ethnographies as text.pdf
TRANSCRIPT
Ethnographies as Text
Marcus and Cushman (1982)!สรุปโดย ผศ.ดร.ยุกติ มุกดาวิจิตร
การเขียนกับความจริง
การเขียนไม่สามารถนําเสนอโลกได้อย่างตรงไปตรงมา!
การเขียนกรองโลกผ่านตัวตนของนักเขียน บริบททางสังคมและการเมืองของนักเขียน ยุคสมัยของนักเขียน!
รูปแบบการประพันธ์ (genre) ไม่ใช่แค่ลีลาการนําเสนอ แต่ยังมีส่วนกําหนดสาระของเนื้อหา!
การเมืองของแนวการประพันธ์ การประพันธ์บางแนว เช่น สัจนิยม มักได้รับการยอมรับหรืออ้างว่าตนเองอยู่เหนือการประพันธ์แนวอื่น เพราะสมจริงที่สุด
แนวทางการเขียนงาน
ethnographic realism ชาติพันธุ์นิพนธ์สัจนิยม!
experimental ethnography ชาติพันธุ์นิพนธ์แนวทดลอง ชาติพันธุ์นิพนธ์แนวใหม่ ชาติพันธุ์นิพนธ์ทางเลือก อื่นๆ อีกมากมาย!
การประพันธ์แนวสัจนิยมอ้างว่าตนเหนือการประพันธ์รูปแบบอื่น เนื่องจากเขียนมาจากเรื่องจริง ข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ แนวสัจนิยมในชาติพันธุ์นิพนธ์ก็อ้างเช่นนั้น
แนวสัจนิยม
แนวการประพันธ์ที่นําเสนอความจริงของโลกหรือชีวิต!
แสดงความใกล้ชิดกับข้อมูล ได้ข้อมูลชั้นต้น (first-handed data)
สัจนิยมในมานุษยวิทยา
เกิดมาพร้อมกับการสร้างความรู้ทางมานุษยวิทยา มาลินอฟสกีเลียนแบบการเขียนแนวสัจนิยมจากโจเซฟ คอนราด!
เกิดมาพร้อมกับการที่นักมานุษยวิทยาต้องทําวิจัยสนามอย่างเข้ม
ข้นด้วยตนเอง ทั้งๆ ที่ในอดีตไม่ได้เป็นเช่นนั้น!
การเขียนแนวสัจนิยมกลายมาเป็นแนวทางหลักของมานุษยวิทยา
สมัยใหม่ โดยเฉพาะในโลกภาษาอังกฤษ
ลักษณะทั่วไปของ!ชาติพันธุ์นิพนธ์แนวสัจนิยม
นําเสนอภาพสังคมโดยรวม!
ปกปิดตัวตนของนักมานุษยวิทยา!
เสนอภาพรวมของทั้งสังคม แทบไม่มีปัจเจก!
ให้คนอ่านเชื่อถือว่านักมานุษยวิทยา "ไปอยู่ที่นั่น" (being there)!
เน้นภาพชีวิตประจําวัน!
นําเสนอมุมมองของชนพ้ืนเมือง!
นําเสนอในเชิงข้อสรุปรวม!
ใช้ศัพท์แสงทางวิชาการ (jargon)!
ปกปิดความสามารถทางภาษาของนักมานุษยวิทยาเอง
1 นําเสนอภาพสังคมโดยรวม
งานแนวสัจนิยมมักเสนอภาพรวมของสังคมด้านต่างๆ แสดงส่วนย่อยโดยเชื่อมกับส่วนรวม!
มักใช้แนวคิดแบบโครงสร้าง-การหน้าที่ ให้ภาพกลมกลืนของสังคม!
เช่น งานของโบแอส ของมาลินอฟสกี!
แนวทางใหม่ๆ ที่ฉีกออกไปคือ การนําประสบการณ์ส่วนตัวของนัก
มานุษยวิทยาไปเป็นข้อมูลตีความสังคม (Briggs 1981) หรือการนําเสนอปัญหาที่จะวิเคราะห์ในบทแรก แล้วค่อยๆ คลี่คลายให้กระจ่างขึ้น
2 ปกปิดตัวตนของนักมานุษยฯ
งานแนวนี้มักไม่ใช้สรรพนามบุรุษที่หนึ่งของผู้เขียน เลี่ยงใช้คําอื่น !
พยายามไม่แสดงการมีอยู่ของผู้เขียนเลย เขียนราวกับมองจากเบ้ืองบน มองมุมพระเจ้า (omniscience)!
ผลคือ ทําให้ "ดูเป็นวิทยาศาสตร์" เป็นภาววิสัย ปราศจากอคติ และยังปิดบังความจริงที่ว่า การทํางานภาคสนามจริงๆ แล้วมีปัญหามากมาย และมีหลายอย่างที่อาจไม่สามารถเข้าใจหรือตีความได้!
แต่ก็มีบ้างที่จะแสดงมุมมองส่วนตนไว้ในภาคผนวก บทนํา หรือเชิงอรรถ
3 เสนอภาพรวมทั้งสังคม
งานแนวนี้มักเสนอภาพเหมารวมของทั้งสังคม ไม่ระบุว่าได้ข้อมูลมาจากใครกันแน่ พูดรวมๆ ว่า "ชาวไทยเป็นคนรักสงบ" "ชาว...นิยมความรุนแรง" !
ไม่มีมุมมองของปัจเจกชนในสังคมที่ศึกษา ไม่มีมุมมองที่หลากหลายหรือขัดแย้งกันในสังคม!
งานยุคหลังๆ จะดีขึ้น เนื่องจากให้รายละเอียดของความแตกต่างในสังคมมากขึ้น มีมุมมองที่หลากหลายขึ้น มีการใช้บทสนทนา ให้ภาพความหมายในสังคมไม่ตายตัวมากขึ้น
4 being there
งานแนวนี้มักเล่าฉากหรือประสบการณ์เฉพาะบางอย่าง เพ่ืออวดให้เห็นว่านักมานุษยวิทยาไปที่นั่นเองจริงๆ !
การทําอย่างนี้เพ่ือสร้างความน่าเชื่อถือให้กับงาน มากกว่าจะมีประโยชน์อื่นใด !
เป็นการทําให้คนอ่านรู้สึกว่า สิ่งที่จะอ่านเป็นประสบการณ์ตรงของคนเขียนเอง และทําให้เสมือนว่า คนอ่านได้เข้าไปอยู่ในสังคมที่คนเขียนกําลังเขียนถึงด้วย!
วิธีนี้เกิดมาจากการเปลี่ยนขนบของการศึกษาทางมานุษยวิทยาตอนปลายคศ.19 ที่กําหนดว่านักมานุษยวิทยาต้องเก็บข้อมูลเอง
5 เน้นชีวิตประจําวัน
การพรรณาภาพชีวิตประจําวัน กลบเกลื่อนการตีความ เป็นการแปลงการตีความให้ออกมาในรูปของรายละเอียดที่ดูเหมือนมาจากประสบการณ์ตรง
ไปตรงมา !
อันที่จริิงประสบการณ์ใดก็ตามย่อมผ่านการตีความของผู้เล่ามาแล้ว จากการเลือกหยิบบางประสบการณ์มา จากการเรียงร้อยเรื่องราว จากการสรุปวิเคราะห์ประสบการณ์!
นักมานุษยวิทยารุ่นหลังๆ ยิ่งประสบความสําเร็จในการเขียนด้วยวิธีนี้ คือนําประสบการณ์ประจําวันของคนเพียงบางเสี้ยว มาตีความด้วยทฤษฎีต่างๆ
6 นําเสนอมุมมองชนพ้ืนเมือง
เริ่มจากวลีว่า "the native's point of view" ของมาลินอฟสกี !
มุมมองชนพ้ืนเมืองขยับขยายไปจนถึง "โครงสร้างความคิดของชนดั้งเดิม" แบบเลวี-สโตรทส์ ไปจนถึง "ศาสตร์ของชนพ้ืนเมือง" และ "ระบบความหมายของชนพ้ืนเมือง" แบบเกีร์ยซ!
ไม่ว่าจะแบบไหน ก็ยากที่จะตอบได้ว่า นักมานุษยวิทยาสามารถนําเสนอ "มุมมองของชนพ้ืนเมือง" ได้จริงๆ หรือ
7 เสนอภาพสรุปรวมงานแนวนี้มักอ้างว่าเสนอภาพสังคมโดยรวม!
เวลานําเสนอ จึงมักเขียนราวกับว่าสิ่งที่ได้พบเห็นนั้นเป็นลักษณะที่พบ
ได้ทั่วไป และเป็นจริงอย่างนั้นมาตลอดกาล อกาลิโก!
แต่อันที่จริงนักมานุษยวิทยาทําได้เพียงเสนอ "ส่วนเสี้ยว" ของสังคม-วัฒนธรรมที่ตนศึกษา!
ปัจจุบันกล่าวกันถึง ethnography of the particular มากขึ้น
9 ปิดบังความสามารถทางภาษา
เนื่องจากภาษาเป็นเงื่อนไขสําคัญในการเก็บข้อมูล นักมานุษยวิทยาแนวสัจนิยมจึงมักปกปิดว่าตนเองไม่ได้รู้ภาษาดีขนาดที่จะเข้าใจได้ทุกอย่าง!
หรือบางทีไม่บอกชัดเจนว่าใช้ล่าม ล่ามดีแค่ไหน หรือบอกได้หรือไม่ว่าล่ามดีหรือไม่ดี เพราะตนเองภาษาไม่ดีพอ!
นักมานุษยวิทยามักใส่คําศัพท์ชนพ้ืนเมือง คําศัพท์ท้องถิ่น เข้าไปในงานเขียน เพ่ือแสดงว่าตนรู้คําศัพท์ที่สําคัญๆ ทําให้ดูเหมือนว่า นักมานุษยวิทยาไม่ต้องรู้ภาษาดีก็ได้ ขอให้รู้คําสําคัญๆ บางคําก็พอแล้ว