9045.08
ส้ินเดือนที่ 5 จะได a5 = 50.0159000 1
12⎛ ⎞+⎜ ⎟⎝ ⎠
= 9056.39
ส้ินเดือนที่ 6 จะได a6 = 60.0159000 1
12⎛ ⎞+⎜ ⎟⎝ ⎠
= 9067.71
37
ส้ินเดือนที่ 7 จะได a7 = 70.0159000 1
12⎛ ⎞+⎜ ⎟⎝ ⎠
= 9079.05
ส้ินเดือนที่ 8 จะได a8 = 80.0159000 1
12⎛ ⎞+⎜ ⎟⎝ ⎠
= 9090.39
ส้ินเดือนที่ 9 จะได a9 = 90.0159000 1
12⎛ ⎞+⎜ ⎟⎝ ⎠
= 9101.76
ส้ินเดือนที่ 10 จะได a10 = 100.0159000 1
12⎛ ⎞+⎜ ⎟⎝ ⎠
= 9113.13
ดังนั้น สิบพจนแรกของลําดบั คือ 9011.25, 9022.51, 9033.79, 9045.08, 9056.39, 9067.71, 9079.05, 9090.39, 9101.76, 9113.13
6. (1) ให an เปนงบรายจายปกติทีถู่กตัดลงเมื่อเวลาผานไป n ป A แทนงบรายจายปกตเิปน 2.5 พันลานบาท ส้ินปที่ 1 จะได a1 = 20
A (A)100
− = 4A
5
ส้ินปที่ 2 จะได a2 = 4 20 4A A
5 100 5−
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 2
4A
5⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
ส้ินปที่ 3 จะได a3 = 2 2
4 20 4A A
5 100 5−
⎛ ⎞ ⎛ ⎞⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎝ ⎠ ⎝ ⎠
= 3
4A
5⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
ส้ินปที่ n จะได an = n
4A
5⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
ดังนั้น เมื่อเวลาผานไป n ป งบรายจายเปน n
42.5
5⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
พันลานบาท
(2) งบรายจายเมื่อส้ินปที่ 1 เปน 4(2.5)
5 = 2 พันลานบาท
งบรายจายเมื่อส้ินปที่ 2 เปน 2
4(2.5)
5⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 1.6 พันลานบาท
งบรายจายเมื่อส้ินปที่ 3 เปน 3
4(2.5)
5⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 1.28 พันลานบาท
งบรายจายเมื่อส้ินปที่ 4 เปน 4
4(2.5)
5⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 1.024 พันลานบาท
ดังนั้น งบรายจายในสี่ปแรก หลังถูกตัดงบเปน 2, 1.6, 1.28 และ 1.024 พันลานบาท ตามลําดับ
(3) เนื่องจาก 41
5< จะได
n4
lim 2.5n 5→∞
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 0 ดังนั้น ลําดับของงบรายจายนี้เปนลําดับลูเขา
38
เฉลยแบบฝกหัด 1.2 ก 1. (1) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดีังนี ้ S1 = 1
2
S2 = 1 12 6+ = 2
3
S3 = 1 1 12 6 18+ + = 13
18
Sn =
n 11 1 1 1 1...2 6 18 2 3
−⎛ ⎞+ + + + ⎜ ⎟⎝ ⎠
= n
n 1
3 14 3 −
−⋅
ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 12
, 23
, 1318
, ..., n
n 1
3 14 3 −
−⋅
, ...
(2) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดีังนี ้ S1 = 3 S2 = 3 + 2 = 5 S3 = 3 + 2 + 4
3 = 19
3
Sn = 3 + 2 + 4
3+ ... +
n 1233
−⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= n29 1
3⎛ ⎞⎛ ⎞−⎜ ⎟⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠⎝ ⎠
ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 3, 5, 193
, ..., n29 1
3⎛ ⎞⎛ ⎞−⎜ ⎟⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠⎝ ⎠
, ...
(3) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดีังนี ้ S1 = 1
2
S2 = 1 52 2+ = 3
S3 = 1 5 252 2 2+ + = 31
2
Sn = n 11 5 25 1... (5)
2 2 2 2−+ + + + = n1 (1 5 )
8− −
ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 12
, 3, 312
, ..., n1 (1 5 )8
− − , ....
39
(4) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดีังนี ้ S1 = 1
2
S2 = 1 1( )2 4+ − = 1
4
S3 = 1 1 12 4 8
⎛ ⎞+ − +⎜ ⎟⎝ ⎠
= 38
Sn =
n 1
n
1 1 1 ( 1)...2 4 8 2
−−⎛ ⎞+ − + + +⎜ ⎟⎝ ⎠
= n1 11
3 2⎛ ⎞⎛ ⎞− −⎜ ⎟⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠⎝ ⎠
ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 12
, 14
, 38
, ..., n1 11
3 2⎛ ⎞⎛ ⎞− −⎜ ⎟⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠⎝ ⎠
, ...
(5) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดีังนี ้ S1 = 2 S2 = 2 + (–1) = 1 S3 = 2 + (–1) + (–4) = –3 Sn = 2 + (–1) + (–4) + ... + (5 – 3n) = n (7 3n)
2−
ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 2, 1, –3, ..., n (7 3n)2
− , ...
(6) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดีังนี ้ S1 = 3
4
S2 = 3 94 16+ = 21
16
S3 = 3 9 274 16 64+ + = 111
64
Sn =
n3 9 27 3...4 16 64 4
⎛ ⎞+ + + + ⎜ ⎟⎝ ⎠
= n33 1
4⎛ ⎞⎛ ⎞−⎜ ⎟⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠⎝ ⎠
ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 34
, 2116
, 11164
, ..., n33 1
4⎛ ⎞⎛ ⎞−⎜ ⎟⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠⎝ ⎠
, ...
(7) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดีังนี ้ S1 = 0 S2 = 0 + 3 = 3
40
S3 = 0 + 3 + 8 = 11 Sn = 0 + 3 + + 8 + ... + (n2 – 1) =
n2
i 1(i 1)
=
−∑ = 3 22n 3n 5n
6+ −
ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 0, 3, 11, ...,3 22n 3n 5n
6+ − , ...
(8) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดีังนี ้ S1 = –1 S2 = –1 + 0 = –1 S3 = –1 + 0 + 9 = 8 Sn = –1 + 0 + 9 + ... + 23n
(i 2i )i 1
−∑=
= 4 3 23n 2n 9n 4n
12− − −
ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ –1, –1, 8, ..., 4 3 23n 2n 9n 4n
12− − − , ...
(9) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดีังนี ้ S1 = 1
10−
S2 = 1 110 100
− + = 9100
−
S3 = 1 1 110 100 1000
− + − = 911000
−
Sn =
n1 1 1 1...10 100 1000 10
−⎛ ⎞− + − + + ⎜ ⎟⎝ ⎠
= n1 11
11 10⎛ ⎞⎛ ⎞− − −⎜ ⎟⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠⎝ ⎠
ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 110
− , 9100
− , 911000
− , ..., n1 11
11 10⎛ ⎞⎛ ⎞− − −⎜ ⎟⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠⎝ ⎠
, ...
(10) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดีังนี ้ S1 = 100 S2 = 100 + 10 = 110 S3 = 100 + 10 + 1 = 111 Sn = 100 + 10 + 1 + 0.1 + ... + 103 – n = n
1000 119 10
⎛ ⎞−⎜ ⎟⎝ ⎠
ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 100, 110, 111, ..., n
1000 119 10
⎛ ⎞−⎜ ⎟⎝ ⎠
, ...
41
(11) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มีดังนี ้ S1 = 1 S2 = 1 – 2 = –1 S3 = 1 – 2 + 3 = 2 S4 = 1 – 2 + 3 – 4 = –2 S5 = 1 – 2 + 3 – 4 + 5 = 3 S6 = 1 – 2 + 3 – 4 + 5 – 6 = –3 ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 1, –1, 2, –2, 3, –3, ...
2. (1) n 11 1 1 1 1...
2 6 18 2 3
−⎛ ⎞+ + + + ⎜ ⎟⎝ ⎠
+ ... เปนอนุกรมเรขาคณิตที่มี r = 13
ซ่ึง | r | < 1
ดังนั้น อนกุรมนี้จึงเปนอนกุรมลูเขาที่มีผลบวกเปน 12
113
− = 3
4
(2) อนุกรมลูเขา มีผลบวกเปน 9 (3) ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 1
2, 3, 31
2, ..., n1 (1 5 )
8− − , ... ลําดับนี้ไมมีลิมิต
ดังนั้น อนุกรมที่กําหนดให ไมสามารถหาผลบวกได จึงเปนอนุกรมลูออก (4) อนุกรมลูเขา มีผลบวกเปน 1
3
(5) ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 2, 1, –3, ..., n (7 3n)2
− , ... ลําดับนี้ไมมีลิมิต ดังนั้น อนุกรมที่กําหนดให ไมสามารถหาผลบวกได จึงเปนอนุกรมลูออก
(6) อนุกรมลูเขา มีผลบวกเปน 3 (7) ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 0, 3, 11, ...,
3 22n 3n 5n6
+ − , ... ลําดับนี้ไมมีลิมิต ดังนั้น อนุกรมทีก่ําหนดให ไมสามารถหาผลบวกได จึงเปนอนุกรมลูออก (8) ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ –1, –1, 8, ...,
4 3 23n 2n 9n 4n12
− − − , ... ลําดับนี ้ ไมมีลิมิต ดังนั้น อนุกรมที่กําหนดให ไมสามารถหาผลบวกได จึงเปนอนุกรมลูออก (9) อนุกรมลูเขา มีผลบวกเปน 1
11−
(10) อนุกรมลูเขา มีผลบวกเปน 10009
(11) ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 1, –1, 2, –2, 3, –3, ... ลําดับนี้ไมมีลิมิต ดังนั้น อนุกรมทีก่ําหนดให ไมสามารถหาผลบวกได จึงเปนอนุกรมลูออก
42
3. (1) จะได 4 1 8 1 16 1 ...9 27 81+ + +
+ + + = 4 8 16 1 1 1... ...9 27 81 9 27 81
⎛ ⎞ ⎛ ⎞+ + + + + + +⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎝ ⎠ ⎝ ⎠
= 4 19 9
2 11 13 3
+− −
= 4 1 3(3)9 9 2
⎛ ⎞ ⎛ ⎞⎛ ⎞+⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠
= 4 13 6+
= 32
(2) อนุกรม n 1
3 3 3 33 ... ...2 4 8 2 −+ + + + + + เปนอนุกรมเรขาคณิตที่มีอัตราสวนรวมเทากับ 1
2
จะได n 1
3 3 3 33 ... ...2 4 8 2 −+ + + + + + = 3
112
−
= 312
= 6 (3) เมื่อ x เปนจํานวนจริง จะได 1 1 1 1
... ...2 2 2 2 3 2 n2 x (2 x ) (2 x ) (2 x )+ + + + +
+ + + +
เปนอนุกรมเรขาคณิตที่มีอัตราสวนรวมเทากับ 122 x+
เนื่องจาก x2 ≥ 0 ดังนัน้ 2 + x2 ≥ 2 ซ่ึงทําให 122 x+
≤ 12
< 1
ดังนัน้ 1 1 1 1... ...2 2 2 2 3 2 n2 x (2 x ) (2 x ) (2 x )
+ + + + ++ + + +
= 1
22 x1
1 22 x
+
−+
= 12x 1+
4. 0.9i = 0.9999...
= 0.9 + 0.09 + 0.009 + 0.0009 + ... = 2 3 4
9 9 9 9 ...10 10 10 10
+ + + +
เนื่องจาก 2 3
9 9 9 ...10 10 10
+ + + เปนอนุกรมเรขาคณิต ที่มีอัตราสวนรวมเทากับ 110
ดังนั้น 2 3
9 9 9 ...10 10 10
+ + + = 9
1011
10−
= 9 1010 9⎛ ⎞⎛ ⎞⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠⎝ ⎠
43
= 1 จะได 0.9
i = 1
5. (1) 0.21i i = 0.212121...
= 0.21 + 0.0021 + 0.000021 + ... = 2 4 6
21 21 21 ...10 10 10
+ + +
= 2
2
2110
1110
−
= 2
2
21 1010 99
⎛ ⎞⎛ ⎞⎜ ⎟⎜ ⎟
⎝ ⎠⎝ ⎠
= 2199
= 733
(2) 0.6104i i = 0.6104104...
= 0.6 + 0.0104 + 0.0000104 + 0.0000000104 + ... = 4 7 10
6 104 104 104 ...10 10 10 10
+ + + +
= 4
3
1046 10
110 110
+−
= 6 10410 9990
+
= 5994 1049990+
= 60989990
(3) 7.256i i = 7.25656...
= 7 + 0.2 + 0.056 + 0.00056 + 0.0000056 + ... = 3 5 7
2 56 56 567 ...10 10 10 10
+ + + + +
= 3
2
562 107 110 1
10
+ +−
= 2 56710 990
+ +
= 198 567990+
+
44
= 2547990
= 1277495
(4) 4.387i i = 4.38787...
= 4 + 0.3 + 0.087 + 0.00087 + 0.0000087 + ... = 3 5 7
3 87 87 874 ...10 10 10 10
+ + + + +
= 3
2
873 104 110 1
10
+ +−
= 3 87410 990
+ +
= 297 874990+
+
= 3844990
= 1924495
(5) 0.073i i = 0.07373...
= 0.073 + 0.00073 + 0.0000073 + ... = 3 5 7
73 73 73 ...10 10 10
+ + +
= 3
2
7310
1110
−
= 73990
(6) 2.9i = 2.999 ...
= 2 + 0.9 + 0.09 + 0.009 + ... = 2 3
9 9 92 ...10 10 10
+ + + +
= 9
102 1110
+−
= 929
+ = 3
45
6. เพราะวา 1 + x + x2 + x3 + ... + xn–1 + ... = 23
และเนื่องจาก a1 = 1 , r = x จะไดวา 2
3 = 1
1 x−
2 – 2x = 3 ∴ x = 1
2−
7. จาก a1 + a1r + a1r2 + a1r3 + ... = 32
จะได 1a1 r−
= 32
---------- (1)
และ a1 – a1r + a1r2 – a1r3 + ... = 34
จะได 1a1 r+
= 34
---------- (2) จาก (1), 2a1 + 3r = 3 ---------- (3) จาก (2), 4a1 – 3r = 3 ---------- (4) (3) + (4), 6a1 = 6 ∴ a1 = 1 จาก (3) จะได r = 3 2
3− = 1
3
8. (1) รูปสี่เหล่ียมจัตรัุสรูปแรกมีดานยาว 5 หนวย
ดานของรูปสี่เหล่ียมจัตุรัสรูปที่สองยาว 2 25 5
2 2⎛ ⎞ ⎛ ⎞+⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎝ ⎠ ⎝ ⎠
= 252
= 5 22
หนวย ดังนั้น รูปสี่เหล่ียมจัตุรัสรูปที่สองมีเสนรอบรูปยาว 10 2 หนวย
(2) ดานของรูปสี่เหล่ียมจัตุรัสรูปที่สามยาว 2 2
5 2 5 24 4
⎛ ⎞ ⎛ ⎞+⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎜ ⎟ ⎜ ⎟
⎝ ⎠ ⎝ ⎠ = 5
2 หนวย
รูปสี่เหล่ียมจัตรัุสรูปที่สามมีเสนรอบรูปยาว 10 หนวย
ดานของรูปสี่เหล่ียมจัตุรัสรูปที่ส่ียาว 2 25 5
4 4⎛ ⎞ ⎛ ⎞+⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎝ ⎠ ⎝ ⎠
= 5 24
หนวย รูปสี่เหล่ียมจัตรัุสรูปที่ส่ีมีเสนรอบรูปยาว 5 2 หนวย จะได ผลบวกของเสนรอบรูปของรูปสี่เหล่ียมจัตุรัสเปน 20 + 10 2 + 10 + 5 2 + ... = 20
212
−
= 20(2 2)+ 9. ความยาวของเสนรอบรูปของรูปสามเหลี่ยมรูปแรก เทากับ 30 นิ้ว ความยาวของเสนรอบรูปของรูปสามเหลี่ยมรูปที่สอง เทากับ 15 นิ้ว ความยาวของเสนรอบรูปของรูปสามเหลี่ยมรูปที่สาม เทากับ 15
2 นิ้ว
46
ผลบวกของความยาวเสนรอบรูปของรูปสามเหลี่ยมทั้งหมดคือ 1530 15 ...2
+ + +
= 30112
−
= 60 ∴ ผลบวกความยาวเสนรอบรูปของรูปสามเหลี่ยมทั้งหมดมคีา 60 นิ้ว
10. การแกวงครั้งแรกจากจุดไกลสุดดานหนึ่งไปอีกดานหนึง่ไดระยะทาง 75 เมตร การแกวงครั้งที่สองไดระยะทาง 75 3
5⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
เมตร
การแกวงครั้งที่สามไดระยะทาง 35
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
75 35
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 7523
5⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
เมตร
การแกวงครั้งที่ส่ีไดระยะทาง 35
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
7523
5⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 7533
5⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
เมตร
ระยะทางที่ไดจากการแกวงครั้งใหมเปนเชนนี้ไปเรื่อย ๆ ดังนั้น เรือไวกิ้งจะแกวงไปมาตั้งแตเร่ิมตนจากจดุสูงสุดเปนระยะทางเทากับ
75 + 75 35
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
+ 7523
5⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
+ 7533
5⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
+ ... = 752 33 3 31 ...
5 5 5
⎛ ⎞⎛ ⎞ ⎛ ⎞⎜ ⎟+ + + +⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠
= 75 1315
⎛ ⎞⎜ ⎟⎜ ⎟⎜ ⎟−⎜ ⎟⎝ ⎠
= 75 52
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 187.5 เมตร
11. (1) ให an เปนระยะทางที่สารพษิแพรกระจายตอจากตําแหนงเดิมเมื่อเวลาผานไป n ป กําหนด a1 = 1500 , a2 = 900 , a3 = 540 สังเกตวา 900 540 3
1500 900 5= =
สมมติให an เปนลําดับเรขาคณิตที่มีพจนแรกเปน 1500 และมีอัตราสวนรวมเปน 3
5
ให S10 เปนผลบวกของระยะทางที่สารพิษแพรกระจายไปไดเมื่อส้ินปที่สิบ จะได S10 = 1500 + 900 + 540 + ... + 1500
935
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
=
1031500 15
315
⎛ ⎞⎛ ⎞−⎜ ⎟⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠⎝ ⎠
−
47
= ( )105 31500 1
2 5⎛ ⎞⎛ ⎞−⎜ ⎟⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠⎝ ⎠
= 37501031
5⎛ ⎞⎛ ⎞−⎜ ⎟⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠⎝ ⎠
= 3727.325 เมื่อส้ินปที่สิบ สารพิษจะแพรกระจายไปได 3727.325 เมตร
(2) เพราะวา ผลบวกอนนัตของอนุกรมนี้เทากบั 1500315
− = 3750
ดังนั้น สารพษิจะแพรกระจายไปไดไกลทีสุ่ด 3,750 เมตร ซ่ึงไปไมถึงโรงเรียน
12. ให Sn แทนผลบวกยอย n พจนแรกของอนุกรม 2 n 12 2 21 ... ...
3 3 3
−⎛ ⎞ ⎛ ⎞+ + + + +⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎝ ⎠ ⎝ ⎠
Sn = ( )na 1 r11 r
−
− =
n2
1 132
13
−
−
⎛ ⎞⎛ ⎞⎜ ⎟⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠⎝ ⎠ =
n2
3 13
−⎛ ⎞⎛ ⎞⎜ ⎟⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠⎝ ⎠
S1 = 1 S2 = 53
= 1.6666
S3 = 199
= 2.1111 S4 = 6527
= 2.4074
S5 = 21181
= 2.6049 S6 = 665243
= 2.7366
S7 = 2059729
= 2.8244 S8 = 63052187
= 2.8829
S9 = 191716561
= 2.9219 S10 = 5802519683
= 2.9479
S11 = 17509959049
= 2.9653
เมื่อ Sn มีคานอยกวา 3 อยูไมเกนิ 1 จะได 2 ≤ Sn < 3 เมื่อ Sn มีคานอยกวา 3 อยูไมเกนิ 0.2 จะได 2.8 ≤ Sn < 3 เมื่อ Sn มีคานอยกวา 3 อยูไมเกนิ 0.05 จะได 2.95 ≤ Sn < 3 จะได n ที่นอยที่สุด ตามเงือ่นไขขางตนเปน n = 3, n = 7 และ n = 11 ตามลําดับ
13. ให Sn แทนผลบวกยอย n พจนแรกของอนุกรม 1 1 11 ... ...2 3 n
+ + + + +
โดยใชเครื่องคาํนวณ จะได S1 = 1 S2 = 3
2 = 1.500
48
S3 = 116
= 1.833
S4 = 2512
= 2.083
S5 = 13760
= 2.283
S6 = 4920
= 2.450
S7 = 363140
= 2.592
S8 = 761280
= 2.717
S9 = 71292520
= 2.828
S10 = 73812520
= 2.928
S11 = 8371127720
= 3.019
S12 = 8602127720
= 3.103
S13 = 1145993360360
= 3.180
S14 = 1171733360360
= 3.251
S15 = 1195757360360
= 3.318
S16 = 2436559720720
= 3.380
S17 = 4214222312252240
= 3.439
S18 = 142743014084080
= 3.495
S19 = 27529579977597520
= 3.547
49
S20 = 5583513515519504
= 3.597
S21 = 188580535173168
= 3.645
S22 = 190931975173168
= 3.690
S23 = 444316699118982864
= 3.734
S24 = 1347822955356948592
= 3.775
S25 = 340525224678923714800
= 3.815
S26 = 343957422678923714800
= 3.854
S27 = 31253625200380313433200
= 3.891
S28 = 31540458890380313433200
= 3.927
S29 = 92270465113872329089562800
= 3.961
S30 = 93046828301472329089562800
= 3.994
S31 = 29077425729735772201776446800
= 4.027
ดังนั้น n ที่นอยทีสุ่ด เมื่อ Sn มากกวา 2 คือ 4 n ที่นอยทีสุ่ด เมื่อ Sn มากกวา 3 คือ 11 n ที่นอยทีสุ่ด เมื่อ Sn มากกวา 4 คือ 31
14. (1) ไมถูกตอง เพราะ 1 + 2 + 4 + 8 + 16 + 32 + ... เปนอนกุรมอนันตที่เปนอนุกรม เรขาคณิต อนกุรมนี้มีอัตราสวนรวมเปน 2 ซ่ึง | 2 | > 1 จึงไมสามารถหาผลบวกได
(2) ไมถูกตอง เพราะ 1 – 2 + 4 – 8 + 16 – 32 + ... เปนอนุกรมอนันตที่เปนอนุกรม เรขาคณิต อนกุรมนี้มีอัตราสวนรวมเปน –2 ซ่ึง | –2 | > 1 จึงไมสามารถหาผลบวกได
50
15. Sn = n
1a (1 r )1 r−−
2110 =
n3
160 12
31
2
−
−
⎛ ⎞⎛ ⎞⎜ ⎟⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠⎝ ⎠
n = 5 16. ใหพจนแรกของอนุกรมเรขาคณิตเปน a และมีอัตราสวนรวมเปน r จะได a + ar = –3 และ ar4 + ar5 = 3
16−
แกระบบสมการขางตน จะได r = 12
หรือ – 12
ถา r = 12
แลวจะได a = –2
ถา r = – 12
แลวจะได a = –6
ผลบวก 8 พจนแรกของอนกุรมนี้เทากับ 25564
− ทั้งสองกรณี
18. เดิมมีแบคทีเรีย 1000 ตัว เมื่อเวลาผานไป 1 ช่ัวโมง จะมีแบคทเีรีย 120
100(1000) = 1200 ตัว
เมื่อเวลาผานไป 2 ช่ัวโมง จะมีแบคทเีรีย 2
120100⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
(1000) = 1440 ตัว
เมื่อเวลาผานไป 3 ช่ัวโมง จะมีแบคทเีรีย 3
120100⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
(1000) = 1728 ตัว
ดังนั้น เมื่อเวลาผานไป t ช่ัวโมง จะมแีบคทีเรีย t120
100⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
(1000)
เมื่อ t = 10 จะได a10 = 10
120100⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
(1000) ≈ 6191 ตัว
51
เฉลยแบบฝกหัด 1.2 ข
1. (1) 4
i 12i
=∑ = 2 + 4 + 6 + 8
(2) ( )52
i 1i 2
=
+∑ = (1 + 2) + (2 + 2) + (3 + 2) + ... + (50 + 2) + (51 + 2) + (52 + 2)
(3) ( )4
k 110 2k
=
−∑ = (10 – 2) + (10 – 4 ) + (10 – 6) +(10 – 8)
(4) ( )20
2
i 1i 4
=
+∑ = (12 + 4) + (22 + 4) + (32 + 4) + ... + (182 + 4) + (192 + 4) + (202 + 4)
2. (1) 5
j 13j
=∑ = 3(1) + 3(2) + 3(3) + 3(4) + 3(5)
= 3 + 6 + 9 + 12 + 15 = 45 (2)
50
k 18
=∑ = 8 + 8 + 8 + ... + 8
50 จํานวน = 8 x 50 = 400 (3) ( )
42
i 1i i 3
=
−∑ = 12(1 – 3) + 22(2 – 3) + 32(3 – 3) + 42(4 – 3) = –2 – 4 + 0 + 16 = 10 (4)
6
k 2
k 4k 1=
+−∑ = 2 4 3 4 4 4 5 4 6 4
2 1 3 1 4 1 5 1 6 1+ + + + +
+ + + +− − − − −
= 7 8 96 22 3 4
+ + + +
= 19712
(5) ( )5
2
k 1k 3
=
+∑ = (12 + 3) + (22 + 3) + (32 + 3) + (42 + 3) + (52 + 3) = 4 + 7 + 12 + 19 + 28 = 70 (6) ( )
103
i 1i 2
=
−∑ = ( )10
3 2
i 1i 6i 12i 8
=
− + −∑
= 10 10 10 10
3 2
i 1 i 1 i 1 i 1i 6 i 12 i 8
= = = =
− + −∑ ∑ ∑ ∑
= ( ) ( )( ) ( )( )210 10 1 10 10 110
6 10 1 20 1 12 802 6 2
+ +− + + + −
⎛ ⎞ ⎛ ⎞⎛ ⎞⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎜ ⎟
⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠
= 3025 – 2310 + 660 – 80 = 1295
52
(7) ( )15
i 1i 5
=
+∑ = 15
i 1i
=∑ +
15
i 15
=∑
= 15(16)2
+ 5(15)
= 195 (8) ( )
20
i 102i 1
=
+∑ = ( )20
i 12i 1
=
+∑ – ( )9
i 12i 1
=
+∑
= 20
i 12 i
=∑ +
20
i 11
=∑ –
9
i 12 i
=∑ –
9
i 11
=∑
= 2(20)(21)2
+ 20 – 2(9)(10)2
– 9
= 420 + 20 – 90 – 9 = 341 (9) ( )
15
k 1k 5 (k 5)
=
+ −∑ = ( )15
2
k 1k 25
=
−∑
= 15
2
k 1k
=∑ –
15
k 125
=∑
= 15(16)(31)6
– 15(25)
= 1240 – 375 = 865
3. (1) 1⋅3 + 2⋅4 + 3⋅5 + ... + n(n + 2) + ... = ( )n 1
n n 2=
∞+∑
(2) 1 1 1 1...4 5 6 n+ + + + =
n
i 4
1i=
∑
(3) arp + arp + 1 + arp + 2 + ... + arp + q + ... = p i
i 0ar
∞+
=∑
(4) 2 + 4 + 6 + ... + 2n = n
i 12i
=∑
(5) ( )n 1
1 1 1 1... ...3 6 12 3 2 −+ + + + + =
( )n 1n 1
13 2
∞
−=∑
(6) 1 1 1 1... ...2 1 3 2 4 3 n n 1
+ + + + ++ + + + −
= n 2
1n n 1
∞
= + −∑
4. (1) n
i 16i
=∑ =
n
i 16 i
=∑
= ( )n n 16
2⎛ + ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 3n(n + 1)
53
(2) ( )k
i 12i 1
=
+∑ = k k
i 1 i 12 i 1
= =
+∑ ∑
= ( )k k 12 k
2⎛ + ⎞
+⎜ ⎟⎝ ⎠
= k2 + k + k = k2 + 2k (3)
mi
i 13 4
=
⋅∑ = m
i
i 13 4
=∑
= 3(4 + 42 + 43 + ... + 4m)
= ( )( )m4 1 43
1 4
⎛ ⎞−⎜ ⎟⎜ ⎟−⎝ ⎠
= 4m + 1 – 4
(4) ( )n
2
i 1
i i=
−∑ = n
2
i 1
i=∑
n
i 1
i=
−∑
= n(n 1)(2n 1)6
+ + – n(n 1)2+
= n(n 1)2+ 2n 1 1
3+⎛ ⎞−⎜ ⎟
⎝ ⎠
= n(n 1)2+ 2n 1 3
3+ −⎛ ⎞
⎜ ⎟⎝ ⎠
= n(n 1)(2n 2)6
+ −
= n(n 1)(n 1)3
+ −
= 3n n3−
5. (1) 1 2 2 3 3 4 4 5 ... n(n 1) ...⋅ + ⋅ + ⋅ + ⋅ + + + + = ( )10
n 1n n 1
=
+∑
= 10 10
2
n 1 n 1n n
= =
+∑ ∑
= ( )10 1110(11)(12)6 2
+ = 385 + 55 = 440 (2) 1 4 7 2 5 8 3 6 9 ... n(n 3)(n 6) ...⋅ ⋅ + ⋅ ⋅ + ⋅ ⋅ + + + + +
= ( )( )10
n 1n n 3 n 6
=
+ +∑
= 10 10 10
3 2
n 1 n 1 n 1n 9 n 18 n
= = =
+ +∑ ∑ ∑
54
= ( ) ( )( )( ) ( )( )210 11 9 10 11 21 18 10 11
2 6 2⎛ ⎞
+ +⎜ ⎟⎝ ⎠
= 3025 + 3465 + 990 = 7480
(3) 21(2 3) 4(4 3) 9(6 3) 16(8 3) ... n (2n 3) ...+ + + + + + + + + + +
= ( )10
2
n 1n 2n 3
=
+∑
= 10 10
3 2
i 1 n 12 n 3 n
= =
+∑ ∑
= ( ) ( )( )( )210 11 3 10 11 21
22 6
⎛ ⎞+⎜ ⎟
⎝ ⎠
= 6050 + 1155 = 7205
(4) 2 2 2 2 21 3 5 7 ... (2n 1) ...+ + + + + − + = ( )
102
n 12n 1
=
−∑
= 10
2
n 1(4n 4n 1)
=
− +∑
= 10 10 10
2
n 1 n 1 n 14 n 4 n 1
= = =
− +∑ ∑ ∑
= ( )( )10 1110(11)(21)4 4 106 2
⎛ ⎞⎛ ⎞ − +⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠ ⎝ ⎠
= 1540 – 220 + 10 = 1330
(5) 1 1 1 11 1 2 1 3 1 ... n 1 ...
1 2 3 n+ + + + + + + + +⎛ ⎞ ⎛ ⎞ ⎛ ⎞ ⎛ ⎞
⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
= 10
n 1
1n 1n=
⎛ ⎞+⎜ ⎟⎝ ⎠
∑
= ( )10
n 1n 1
=
+∑
= 10 10
n 1 n 1n 1
= =
+∑ ∑
= ( )10 1110
2+
= 65
6. (1) 1 2 3 2 3 4 3 4 5 ... n(n 1)(n 2) ... 10 11 12⋅ ⋅ + ⋅ ⋅ + ⋅ ⋅ + + + + + + ⋅ ⋅ = ( )( )
10
n 1n n 1 n 2
=
+ +∑
55
= 10 10 10
3 2
n 1 n 1 n 1n 3 n 2 n
= = =
+ +∑ ∑ ∑
= ( ) ( )( )( ) ( )( )210 11 3 10 11 21 2 10 11
2 6 2⎛ ⎞
+ +⎜ ⎟⎝ ⎠
= 3025 + 1155 + 110 = 4290
(2) 1 2 2 3 3 4 ... n(n 1) ... 99 100⋅ + ⋅ + ⋅ + + + + + ⋅
= ( )99
n 1n n 1
=
+∑
= 99 99
2
n 1 n 1n n
= =
+∑ ∑
= ( )( ) ( )99 100 199 99 1006 2
+ = 328350 + 4950 = 333300
(3) จํานวนเต็มระหวาง 1 ถึง 100 ทีห่ารดวย 4 แลวเหลือเศษ 3 คอื 7, 11, 15, ... , 99 อนุกรม 7 + 11 + 15 + ... + (4n + 3) + ... + 99 เขยีนแทนดวย ( )
24
n 14n 3
=
+∑
จะได ( )24
n 14n 3
=
+∑ = 24 24
n 1 n 14 n 3
= =
+∑ ∑
= ( )( ) ( )( )4 24 2524 3
2+
= 1200 + 72 = 1272
ผลบวกของจาํนวนเต็มทัง้หมดระหวาง 1 ถึง 100 ทีห่ารดวย 4 แลวเหลือเศษ 3 เปน 1272
7. (1) ( )
n
i 1
1i i 1= +∑ =
n
i 1
1 1i i 1=
⎛ ⎞−⎜ ⎟+⎝ ⎠∑
Sn = 1 1 1 1 1 1 11 ...2 2 3 3 4 n n 1
⎛ ⎞ ⎛ ⎞ ⎛ ⎞ ⎛ ⎞− + − + − + + −⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟+⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
= 11n 1
−+
= nn 1+
S20 = 2021
(2) ( )( )
n
i 1
12i 1 2i 1= − +∑ =
n
i 1
1 1 12 2i 1 2i 1=
⎛ ⎞−⎜ ⎟− +⎝ ⎠∑
Sn = 1 1 1 1 1 1 1 11 ...2 3 3 5 5 7 2n 1 2n 1⎡ ⎤⎛ ⎞ ⎛ ⎞ ⎛ ⎞ ⎛ ⎞− + − + − + + −⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎢ ⎥− +⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎣ ⎦
56
= 1 112 2n 1⎛ ⎞−⎜ ⎟+⎝ ⎠
= n2n 1+
S20 = 2041
(3) ให Sn = ( )( )
n
i 1
1i i 1 i 2= + +∑
จะได a1 = 11 2 3⋅ ⋅
= 1 1 12 1 2 2 3⎛ ⎞−⎜ ⎟⋅ ⋅⎝ ⎠
a2 = 12 3 4⋅ ⋅
= 1 1 12 2 3 3 4⎛ ⎞−⎜ ⎟⋅ ⋅⎝ ⎠
a3 = 13 4 5⋅ ⋅
= 1 1 12 3 4 4 5⎛ ⎞−⎜ ⎟⋅ ⋅⎝ ⎠
an =
( )( )1
n n 1 n 2+ + =
( ) ( )( )1 1 12 n n 1 n 1 n 2⎛ ⎞
−⎜ ⎟⎜ ⎟+ + +⎝ ⎠
Sn = a1 + a2 + a3 + ... + an
= ( ) ( )( )
1 1 1 1 1 1 1...2 2 6 6 12 n n 1 n 1 n 2
⎡ ⎤⎛ ⎞⎛ ⎞ ⎛ ⎞− + − + + −⎢ ⎥⎜ ⎟⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟+ + +⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎢ ⎥⎝ ⎠⎣ ⎦
= ( )( )
1 1 12 2 n 1 n 2⎛ ⎞
−⎜ ⎟⎜ ⎟+ +⎝ ⎠
S20 = 1 1 12 2 21 22⎛ ⎞−⎜ ⎟⋅⎝ ⎠
= 115462
(4) ( )
n
i 1
1i i 2= +∑ =
n
i 1
1 1 12 i i 2=
⎛ ⎞−⎜ ⎟+⎝ ⎠∑
Sn = 1 1 1 1 1 1 1 11 ...2 3 2 4 3 5 n n 2⎡ ⎤⎛ ⎞ ⎛ ⎞ ⎛ ⎞ ⎛ ⎞− + − + − + + −⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎢ ⎥+⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎣ ⎦
= 1 1 1 112 2 n 1 n 2⎡ ⎤+ − −⎢ ⎥+ +⎣ ⎦
= ( )( )
1 3 2n 32 2 n 1 n 2⎛ ⎞+
−⎜ ⎟⎜ ⎟+ +⎝ ⎠
S20 = 1 3 432 2 21 22⎛ ⎞−⎜ ⎟⋅⎝ ⎠
= 325462
8. (1) ให Sn แทนผลบวกของอนกุรมนี ้ Sn = 1 + 2⋅2 + 3⋅22 + 4⋅23 + ... + n⋅2n–1 ---------- (1) (1) 1
5× , 2Sn = 1⋅2 + 2⋅22 + 3⋅23 + ... + (n – 1)⋅2n–1 + n⋅2n ---------- (2)
(1) – (2), –Sn = 1 + (2 – 1)2 + (3 – 2)22 + (4 – 3)23 + … + (n – n + 1)2n-1 – n⋅2n
57
= 1 + 2 + 22 + 23 + ... + 2n–1 – n⋅2n –Sn =
nn1(1 2 ) n 2
1 2−
− ⋅−
–Sn = –1(1 – 2n) – n⋅2n Sn = (1 – 2n) + n⋅2n จะได S10 = (1 – 210) + 10⋅210 = –1023 + 10240 = 9217
(2) ให Sn แทนผลบวกของอนุกรมนี ้ Sn = 2 3 n
1 1 1 11 2 3 ... n5 5 5 5⋅ + ⋅ + ⋅ + + ⋅ ---------- (1)
(1) × (2), n1 S5
= 2 3 n n 1
1 1 1 11 2 ... (n 1) n5 5 5 5 +⋅ + ⋅ + + − ⋅ + ⋅ ---------- (2)
(1) – (2), n4 S5
= 2 3 n n 1
1 1 1 1 1(2 1) (3 2) ... (n (n 1)) n5 5 5 5 5 ++ − ⋅ + − ⋅ + + − − ⋅ − ⋅
= 2 3 n n 1
1 1 1 1 1... n5 5 5 5 5 ++ + + + − ⋅
n4 S5
=
n
n 1
1 115 5 1n1 51
5
+
⎛ ⎞⎛ ⎞−⎜ ⎟⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠⎝ ⎠ − ⋅−
n4 S5
= n n 1
1 1 1(1 ) n4 5 5 +− − ⋅
Sn = n n
5 1 1(1 ) n16 5 4 5
− − ⋅⋅
จะได S10 = 10 9
5 1 1(1 )16 5 2 5
− −⋅
9. (1) ( )22
2n 1n n 1
+
+ =
( )22
1 1n n 1
−+
ให Sn = ( )22
3 5 7 2n 1...1 4 4 9 9 16 n n 1
++ + + +
⋅ ⋅ ⋅ +
= ( )22
1 1 1 1 1 1...1 4 4 9 n n 1
⎛ ⎞⎛ ⎞ ⎛ ⎞ ⎜ ⎟− + − + + −⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎝ ⎠ ⎝ ⎠ +⎝ ⎠
= ( )2
11n 1
−+
= ( )
2
2
n 2nn 1+
+
ผลบวก n พจนแรก เปน ( )
2
2
n 2nn 1+
+
58
(2) ให Sn = 2 1 3 2 2 3 n 1 n...1 2 2 3 3 2 n n 1
− − − + −+ + + +
⋅ ⋅ ⋅ +
= 1 1 1 1 1 1 11 ...22 2 3 3 n n 1
⎛ ⎞ ⎛ ⎞⎛ ⎞ ⎛ ⎞− + − + − + + −⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎜ ⎟ ⎜ ⎟+⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠
= 11n 1
−+
ผลบวก n พจนแรก เปน 11n 1
−+
10. (1) เนื่องจาก (n 1)
n 1e
∞− −
=∑ =
n 1
n 1
1e
−∞
=
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
∑
Sn = 1 1 11 ...2 n 1e e e+ + + + −
= 1
1 1 ne1
1e
−
−
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
nnlimS→∞
= n
11 ne
11
e
lim→∞
−
− = e
e 1−
ดังนั้น อนกุรมนี้เปนอนกุรมลูเขา และมผีลบวกเทากับ ee 1−
(2) ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 1, –1, 3, –5, 11, ... อนุกรมนี้เปนอนุกรมลูออก
(3) Sn = 9 9 9 9... n2 3100 100100 100
+ + + +
= 9 1
1 n100 1001
1100
−
−
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠ = 1 1
1 n11 100−⎛ ⎞
⎜ ⎟⎝ ⎠
nnlimS→∞
= n
1 11 n11 100
lim→∞
−⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 111
ดังนั้น อนกุรมนี้เปนอนกุรมลูเขา และมผีลบวกเทากับ 111
(4) ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 52
, 103
, 154
, 205
, 256
, ..., 5nn 1+
, ...
เนื่องจาก n
5nn 1
lim→∞ +
= 5 ดังนั้น อนกุรมนี้เปนอนกุรมลูเขา และมผีลบวกเทากับ 5
59
(5) 2n 12 2n 1 n (n 1)
∞ +∑= +
= 1 12 2n 1 n (n 1)
∞−∑
= +
⎛ ⎞⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠
Sn = 1 1 1 1 1 1 11 ...2 2 2 2 2 2 22 2 3 3 4 n (n 1)− + − + − + + −
+
⎛ ⎞⎛ ⎞ ⎛ ⎞⎛ ⎞⎜ ⎟⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
= 11 2(n 1)−
+
nnlimS→∞
= n
11 2(n 1)
lim→∞
−+
⎛ ⎞⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠
= 1
ดังนั้น อนกุรมนี้เปนอนกุรมลูเขา และมผีลบวกเทากับ 1 (6) Sn = 1 1 1 1 1 1 1
1 ...2 2 3 3 4 n n 1
− + − + − + + −+
⎛ ⎞ ⎛ ⎞⎛ ⎞ ⎛ ⎞⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠
= 11
n 1−
+
nnlimS→∞
= n
11
n 1lim→∞
−+
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 1 ดังนั้น อนกุรมนี้เปนอนกุรมลูเขา และมผีลบวกเทากับ 1 (7) อนุกรมที่กําหนดใหเปนอนกุรมเรขาคณิตที่มี a1 = 16
5 และ r = 4
5
เนื่องจาก | r | < 1 อนุกรมนี้จึงเปนอนุกรมลูเขา
และมีผลบวกเทากับ 1a1 r−
= 165
41
5−
= 16
(8) 1
2n 1 4n 1
∞∑= −
= 1 22 (2n 1)(2n 1)n 1
∞∑
+ −=
= 1 1 12 2n 1 2n 1n 1
∞−∑
− +=⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
Sn = 12
1 1 1 1 1 1 11 ...
3 3 5 5 7 2n 1 2n 1− + − + − + + −
− +⎛ ⎞⎛ ⎞ ⎛ ⎞ ⎛ ⎞ ⎛ ⎞⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎜ ⎟⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠
= 1 11
2 2n 1−
+⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
nnlimS→∞
= n
1 11
2 2n 1lim→∞
−+
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
= 12
ดังนั้น อนกุรมนี้เปนอนกุรมลูเขา และมผีลบวกเทากับ 12
60
11. ใหอนกุรมนี้คอื a1 + a2 + a3 + ... + an + ... โดยที่ an = 2n – 5
จะได ผลบวกของ 15 พจนแรกของอนุกรมนี้ คือ 15
nn 1
a=∑ = 15
(2n 5)n 1
−∑=
= 152 n
n 1∑=
– 155
n 1∑=
= 15(16)22
⎛ ⎞⎜ ⎟⎝ ⎠
–15(5)
= 240 – 75 = 165
12. (1) ลําดับของจํานวนเตม็ระหวาง 9 กับ 199 ที ่ 8 หารลงตวัคอื 16, 24, 32, ..., 192 เพราะวา an = a1 + (n – 1)8 จะได 192 = 16 + (n – 1)8 n = 192 16 1
8−⎛ ⎞ +⎜ ⎟
⎝ ⎠
n = 23 จาก Sn = 1 n
n (a a )2
+
จะได S23 = 23(16 192)
2+
= 2392 ดังนัน้ ผลบวกของจํานวนเต็มที่อยูระหวาง 9 กบั 199 ที่ 8 หารลงตวัเทากบั 2392
(2) ลําดับของจํานวนเตม็ระหวาง 9 กับ 199 คือ 10, 11, 12, ..., 198 ซ่ึงมี 189 จํานวน จะได S189 = 189 (10 198)
2+
= 19656 ผลบวกของจาํนวนเต็มทีอ่ยูระหวาง 9 กับ 199 เปน 19656 จะไดผลบวกของจํานวนเตม็ที่อยูระหวาง 9 กบั 199 ที่ 8 หารไมลงตวัเปน 19656 – 2392 = 17264
13. (1) e (2) π (3) ln 2