พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล...
Post on 08-Feb-2020
6 Views
Preview:
TRANSCRIPT
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลานภาลัย
พระบาทสมเด็จพระพทุธเลิศหลา้นภาลยั
ท ร ง เ ป็ น พ ร ะ ร า ช โ อ ร ส อ ง ค์ ท่ี ๒ ใ น
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
มหาราชและสมเด็จพระอมรินทราบรมราชนิ ี
ทรงมพีระนามเดมิว่า “เจา้ฟ้าชายฉิม”
ทรงพระราชสมภพเมื่อวันท่ี ๒๔ กมุภาพันธ ์
พ.ศ. ๒๓๑๐ และทรงเสด็จขึ้นครองราชยใ์นปี
พ.ศ. ๒๓๕๑
ทรงเสด็จสวรรคตดว้ยพระประชวรไขพิ้ษ ใน
ปี พ .ศ . ๒๓๖๗ รวมร ะย ะ เ วลา ในการ
ครองราชยน์าน ๑๖ ปี
ทรงมพีระราชนพินธว์รรณคดไีวห้ลายเร่ือง ไดแ้ก ่ 1. บทละครในเร่ืองรามเกยีรติ ์ 2. บทละครในเร่ืองอิเหนา 3. บทละครนอกเร่ือง สงัขท์อง คาวี ไชยเชษฐ ์ ไกรทอง มณี
พิชยั 4. กาพยแ์ห่เรือชมเคร่ืองคาวหวาน 5. บทพากย์รามเกียรติ์ ๔ ตอน คือ นางลอย พรหมาสตร ์
นาคบาศ และเอราวณั 6. กลอนเสภาเร่ือง ขนุชา้งขนุแผน ตอนท่ี ๔, ๑๓, ๑๗ และ ๑๘ ทรงเป็นกวี ท่ี ได ้รับการยกย่องจากองค์การ UNESCO
ประจาํปี พ.ศ. ๒๕๑๑ นบัเป็นกวีเอกของโลกคนท่ี ๓ ของประเทศไทย
ในสมัยอยุธยาจะนําเนื้อเร่ืองรามเกียรติ์บางตอนมาแต่ง
สาํหรับการแสดงหนังใหญ่และโขน บทประพันธน์ั้นเรียกว่า “บท
พากยห์รือคาํพากย”์ รปูแบบคาํประพนัธม์กัจะเป็นกาพยย์าน ี๑๑
ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร ์พระบาทสมเด็จพระพทุธเลิศหลา้
นภาลัยไดท้รงพระราชนิพนธบ์ทพากย์บางตอนขึ้น เพ่ือใชส้าํหรับ
การแสดงโขน คือ บทพากยน์างลอย บทพากยพ์รหมาสตร ์ บท
พากยน์าคบาศ และบทพากยเ์อราวณั
เพ่ือใชส้าํหรบัการแสดงโขน
กาพยฉ์บงั ๑๖
จาํนวน ๕๓ บท
๑.บท บทหนึง่ม ี๓ วรรค อาจเรียกว่าวรรคสดบั วรรครบั วรรคสง่ ก็ได ้
แบ่งเป็น วรรคแรก (วรรคสดบั) ม ี๖ คาํ วรรคท่ีสอง (วรรค
รบั) ม ี๔ คาํ วรรคท่ี ๓ (วรรคสง่) ม ี๖ คาํ รวมทัง้หมด ๑๖ คาํ จึงเรียกฉบงั ๑๖ ๒. สมัผสั สมัผสันอก หรือสมัผสัระหว่างวรรค อนัเป็นสมัผสับงัคบั มดีงันี ้- คาํสดุทา้ยของวรรคหนึง่สมัผสักบัคาํสดุทา้ยของวรรคสอง - สมัผสัระหว่างบท คือ คาํสดุทา้ยของวรรคสามเป็นคาํสง่สมัผสับงัคบัใหบ้ทตอ่ไปตอ้งรบัสมัผสัท่ีคาํสดุทา้ยของวรรคหนึง่
สมัผสัใน แตล่ะวรรคของกาพยฉ์บงั แบ่งชว่งจงัหวะเป็นวรรคละสองคาํ ดงันี ้ หนึง่สอง – หนึง่สอง – หนึง่สอง หนึง่สอง – หนึง่สอง หนึง่สอง – หนึง่สอง – หนึง่สอง
* ขอ้สงัเกต - กาพยฉ์บงัไมเ่คร่งสมัผสัในจะมหีรือไมม่ก็ีได ้ขอเพียงใชค้าํท่ีอ่านแลว้ราบร่ืน ตามชว่งจงัหวะของแตล่ะวรรคนัน้ ๆ เท่านัน้
เน้ือเรือ่งยอ่ตอนศึกอินทรชิต กลา่วถึงอินทรชติ เดมิชือ่ รณพกัตร ์เป็นโอรสของทศกณัฐก์บันาง
มณโฑ ครั้นเมื่ออายไุด ้๑๕ ปี รณพักตรไ์ดไ้ปเรียนศิลปวิทยาและบาํเพ็ญพรตเพ่ือขอพรวิเศษจากพระอิศวร พระพรหม และพระนารายณ ์เทพทัง้สามประทานพรให ้ดงันี้ พระอิศวรประทานศรพรหมาสตรแ์ละใหม้ีฤทธ์ิวิเศษแปลงกายเป็นพระอินทร ์ พระพรหมประทานศรนาคบาศและใหพ้รว่าถา้จะตายใหต้ายกลางอากาศ และตอ้งมีพานแกว้ของพระพรหมมารองรับเศียร มิฉะนั้น ถ้าเศียรตกดินจะทําให้ไฟไหม้โลก ส่วนพระนารายณป์ระทานศรวิษณปุาณมั
ครั้งหนึ่งรณพักตร์มีความเหิมเกริมไปทา้รบกับพระอินทร์ แลว้แผลงศรวิษณปุาณมัสามารถสูฤ้ทธ์ิอาวธุของพระอินทรไ์ด ้พระอินทรไ์ม่มีทางสูจึ้งหนีไป ทศกัณฐท์ราบข่าวก็มีความยินดีถึงกับตั้งชื่อใหโ้อรสเสียใหมว่่า “อินทรชติ” เพราะสามารถรบชนะพระอินทรไ์ด ้
ในการรบครั้งแรกอินทรชิตตอ้งศรพลายวาตของพระลักษณเ์ป็น
ฝ่ายพ่ายแพไ้ป ตอ่มาอินทรชิตไปชบุศรนาคบาศท่ีพระพรหมประทานให้
แลว้ออกรบอีกครัง้ คราวนีพ้ระลกัษณต์อ้งศรนาคบาศของอินทรชิตแต่
ฝ่ายพระรามก็สามารถแกพิ้ษของศรได ้ อินทรชิตจึงไปทําพิธีชบุศร
พรหมาสตรท่ี์พระอิศวรประทานใหแ้ลว้แปลงกายเป็นพระอินทรท์รงชา้ง
เอราวัณ ในศึกครั้งนี้ อินทรชิตสามารถแผลงศรพรหมาสตร์ หนุ
มานดัน้ดน้ไปหายาจากภเูขาแกพิ้ษไดจึ้งทาํใหพ้ระลกัษณฟ้ื์นขึน้มา
ตอ่มาพระรามสามารถทาํลายศรตา่งๆของอินทรชติได ้ อินทรชิต
ออกสูร้บอีกครั้งกับพระลักษณ์ พระลักษณ์จึงแผลงศรตัดเศียรของ
อินทรชติ และใหอ้งคตถือพานแกว้ของพระพรหมรองรับเศียรของอินทร
ชติไวไ้มใ่หต้กสูพ้ื่นดนิ
กล่าวถึงอินทรชิตไดย้กทัพออกรบกับพระลักษณ์ โดยใหบ้ริวาร
ยกัษแ์ปลงเป็นเทวดา การณุราชแปลงกายเป็นชา้งเอราวัณชา้งทรงของ
พระอินทรแ์ละตวัอินทรชติเองก็แปลงกายเป็นพระอินทรด์ว้ย
ชา้งเอราวัณของพระอินทรม์ีความอลงัการ ดงันี้ เป็นชา้งเผือกสี
ขาวม ี๓๓ หวั แตล่ะหวัม ี๗ งา แตล่ะงามสีระบวั ๗ สระ แตล่ะสระบวัมีบวั
๗ กอ แตล่ะกอมีดอกบัว ๗ ดอก แตล่ะดอกมีกลีบ ๗ กลีบ ในแตล่ะกลีบ
มีเทพธิดาท่ีสวยงามย่ิงนกั ๗ องค ์และเทพธิดาแต่ละองคก็์มีนางกาํนลั
บริวารอีกองคล์ะ ๗ คน บรรดานางเทพธิดากาํลงัร่ายาํกนัเป็นท่ีร่ืนเริง
และทกุหวัของชา้งเอราวณัจะมวิีมานแกว้ท่ีสวยงามมากหวัละ ๑ หลงั
ส่วนชา้งเอาราวัณก็ทรงเคร่ืองประดับสวยงาม โลทันแปลงร่างเป็นควาญชา้ง บรรดาไพร่พลยักษก็์แปลงเป็นเทวดาอารักษ ์ มีนาค ครฑุ กินนร ฤาษี วิทยาธร คนธรรพ์ท่ีมีอาวธุครบมือตามมาพรัง่พรอ้มลอยมาบนฟ้าไปยงัสมรภมูชิยั
กล่าวฝ่ายพระราม พระลักษณ์ก็เสด็จขึ้นรถทรงเคล่ือนพลไปยัง
สมรภมูิชัยอย่างอลังการเช่นกัน โดยมีมาตลี (เทวดา) เป็นผูข้บัรถให ้ บรรดาไพร่พลโห่รอ้งเอาชยักนัสนัน่ สรรพส่ิงท่ีเสด็จผ่าน เช่น ภเูขาก็โนม้ลงมาบรรจบกนัประดจุประนมมือไหวอ้วยชยัใหพ้ร ฟ้าดินก็สะเทือนเล่ือนลัน่ เหล่าพลวานรก็หักถอนตน้ไมม้าถือเป็นอาวธุ บรรดาเทพเทวญัทัง้หลายก็แซ่ซอ้งอาํนวยอวยชยัให ้ รถทรงลอ่งลอยมาบนยอดทิวไมล้อ้รถไมไ้ดเ้ตะพ้ืนเลย เป็นตน้
ครัน้พอถึงยงัสยามรบ พระลกัษณพ์อเห็นพระอินทรย์กทพัมา
ดว้ยก็เกิดความสงสัยจึงตรัสถามสคุรีพ สคุรีพจึงตรัสตอบไปว่า
ทกุครั้งท่ีพระอินทร์เสด็จจะเสด็จท่ามกลางหมู่เทวดา แต่ครั้งนี้ด ู
แปลกๆใหพ้ระลักษณร์ะวังพระองคอ์าจเป็นกลอบุายของยักษก็์ได ้
ฝ่ายอินทรชิตครั้นเห็นกองทัพฝ่ายพระรามยกมาก็สัง่เสนาใหจ้ับ
ระบํารําฟ้อนมาใหฝ่้ายตรงขา้ศึกด ู เมื่อเพลิดเพลินจนเผลอตัว
เมื่อไรจะแผลงศรใส่ไปยังพระลักษณ์ทันที และแลว้พระลักษณ์ก็
เคลิบเคลิ้มจนเผลมลืมพระองค ์ อินทรชิตจึงแผลงศรพรหมาสตร์
เขา้ใสจ่นพระลกัษณต์กจากรถมา้ทรงทนัที
• ๑. คณุค่าดา้นเน้ือหา
• ๒. คณุค่าดา้นวรรณศิลป์
• ๓. คณุค่าดา้นสงัคมและวฒันธรรม
เนือ้หา
๑.๑
โครงเรือ่ง
๑.๒
ตวัละคร
๑.๓ ฉาก
๑.๔
แกน่เรือ่ง
เร่ิมเร่ืองดว้ยท่ีอินทรชิตแปลงกายเป็นพระอินทรเ์พ่ือออกสูร้บกับ
พระรามพระลกัษณ ์
จากนั้นจึงพรรณนาถึงความงดงามของชา้งเอราวัณ พรรณนา
กองทพัของอินทรชติ
กล่าวถึงพระรามท่ีตื่นบรรทม โดยพรรณนาธรรมชาติบริเวณท่ี
ประทบัและความย่ิงใหญ่ของกองทพัพระราม
จบลงดว้ยฉากท่ีพระลักษณ์ทอดพระเนตรเห็นกองทัพพระอินทร์
แปลง ทรงเคลิบเคลิ้ม อินทรชิตจึงแผลงศรพรหมาสตรต์อ้งพระ
ลกัษณ ์
ตวัละครหลกั
พระราม
พระลกัษณ ์
ชา้งเอราวณั
อินทรชิต
พระรามเป็นปางท่ี ๗ ของพระนารายณ์หรือพระวิษณ ุอวตารลงมาเป็นโอรสของทา้ว ทศรถกบัพระนางเกาสริุยา
ทรงมีพระวรกายสีเขียว ทรงธนูเป็นอ า วุธ มี ศ ร วิ เ ศ ษ ๓ เ ล่ ม คื อ ศ รพรหมาสตร์ ศรอัคนิวาต และศรพลายวาต
มีพระมเหสี คือ นางสีดา ( ซ่ึงคือพระลกัษมี พระชายาของพระนารายณอ์วตารลงมาเป็นคูค่รอง)
เป็นโอรสของทา้วทศรถกับนางสมทุรชา
มีพระวรกายสีเหลืองดงัทอง (คือพญาอนันตนาคราชอวตารลงมาพร้อมพระราม)
เมื่อพระรามตอ้งเสด็จออกเดินดงตาม พระประสงค์ของนางไกยเกษี พระลกัษณก็์ไดท้ลูขอตามเสด็จไปดว้ยความจงรักภักดี ทรงร่วมผจญกับเหล่าหมู่มารและร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพระรามเสมอ
เดมิชือ่ รณพกัตร ์ เป็นบตุรของทศกณัฐก์บันางมณโฑ มีกายสีเขียว มีฤทธ์ิเก่งกลา้มาก ไดศึ้กษาวิชากับ
พระฤาษีโคบตุรจนสาํเร็จวิชามหากาลอัคคี ต่อมาประกอบพิธีบชูาเทพจนไดป้ระทานอาวธุพิเศษ คือ พระอิศวรประทานศรพรหมาสตร์และให้มีฤทธ์ิวิเศษแปลงกายเป็นพระอินทร ์ พระพรหมประทานศรนาคบาศและใหพ้รว่าถา้จะตายตอ้งมีพานแกว้ของพระพรหมมารองรับเศียร มิฉะนัน้ ถา้เศียรตกดนิจะทาํใหไ้ฟไหมโ้ลก สว่นพระนารายณป์ระทานศรวิษณปุาณมั
ครัง้หนึง่รณพกัตรม์คีวามเหิมเกริมไปทา้รบกบัพระอินทร์ และชนะพระอินทร์ ทํา ให้ได ้ชื่อ ใหม่ว่า “อินทรชติ” เพราะสามารถรบชนะพระอินทรไ์ด ้
o เป็นช ้างทรงของพระอินทร์ ซ่ึงพระศิวะเป็นผู้ประทานให ้เป็นชา้งท่ีมีพละกําลังและเป็นท่ีโปรดปรานมากท่ีสดุ
o ในศาสนาฮินดเูชื่อกันว่า ชา้งเชือกนี้เป็นเทพบตุรองค์หนึ่ง ชื่อไอราวัณ เมื่อพระอินทร์ตอ้งการจะเสด็จไปไหนเอราวัณเทพบุตรจะแปลงกายเป็นชา้งเผือก ขนาดสงูใหญ่มีเศียรถึง ๓๓ เศียร แต่ละเศียรม ี๗ งา แตล่ะงายาวถึง ๔ ลา้นวาและมีสระบวั ๗ สระ แตล่ะสระบัวมีบัว ๗ กอ แต่ละกอมีดอกบัว ๗ ดอก แต่ละดอกมีกลีบ ๗ กลีบ ในแต่ละกลีบมีเทพธิดา ๗ องค ์และเทพธิดาแต่ละองคก็์มีบริวารอีกองคล์ะ ๗ คน ซ่ึงแสดงใหเ้ห็นถึงความใหญ่โตอลงัการของชา้งทรงพระอินทร ์
ฉากท่ีปรากฏในตอนนี้ คือ ฉากกองทัพของฝ่ายอินทรชิต
แต่ฝ่ายพระราม กวีไดพ้รรณนาใหเ้ห็นถึงภาพความย่ิงใหญ่ของ
กองทัพทั้งสองฝ่าย และยังปรากฏฉากธรรมชาติบริเวณท่ีประทับ
ของพระรามในขณะท่ีพระรามตืน่บรรทมดว้ย
การพิจารณาส่ิงต่างๆ จะตอ้งมีสติ อย่าหลงเช่ืออะไร
ง่ายๆ เพราะความงดงามชวนหลงใหลนัน้มกัจะแฝงมากบั
พิษภยั เชน่เดียวกบัการท่ีอินทรชิตปลอมแปลงกายเป็นพระอินทร์
จนทาํใหพ้ระลกัษณเ์คลิบเคลิ้มหลงใหลจนตอ้งศรพรหมาสตร ์
๒.๑ ลกัษณะการ
ประพนัธ ์
๒.๓ โวหารภาพพจน ์
๒.๒
รสวรรณคดี
๒.๔ ศิลปะการ
ประพนัธ ์
ประพนัธด์ว้ยรปูแบบกาพยฉ์บงั ๑๖
ปรากฏรสวรรณคดีท่ีโดดเด่น คือ เสาวรจนี ซ่ึงเป็นบท
พรรณนาความงามของสถานท่ี ธรรมชาติ หรือชมความงามของ
ตวัละคร เชน่
เคร่ืองประดบัเกา้แกว้โกมนิ ซองหางกระวิน
สรอ้ยสายชนกัถกัทอง
ตาขา่ยเพชรรตันร์อ้ยกรอง ผา้ทิพยป์กตระพอง
หอ้ยพู่ทกุหคูชสาร
(พรรรนาชมความงามวิมานของพระ
อินทร)์
อติพจน ์
เสียงพลโห่รอ้งเอาชยั เลื่อนลัน่สนัน่ใน
พิภพเพียงทาํลาย
บคุคลวตั / บคุคลาธิษฐาน
สตัภณัฑบ์รรพตทัง้หลาย อ่อนเอียงเพียง
ปลาย
ประนอมประนมชมชยั
๑. ใชถ้อ้ยคาํสัน้ๆ แตไ่ดค้วามหมายด ี
๒. ใชอ้ปุมาทาํใหเ้ห็นภาพ
๓. มกีารใชอ้ตพิจน ์(การกลา่วเกนิจริง)
๔. มกีารใชบ่คุคลวตั (สมมตใิหส้ิ่งท่ีไมม่ชีวิีตใหม้ชีวิีต)
๕. ใชภ้าษาใหเ้กดิการจินตนาการ เชน่ ภาพการเคลื่อนไหวของ
หมูน่กในธรรมชาตยิามเชา้
๑. สะทอ้นใหเ้ห็นถึงสังคมในสมัยอยธุยาว่ามีการแสดงมหรสพป ร ะ เ ภ ท ห นั ง ใ ห ญ่ แ ล ะ โ ข น จ น ม า ถึ ง ใ น ส มั ย ข อ งพระบาทสมเด็จพระพทุธเลิศหลา้นภาลยัก็ยงัมกีารเลน่โขน
๒. สะทอ้นใหเ้ห็นถึงความเชื่อในเร่ืองเทวดา นางฟ้า พระอินทร์ท่ีมอียู่ในวิถีชวิีตของในสงัคมนัน้ๆ
๓. สะทอ้นใหเ้ห็นถึงสังคมไทยสมัยก่อนว่าใชอ้าวธุต่างๆในการรบ เช่น พระขรรค์ โตมร(หอก) ธน ู คฑา ใชช้า้ง มา้ และราชรถเป็นพาหนะ
๔. สะทอ้นใหเ้ห็นถึงการเดินทางไปสนามรบในสมยัก่อนว่ามีแตรสงัขก์ลองประโคม
๑. ควรเป็นคนดมีคีณุธรรม
๒. เมือ่มอีาํนาจวาสนาก็ไมค่วรเหิมเกริมใชอ้าํนาจทาํรา้ยผูอ่ื้น
๓. ธรรมะย่อมชนะอธรรม
๔. อย่าประมาทหรือลุม่หลงอาจทาํใหช้วิีตผดิพลาดได ้
๕. ควรฝึกฝนตนใหม้จิีนตนาการท่ีสรา้งสรรค ์เพ่ือใหเ้กดิความงดงาม
ท่ีละเอียดอ่อนทางดา้นจิตใจ
top related