การอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริง มาตรา 224)...
TRANSCRIPT
การอุทธรณ์ปัญหาข้อเทจ็จริง(มาตรา 224)
โดย อาจารย์ ดร. คนึงนิจ ขาวแสง
ตอนที่ 2
ข้อยกเว้นให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
ก) - แย้ง / รับรอง / อนุญาต (มาตรา 224 วรรคแรก และวรรคท้าย)
ข) คดีเกี่ยวด้วยสิทธิแห่งสภาพบุคคล /
คดีเกี่ยวด้วยสิทธิในครอบครัว /
คดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจค านวณเป็นราคาเงินได้
(คดีไม่มีทุนทรัพย์) (มาตรา 224 วรรค 2)
แย้ง / รับรอง / อนุญาต (มาตรา 224 วรรคแรก และวรรคท้าย)
1. ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาในศาลชั้นต้นไดท้ าความเห็นแย้งไว้ หรือ
2. ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาในศาลชั้นต้นไดร้ับรองว่ามีเหตุอันควร
อุทธรณ์ได้ (มาตรา 224 วรรคแรก และวรรคท้าย) หรือ
3. อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรืออธิบดีผู้พิพากษาภาค อนุญาตให้
อุทธรณ์ (เป็นหนังสือ)
•ผู้พิพากษาที่นั่งพจิารณาในศาลชั้นต้นได้ท าความเห็นแย้งไว้
(มาตรา 224 วรรคแรก)
• ต้องเป็นความเห็นแย้งในข้อเทจ็จริงเทา่นั้น จึงมีสิทธิ
อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้ (ฎ.1648/2500)
•ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาในศาลชั้นต้นได้รับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ได้
(มาตรา 224 วรรคแรก และวรรคท้าย)
• ผู้พิพากษาที่จะรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ต้องเป็นผู้พิพากษาที่นั่ง
พิจารณาในศาลชั้นต้น ดังนี้ ผู้พิพากษาที่สืบพยานประเด็นจึงไม่มีอ านาจรับรอง
(ฎ.3420/2538)
• อ านาจในการรับรองให้อุทธรณ์นี้ เป็นดุลพินิจเด็ดขาดและเป็นอ านาจเฉพาะตัวของ
ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณา จึงอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้ (ฎ.3081/2549)
•การยื่นค าร้องขอให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณารับรองให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
ไม่จ าต้องระบุชื่อผู้พิพากษา แต่ต้องให้รู้ว่าหมายถึงผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาใน
ศาลชั้นต้น
• กรณีระบุเจาะจงให้ผู้พิพากษาคนใดรับรอง //
• กรณีไม่ได้ระบุเจาะจงว่าเป็นผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาในศาลชั้นต้นท่านใด
• การรับรองต้องเขียนว่า “รับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ได้ในปัญหาข้อเท็จจริง”
หรือข้อความอย่างอื่นที่คล้ายกัน
• จะสั่งแต่เพียงว่า “รับอุทธรณ์” ไม่ได้ (ดูประกอบ มาตรา 230)
•ฎ.217/2521 การรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้นั้น ต้องเป็นการรับรองโดย
ชัดแจ้งว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ได้ ค าสั่งของผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นที่
สั่งรับอุทธรณ์เพียงว่า "รับอุทธรณ์ส าเนาให้โจทก์" เฉย ๆ เท่านั้น ย่อมไม่ต้องด้วย
ข้อยกเว้นของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 วรรคหนึ่ง
คดีที่ไมต่้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามวรรค 1(มาตรา 224 วรรค 2)
• คดีเกี่ยวด้วยสิทธิแห่งสภาพบุคคล /
• คดีเกี่ยวด้วยสิทธิในครอบครัว /
• คดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจค านวณเป็นราคาเงินได้
(คดีไม่มีทุนทรัพย์)
คดีเก่ียวด้วยสิทธิแห่งสภาพบุคคล
•คดีเกี่ยวด้วยสิทธิแห่งสภาพบุคคล = สิทธิต่างๆ เกี่ยวกับสถานะภาพและความสามารถของบุคคล (ปพพ. บรรพ 1 ลักษณะ 2 หมวด 1)
•ฎ .1182/2511 คดีร้องขอให้ศาลมีค าสั่ ง ให้บุคคลวิกลจริตเป็นผู้ ไร้ความสามารถและตั้งผู้อนุบาลนั้น เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์หรือจ านวนทุนทรัพย์ที่พิพาท และเป็นคดีเกี่ยวด้วยสิทธิแห่งสภาพบุคคลไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ฎีกาในข้อเท็จจริง
คดีเก่ียวด้วยสิทธิในครอบครัว
•คดีเกี่ยวด้วยสิทธิในครอบครัว = สิทธิที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่าง สามี ภริยา หรือบิดามารดา และบุตร เช่น
• คดีฟ้องหย่า (ฎ.344/2479)
• คดีภริยาเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากสามี (ฎ.319/2479)
• คดีที่สามีหรือภริยาฟ้องเรียกค่าเสียหายหรือค่าทดแทนจากหญิงอื่นหรือจากชายอื่นที่มี
ความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับภริยาหรือสามีของตน (ค าสั่งค าร้องศาลฎีกาที่ 244/2545)
• ฎ.3134/2530 การที่โจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีค าพิพากษาแสดงว่าการสมรสเป็นโมฆะนั้น
เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ แม้จะมีค าขอเรียกค่าทดแทนและค่าเลี้ยงชีพที่อาจค านวณเป็นราคา
เงินได้รวมอยู่ด้วย คู่ความก็ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248
ทั้งค าขอในส่วนที่เกี่ยวกับค่าทดแทนนี้ยังเป็นคดีเกี่ยวด้วยสิทธิในครอบครัวอีกด้วย จ าเลย
จึงมีสิทธิฎีกาได้
(ป.วิ.พ. มาตรา 248 ยกเลิก ปี 2558 - ใช้เทียบเคียง มาตรา 224)
•คดีที่ฟ้องเรียกคืนของหมั้นหรือสินสอด และเรียกค่าเสียหายเพราะผิดสัญญา
หมั้นเนื่องจากหญิงไม่ยอมไปจดทะเบียนสมรส มิใช่คดีเกี่ยวด้วยสิทธิแห่งสภาพ
บุคคลหรือสิทธิในครอบครัว
•ฎ.755/2545 ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จ าเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันช าระค่าสินสอดแก่โจทก์ทั้งสามจ านวน 35,000 บาท พร้อมด้วยสร้อยคอทองค าหนัก 1 บาท หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 5,300 บาท•จ าเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง •ดังนั้น ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์จึงมีเพียง 40,300 บาท ไม่เกิน 50,000
บาท ทั้งมิใช่คดีเกี่ยวด้วยสิทธิแห่งสภาพบุคคลหรือสิทธิในครอบครัวคดีต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามมาตรา 224 วรรคหนึ่ง ที่จ าเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์ว่า เงินจ านวน 35,000 บาท และสร้อยคอทองค าหนัก 1 บาท เป็นเพียงเงินค่าตอบแทนที่จ าเลยที่ 1 และที่ 2 ยินยอมให้จ าเลยที่ 3 ไปอยู่กินฉันสามีภริยากับโจทก์ที่ 3 มิใช่เป็นค่าสินสอด โจทก์ทั้งสามไม่อาจเรียกคืนได้นั้น เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว
คดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจค านวณเป็นราคาเงินได้ (คดีไม่มีทุนทรัพย์)
• การฟ้องเรียกทรัพย์จากจ าเลย เป็นคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจค านวณเป็น
ราคาเงินได้ (คดีไม่มีทุนทรัพย์) หรือไม่
• ต้องพิจารณาว่าถ้าเป็นการฟ้องเรียกทรัพย์ของจ าเลย ถือเป็นคดีมีทุนทรัพย์ เช่น ฟ้องขอให้
โอนที่ดินตามสัญญาจะซื้อจะขาย
• แต่ถ้าฟ้องเรียกทรัพย์ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์อยู่แล้ว โดยจ าเลยไม่ได้ต่อสู้กรรมสิทธิ์ ถือ
เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์
• เช่น โจทก์ฟ้องขอให้แบ่งทรัพย์ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมกับจ าเลย จ าเลยไม่ได้ต่อสู้ว่าโจทก์ไม่มี
กรรมสิทธิ์ร่วมกับจ าเลย เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ (ฎ.4550/2540)
• คดีที่โจทกฟ์้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉล ตาม ปพพ. มาตรา 237 = คดีไม่มีทุนทรัพย์
(ฎ.919/2508)
• คดีมีทุนทรัพย์และไม่มีทุนทรัพย์รวมอยู่ด้วยกัน ต้องพิจารณาว่าค าขอใดเป็นประธาน
และค าขอใดเป็นผลต่อเนื่อง และต้องถือเอาค าขอประธานเป็นหลักในการพิจารณาว่าจะ
อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้หรือไม่ เช่น
• คดีฟ้องขอให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างซึ่งรุกล้ าที่ดินของโจทก์ แม้จะเรียกค่าเสียหายมา
ด้วย ก็ไม่เป็นคดีมีทุนทรัพย์ (ฎ.1134/2514)
• คดีไม่มีทุนทรัพย์ หรือคดีขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจค านวณเป็นราคาเงินได้ ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์
• เว้นแต่ คดีฟ้องขับไล่.... อันมีค่าเช่า หรืออาจให้ค่าเช่าไม่เกิน 4,000 บาทต่อเดือน
คดีฟ้องขับไล่บุคคลใดๆ ออกจากอสังหาริมทรัพย์
ได้แก่ การฟ้องขับไล่ผู้บุกรุก ผู้เช่า หรือผู้อาศัย
•ความหมายของค าว่า “อันมีค่าเช่า” หรือ “อาจให้ค่าเช่า”
• “อันมีค่าเช่า” = ใช้กับกรณีฟ้องขับไล่ผู้เช่า
• “อาจให้ค่าเช่า” = ใช้กับกรณีฟ้องขับไล่กรณีอื่นๆ
เช่น ผู้อาศัย หรือผู้ละเมิด
•ฎ. 3411/2545 คดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจ าเลยท าสัญญาเช่า
อาคารพิพาทจากโจทก์ในอัตราค่าเช่าเดือนละ 2,100 บาท แม้โจทก์จะเรียก
ค่าเสียหายหลังจากครบก าหนดสัญญาเช่าเดือนละ 11,700 บาท มาด้วย ก็ไม่ใช่ว่า
อาคารพิพาทอาจให้เช่าได้เกิน 4,000 บาท
•กรณีที่จะต้องใช้เกณฑ์ "อาจให้เช่า" นั้น จะต้องเป็นกรณีฟ้องผู้อาศัยหรือผู้กระท า
ละเมิดอันก าหนดค่าเช่าไม่ได้ คดีนี้เป็นการฟ้องขับไล่ผู้เช่าซึ่งก าหนดค่าเช่าไว้ชัดแจ้ง
เมื่อค่าเช่าไม่เกิน 4,000 บาท จึงเป็นคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง