การหมักต้นและเศษเหลือของ...
TRANSCRIPT
การหมกัต้นและเศษเหลือของขา้วโพดฝักอ่อนเสรมิด้วยใบกระถิน โดยใช้ถงุหมกัเพื่อใชเ้ป็นอาหารโคนม *
สายขมิ แสงโชติ1/ นวลมณี กาญจนพบูิลย2์/
บทคัดยอ่
คณุค่าทางโภชนะของต้นและเศษเหลือขา้วโพดฝักอ่อนหมกั ที่ผสมด้วยใบกระถินอัตรา 10, 20 เปอรเ์ซน็ต์ และใบกระถิน 20 เปอรเ์ซน็ต์เสรมิด้วยมนัเสน้ 3 เปอรเ์ซน็ต์ (สตูรที่ 2, 3 และ 4) เปรยีบเทียบกับต้นและเศษเหลือขา้วโพดฝักอ่อนอยา่งเดียว (สตูรที่ 1) จากการหมกัในถงุพลาสติกขนาดบรรจุประมาณ 20 –25 กิโลกรมั ทำาการตรวจสอบคณุภาพ และนำาไปวเิคราะหค์ณุค่าทางโภชนะ หลังจากหมกัได้ 30 วนั ผลปรากกวา่ พชืหมกัทัง้ 4 สตูร จดัอยูใ่นลักษณะของพชืหมกัที่ดี ทัง้ส ีกลิ่น ปรมิาณกรดและมสีว่นของพชืหมกัที่เสยีบรเิวณปากถงุประมาณ 2 – 5 เปอรเ์ซน็ต์ โดยสตูรที่ 1, 2, 3 และ 4 มคี่า pH เป ็น 3.5, 3.8, 4.1 และ 4.2 กรดแลกติค เป ็น 1.17, 1.08, 0.95 และ 1.07 เปอรเ์ซน็ต์ กรดอะซติิค เป็น 0.26, 0.32, 0.46 และ 0.50 เปอรเ์ซน็ต์สว่นกรดบวิทีรคิเป็น 0.09, 0.15 และ 0.11 เปอรเ์ซน็ต์ ตามลำาดับ
ผลการวเิคราะหส์ว่นประกอบทางเคม ีพบวา่ การผสมในกระถิน 20 เปอรเ์ซน็ต์ในสตูรที่ 3 และ 4 ใหค้ณุค่าทางอาหารสงูโดยสตูรที่ 3 มคี่าวตัถแุหง้โปรตีนรวม ไขมนั เยื่อใยรวม เถ้า และไนโตรเจนฟรเีอกซแ์ทรด 36.12, 18.32,3.19, 21.41, 9.45 และ 44.35 เปอรเ์ซน็ต์ สตูรที่ 4 ม ีค่า 38.48, 17.50,2.82, 20.69, 9.18 และ 45.20 เปอรเ์ซน็ต์ ในขณะที่สตูรท ี่ 1 มคี ่าเป ็น 25.55, 8.14, 1.06, 28.54, 8.79 และ 48.98 เปอรเ์ซน็ต์ ตามลำาดับเชน่เดียวกับค่าพลังงานในสตูรที่ 3 และ 4 มคี่า 4.43 และ 4.37 กิโลแคลลอร ีต่่อกรมัขณะที่สตูรที่ 1 มคี่า 4.1 กิโลแคลลอร ีต่่อกรมั สว่นค่าการยอ่ยได้ของวตัถแุหง้(% IVDMD) ทัง้ 4 สตูร มคี่าไมแ่ตกต่างกัน
สำาหรบัความน่ากินเมื่อทดสอบกับโคนม ปรากฏวา่ มปีรมิาณการกินใกล้เคียงกัน
* โครงการวจิยัลำาดับท่ี 13 – 0232 – 321/ กลุ่มงานวจิยัพชือาหารสตัว ์กองอาหารสตัว ์กรมปศุสตัว์2/ กลุ่มงานวเิคราะหอ์าหารสตัว ์กองอาหารสตัว ์กรมปศุสตัว์
Rational Mixing Baby CornWaste and Leucaena Leaves Bag
Silage as Dairy Cattle Feed*
Saikhim Sangchote 1/ Nualmanee Kanjanapibul 2/
AbstractBabycornstem and waste (treatment 1), baby
corn stem and waste supplement with 10,20% of dry leucaena leaves (treatment 2, 3) and baby corn stem and waste supplemented with 20 % of dry leucaena leaves plus 3% of cassavea chips (treatment 4) were comparing on their nutritive value after 30days of ensiling in pkastic bags (20 – 25 kg./bag). They retained a characteristic of good quality silage in their color, favor and acidity. The spoilage portion in the bag was about 2 –5 %
Treatment 1,2,3 and 4 bad a pH at 3.5, 3.8, 4.1 and 4.2; lactic acid at 1.17, 1.08, 0.95 and 1.07% ; acetic acid at 0.26, 0.32, 0.48 and 0.50 % ; hutyric acid at 0.09,0.09, 0.15 and 0.11% respectively.
On the chemical composition,supplemented with leucaena leaves at 20% in treatment 3 and 4 obtained rather high nutritive value. Treatment 3 had dry matter, protein,fat, fober, ash nitrogen free axtract at 36.12, 18.32,3.19,21.41,9.45 and 44.35% as treatment 4 had 38.48,17.50,2.82, 20.69, 9.18 and 45.20% whereas
trearment 1 had 25.55 , 8.14, 1.06, 28.54, 8.79 and 48.98% respectively. Gross energy in treatment 3 and 4 was 4.43 and 4.37 kg.cal./gm. Whereas tretment 1 was 4.1 kg.cal./gm. Digestibility of dry matter (% IVDMD) of these silages had no difference (P<0.05) and palatibility was also similar.
* Research project no. 13 – 0232 – 321/ Forage Crops Research group, Animal Nutrition
Division, Department of Livestock Development, Bangkok.
2/ Animal Nutrition Laboratory Group, Department of Livestock Development,
Bangkok,On the chemical composition, supplemented
with leucaena leaves at 20 % in tretment 3 and 4 obtained rather high nutritive value. Treatment 3 had dry matter, protein,fat, fober, ash and nitrogen free extract at 36.12, 18.32, 3.19, 21.41, 9.45 and 44.35 % as treatment 4 had 38.48, 17.50, 2.82, 20.69, 9.18 and 45.20 % whereas treatment 1 had 25.55, 8.14, 1.05, 28.54, 8.79 and 48.98 % respectively.Grass energy in treatment 3 and 4 was 4.43 and 4.37 kg.cal./gm. Whereas treatment 1 was 4.1 kg.cal./gm. Digestibility of dry matter (% IVDMD) of these silages had no difference (P<0.05) and palatibility was also similar.
คำานำา
ในขณะที่โคนมเพิม่จำานวนมากขึ้น ปัญหาที่ตามมาก็คือ พชือาหารสตัวซ์ึ่งเป็นปัจจยัที่สำาคัญอยา่งยิง่ในการเลี้ยงสตัวเ์คี้ยวเอื้อง ไมส่ามารถหามาใชไ้ด้อยา่งเพยีงพอ เพราะปัจจุบนัพื้นที่ที่ใชใ้นการปลกูพชือาหารสตัว ์ลดจำานวนลงไปมากตามภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะฤดแูล้งจะขาดแคลนมาก แมว้า่จะได้มกีารนำาเอาวสัดเุหลือใชจ้ากไรน่ ำามาใชเ้ลี้ยงเพื่อบรรเมาความขาดแคลนแล้วก็ตาม แต่เศษเหลือบางชนิดก็ด้อยคณุภาพ บางชนิดจะมมีากในชว่งฤดฝูน และจะมจีำานวนมากเป็นคราว ๆ ในชว่งการเก็บเกี่ยวเท่านัน้ แล้วยงัไมส่ามารถเก็บได้นาน จงึควรนำามาเก็บรกัษาในรูปของการหมกัและเสรมิคณุค่าทางโภชนะ ซึ่งเป็นวธิกีารเก็บถนอมไวใ้หส้ตัวม์กีินอยา่งสมำ่าเสมอ เศษเหลือที่ใชก้ันอยา่งแพรห่ลายในปัจจุบนั และมคีณุค่าทางโภชนะอยูใ่นเกณฑ์ดีคือ เศษเหลือของขา้วโพดฝักอ่อนที่เหลือจากการน ำาฝักสดไปจำาหน่ายในลักษณะสดและอุตสาหกรรมบรรจุกระป๋อง จากรายงานสถิติพื้นที่เพาะปลกูขา้วโพดฝักอ่อนทัว่ประเทศ ปี พ.ศ. 2532 – 2533 ประมาณ 144,693 ไร ่(กรมสง่เสรมิการเกษตร, 2534) ทำาใหม้ผีลิตผลพลอยได้เป็นสว่นต้นใบหลังเก็บฝักแล้ว และสว่นเปลือกของฝักขา้วโพดอ่อนอยูเ่ป็นจ ำานวนมาก ซ ึ่งสามารถนำามาใชเ้ป็นอาหารหยาบเลี้ยงโคได้ดี โดยเศษเหลือนี้ประกอบด้วยลำาต้น 80 เปอรเ์ซน็ต์และเปลือก 20 เปอรเ์ซน็ต์ (Suriyajantratong
and Tungnipone, 1980) จากการวเิคราะหส์ว่นประกอบทางเคม ีพบวา่ มโีปรตีนรวมเฉลี่ย 8.0 เปอรเ์ซน็ต์ ลิกนินตำ่า มธีาตทุองแดงและสงักะสสีงูมาก สารพษิตกค้างในระดับตำ่าปลอดภัย แต่ผลผลิตนมของโคนมที่เลี้ยงด้วยเศษขา้วโพดฝักอ่อน อยูใ่นเกณฑ์ตำ่ากวา่ระดับเฉล่ียของประเทศ โดยมค่ีาเพยีง 8.2 กิโลกรมัต่อตัวต่อวนั (ชาญชยั และคณะ, 2532) หรอืแมแ้ต่ขา้วโพดหมกัก็มคี่าโปรตีนรวม 8 – 9 เปอรเ์ซน็ต์ จดัวา่ยงัคงมคี่าโปรตีนค่อนขา้งตำ่า (Wilkinson, 1985) ทำาใหข้บวนการทำางานของจุลินทรยีใ์นกระเพาะรวมไม่ด ี เน ื่องจากปรมิาณไนโตรเจนท ี่ไม เ่พยีงพอ (Miford and Minson, 1966) เพื่อใหโ้คนมสามารถใหน้มอยูใ่นเกณฑ์ที่ดีตลอด จำาเป็นต้องมกีารเสรมิโปรตีนและพลังงานเพื่อเพิม่คณุค่าทางอาหารใหเ้พยีงพอสำาหรบัการสรา้งนม ซึ่งใบกระถินเป็นพชืตระกลูถัว่ที่จะนำามาเสรมิโปรตีนแก่สตัวไ์ด้ด ีราคาไมแ่พง มคี่าโปรตีนรวมประมาณ 20 – 22 เปอรเ์ซน็ต์ (กองอาหารสตัว,์ 2529) และววัก็สามารถกินใบกระถินสดได้มากถึง 11.6 กิโลกรมัต่อตัวต่อวนั (Manidool, 1985) ฉะนัน้การผสมใบกระถินในการหมกัต้นและเศษเหลือขา้วโพดฝักอ่อน ก็จะทำาใหพ้ชืหมกัมคีณุค่าสงูขึ้น ในการหมกัพชืที่มีปรมิาณโปรตีนรวมสงู ปรมิาณนำ้าตาลตำ่า จำาเป็นต้องเติมสารชว่ยหมกั (Dibb et al., 1970) มนัเสน้จดัเป็นสารชว่ยหมกัพวกคารโ์บไฮเดรตที่กระตุ้นการสรา้งกรดแลกติค (McDonald, 1981) นอกจากนี้ยงัชว่ยดดูซบัความชื้น เป็นการเพิม่ปรมิาณวตัถแุหง้แก่พชืหมกัด้วย การหมกัโดยทัว่ไปจะบรรจุพชืหมกัในไซโลซีง่อาจทำาเป็นหลมุ เป็นรางยาว หรอืแบบก่อเป็นถัง แต่ในปัจจุบนัได ้มกีารน ำาเอาวธิกีารหมกัในถงุขนาดใหญ่มาใช โ้ดยมกีารใชป้ระเทศออสเตรเลีย (Graham and Busby, 1986) การใชถ้งุหมกัขนาดใหญ่มีความยุง่ยากในการปฏิบตัิ และต้องใชเ้ครื่องมอืชว่ย เมื่อเปิดใชแ้ล้วก็มโีอกาสมสีว่นเสยีได้มาก ฉะนัน้ในการทดลองครัง้นี้ จงึมุง่ศึกษาถึงการหมกัต้นและเศษเหลือของขา้วโพดฝักอ่อนเสรมิด้วยใบกระถิน โดยใชถ้งุพลาสติกที่มคีวามจุในขนาดที่ขนยา้ยได้สะดวก ง่ายต่อการปฏิบติั และการนำาใชเ้ล้ียงสตัว์
อุปกรณ์และวธิกีารอุปกรณ์ท่ีใชใ้นการหมกั
1. ถงุพลาสติกสดีำา ความยาวของถงุประมาณ 0.2 มลิลิเมตรกวา้ง x ยาว ประมาณ 25 น้ิว x 40 น้ิวบรรจุได้ประมาณ 20 – 25 กิโลกรมั
2. เครื่องมอืผนึกปากถงุหรอืเชอืกสำาหรบัมดัปากถงุ3. วตัถท่ีุใชใ้นการหมกั
ต้นขา้วโพดฝักอ่อน หลังจากเก็บฝักแล้ว (อายุประมาณ 55 –60 วนั)
รวมกับสว่นเปลือก ไหม เขา้เครื่องสบัเป็นชิน้ขนาดประมาณ 2 –3 เซนติเมตร
ใบกระถิน ตากแหง้ มนัเสน้
อุปกรณ์ท่ีใชก้ารวเิคราะห์คณุค่าทางโภชนะของพชืหมกั- เครื่องมอืที่ใชส้ำาหรบัการวเิคราะหท์างเคมี1. pH meter สำาหรบัหาระดับความเป็นกรดในพชืหมกั2. ตู้อบสำาหรบัหาความชื้น3. เครื่องมอืวเิคราะหห์าปรมิาณกรดแลกติด กรดอะซติิค และกรดบวิทีลิค4. เคร ื่องมอืวเิคราะหห์าสว่นประกอบทางเคม ีโดยวธิ ีProximate
Analysis และ Detergent Analysis- เครื่องมอืที่ใชส้ำาหรบัวเิคราะหห์าการยอ่ยได้แบบ in vitro
วธิกีารศึกษาวางแผนการทดลอง Completely Randomized Design
ม ี4 สตูร (Treatments) ทำาการหมกัสตูรละ 4 ซำ้า (Replications) ซำ้าละ 4 ถงุ
สตูรที่ 1 ต้นและเศษเหลือขา้วโพดฝักอ่อนอยา่งเดียวสตูรที่ 2 ต้นและเศษเหลือขา้วโพดฝักอ่อน + ใบกระถิน
10 %สตูรที่ 3 ต้นและเศษเหลือขา้วโพดฝักอ่อน + ใบกระถิน
20%
สตูรที่ 4 ต้นและเศษเหลือขา้วโพดฝักอ่อน + ใบกระถิน 20% + มนัเสน้ 3%
หลังจากเก็บขา้วโพดฝักอ่อนแล้ว ตัดต้นขา้วโพดและเศษเหลือซึ่งรวมทัง้เปลือกขา้วโพดฝักอ่อน เขา้เครื่องสบัเป็นชิน้ ๆ ขนาดประมาณ 2 –3 เซนติเมตร ผสมกับใบกระถินและมนัเสน้ตามอัตราสว่นของแต่ละสตูร คลกุเคล้ากันใหท้ัว่ บรรจุลงในถงุพลาสติกที่เตรยีมไวป้รมิาณ 20 กิโลกรมัต่อถงุ อัดลงใหแ้น่น ไล่อากาศออกใหห้มดแล้วจงึปิดปากถงุ ก่อนหมกัสุม่เก็บตัวอยา่งสดของทกุสตูร และเมื่อหมกัได้ที่หลังจาก 30 วนั จงึสุม่ตัวอยา่งเพื่อตรวจสอบคณุภาพ และศึกษาการสญูเสยีที่เกิดจากการหมกั
การเก็บตัวอยา่งเพื่อตรวจคณุภาพ หลังจากเปิดถงุแล้วเอาสว่นเสยีบางสว่นบรเิวณปากถงุออก สุม่เก็บตัวอยา่งของชัน้บน และชีน้กลางถงุออกมาเพื่อตรวจดลูักษณะภายนอกได้แก่ ส ีกลิ่น และเนื้อพชืหมกั เก็บตัวอยา่งประมาณ 1 กก. นำาไปเก็บในตู้แชแ่ขง็เพื่อตรวจหาความเป็นกรดด่าง (pH) ปรมิาณกรดไขมนัระเหยง่าย (Valatile fatty acid) ตัวอยา่งอีกสว่นหนึ่งที่เหลือ นำาไปอบแหง้ โดยใชค้วามรอ้นประมาณ 75 องศาเซลเซยีสนาน 24 ชม. เพื่อหาความชื้น นำาตัวอยา่งที่แหง้แล้วไปบดใหล้ะเอียด เก็บไว้เพ ื่อว เิคราะหห์าค ่าโภชนะต ่าง ๆ โดยวธิ ีProximate Analysis และ Detergent Analysis พรอ้มทัง้วเิคราะหห์าการยอ่ยได้โดยระบบ in vitro digestibility
ศึกษาความน่ากิน (Palatability) โดยใชโ้คนม 4 ตัว ใหก้ินตอนเชา้หลังรดีนม จบัเวลาในการกิน สลับสตูรพชืหมกัใหโ้คแต่ละตัวใน 4 วนั
ผลการทดลองนำามาวเิคราะหค์วามแปรปรวน และเปรยีบเทียบความแตกต่างโดยวธิขีอง Duncan,s Range Test. (DMRT)
ผลการทดลองและวจิารณ์
ลักษณะภายนอกของต้นและเศษเหลือขา้วโพดฝักอ่อนหมกั
หลังจากหมกัได้ 30 วนั เปิดถงุออกดปูรากฏวา่ พชืหมกัยุบตัวลงเล็ก น้อย บรเิวณผิวหน้าสว่นบน (ปากถงุ) จะมสีว่นที่เสยี ชิน้พชืหมกัเกาะตัวกันลักษณะเป็นแผ่นมสีนีำ้าตาลไหมอ้อกดำา แล้วมสีขีาวของเชื้อราปะปนอยู่ในสว่นนี้ด้วย สว่นที่เสยีนี้จะมกีลิ่นเหมน็ นำาออกมาชัง่นำ้าหนักได้ประมาณตัง้แต่ 0.4 – 1 กิโลกรมัต่อถงุ คิดเป็นเปอรเ์ซน็ต์การสญูเสยีประมาณ 2 – 5 เปอรเ์ซน็ต์ของถงุพชืหมกั เมื่อเอาสว่นที่เสยีออกแล้วจะเป็นสว่นของพชืหมกัท่ีดี มลัีกษณะดังต่อไปน้ี
สขีองพชืหมกัต้นและเศษเหลือของขา้วโพดฝักอ่อนหมกัสตูรที่ 1 มสีดีีที่สดุ คือ
สเีขยีวอ่อนอมเหลือง อีก 3 สตูรที่ผสมใบกระถินมสีนี ำ้าตาล โดยสตูรที่ 2 ผสมใบกระถิน 10 เปอรเ์ซน็ต์จะมสีนีำ้าตาลแดง เมื่อผสมใบกระถินเพิม่ขึ้นเป็น 20 เปอรเ์ซน็ต์ ในสตูรท่ี 3 และ 4 จะมสีนีำ้าตาลเขม็ขน้ สนีำ้าตาลท่ีเกิดขึ้นเป็นสีของใบกระถินที่เปลี่ยนไป โดยทัว่ไปสขีองพชืหมกัมสีนี ำ้าตาล เป็นเพราะปฏิกิรยิาของกรดที่มตี่อคลอโรฟลิด์ซ ึ่งถกูเปลี่ยนใหเ้ป็น magnesium free pigment และการสลายของสารโพรวติามนิเอ (carotene) จะสมัพนัธก์ับอุณหภมูแิละการเกิดออกซเิดชัน่ ถ้าอุณหภมูสิงูและมขีบวนการออกซเิดชัน่มาก จะทำาใหโ้พรวติามนิเอถกูทำาลายมาก (เมธา, 2529)
กล่ินของพชืหมกัพชืหมกัทัง่ 4 สตูร มกีลิ่นหอมเปรีย้วไมเ่น่าเหมน็ โดยสตูรที่ 1 ไม่
ผสมใบกระถิน จะมกีล่ินหอมเปรีย้วของพชืหมกัมากกวา่ สตูรที่ 2, 3 และ 4 จากสแีละกลิ่น จดัเป็นพชืหมกัที่มลี ักษณะตรงกับที่ ชาญชยั
(2521) รายงานวา่พชืหมกั ที่ดีควรมสีเีขยีวแกมเหลืองหรอืสนี ำ้าตาล และควรมกีลิ่นหอมของกรดไมเ่น่าเหมน็ กลิ่นไมฉ่นุ พชืหมกัที่มกีลิ่นฉนุสตัวไ์ม่ชอบกิน ถ้ามกีลิ่นแอมโมเนียหรอืกลิ่นกรดทีรคิเหมน็แสดงวา่พชืหมกันัน้สญูเสยีคณุค่าทางอาหาร
เนื้อของพชืหมกัและความเปียกชื้นเนื้อเยื่ออ่อนที่ผิวของพชืหมกัทัง้ 4 สตูร ไมเ่ป็นเมอืก ไมเ่ละ เอา
มอืถไูมห่ลดุลอกซึ่งเป็นลักษณะของพชืหมกัที่ดี เมื่อเปรยีบเทียบความปียก
ชื้น จะเหน็วา่สตูรที่ 1 มลีักษณะฉำ่านำ้าไมถ่ึงกับม ีseepage (การสญูเสยีโภชนะออกมากับของเหลว) สตูรที่ 2 เปียกชื้นปานกลาง สว่นสตูรที่ 3 และ 4 มคีวามเปียกชื้นน้อยค่อนขา้งแหง้
ตารางท่ี 1 เปรยีบเทียบค่า pH เปอรเ์ซน็ต์ความชื้น และเปอรเ์ซน็ต์วตัถแุหง้ของต้นและเศษเหลือขา้วโพดฝัก
อ่อนหมกัผสมใบกระถินสตูรต่าง ๆ
ชนิดของพชืหมกั pH % ความชื้น % วตัถุแห้ง
สตูรที่ 1สตูรที่ 2 สตูรที่ 3สตูรที่ 4
3.5 ก
3.8 ข
4.1 ค
4.2 ค
74.45 ก
67.60 ข
63.68 ค
61.52 ง
25.55 ก
32.40 ข
36.12 ค28.48 ง
C.V. (%) 3.9 2.9 2.9
ค่าเฉล่ียที่มอัีกษรกำากับต่างกันในแนวตัง้เดียวกัน มคีวามแตกต่างกันอยา่งมีนัยสำาคัญทางสถิติ (P< 0.05) โดยวธิ ีDMRT
เปอรเ์ซน็ต์วตัถแุห้งของพชืหมกัจากตารางที่ 1 ค่าเปอรเ์ซน็ต์วตัถแุหง้ของต้นทนุและเศษเหลือ
ขา้วโพดฝักอ่อนหมกัทัง้ 4 สตูร แตกต่างกันอยา่งมนีัยส ำาคัญทางสถิติ (P<0.05) โดยสตูรที่ 1 มคี่าสตัถแุหง้ 25.55 เปอรเ์ซน็ต์ และมคี่าเฉลี่ยเพิม่ขึ้นเมื่อผสมใบกระถิน 10 และ 20 เปอรเ์ซน็ต์ ในการหมกัสตูรที่ 2, 3 คือ 32.40, 36.12 และ 38.46 เปอรเ์ซน็ต์ตามลำาดับสำาหรบัสตูรที่ 4 ม ีเปอรเ์ซน็ต์วตัถแุหง้สงูกวา่สตูรอื่นๆ เพราะนอกจากผสมใบกระถินแล้วยงัมีมนั เสน้ผสมด ้วย ซ ึ่งช ว่ยดดูซบัความช ื้นและ เพ ิม่ปรมิาณวตัถแุหง้ McDonald (1981) รายงานวา่ หากพชืหมกัมวีตัถแุหง้ 30 % หรอืมากกวา่ ปฏิกิรยิาของแบคทีเรยี Clostridium sp. ในพชืหมกัจะมนี้อยมากและพชืหมกัที่ได้จะมคีณุภาพดี ทัง้นี้เพราะ Clostridium sp นัน้มกีารเจรญิเติบโตได้ดีในสภาพที่ชื้นพชืหมกัจากการทดลองครัง้นี้ มคีวามชื้นอยูร่ะหวา่ง
61 – 75 % สอดคล้องกับรายงานของ Cullison (1975) วา่พชืหมกัควรมคีวามช ื้นระหวา่ง 65 – 75 เปอร เ์ซน็ต ์ หากมคีวามช ื้นสงูกวา่ 75 เปอรเ์ซน็ต์ พชืหมกัจะเปร ีย้วมากและเกิดการสญูเสยีโภชนะออกมากับของเหลว นำ้าในพชืหมกัจะเจอืจางปรมิาณคารโ์บไฮเดรตที่ใชใ้นการสรา้งกรด ทัง้เจอืจางกรดที่แบคทีเรยีสรา้งออกมาด้วย(MoCullough, 1975) แต่ถ้าความชื้นน้อยเกินไปทำาใหก้ารอัดพชืในถังหมกัไมแ่น่น และเกิดราได้ง่ายเพราะมอีากาศหลงเหลืออยูม่ากแล้วยงัทำาใหจ้ำานวนของแบคทีเรยีที่สรา้งกรดแลกติคลดลง (Woolford, 1972)
ความเป็นกรดของพชืหมกัดังแสดงในตารางที่ 1 ผลปรากฏวา่ ต้นและเศษเหลือขา้วโพดฝัก
อ่อนหมกั สตูรที่ 1 มคี่า pH เฉลี่ย 3.5 ซึ่งมคีวามแตกต่างทางสถิติอยา่งมีนัยสำาคัญ (P<0.05) กับสตูรท่ี 2, 3 และ 4 ท่ีผสมใบกระถินคือมคี่า pH 3, 8, 4.1 และ 4.2 ตามลำาดับ โดยสตูรที่ 3 และ 4 ค่า pH ไมแ่ตกต่างกัน แสดงวา่การเสรมิมนัเสน้ 3 เปอรเ์ซน็ต์ในสตูรที่ 4 แมจ้ะเพิม่ปรมิาณคารโ๋บไฮเดรตแล้วก็ตามแต่ pH ไมล่ดลงเนื่องจากมนัเสน้ผลทำาใหค้วามชื้นของพชืหมกัลดลง ซึ่งจะไปทำาใหก้ิจกรรมของจุลินทรยีท์ี่สรา้งกรดลดลงด้วย เหน็ได้วา่เมื่อผสมใบกระถินในพชืหมกัเมขึ้น จะทำาใหค่้า pH สงูขึ้นเน่ืองจากใบกระถินมโีปรตีน ซึ่ง hieu (1971) กล่าววา่ ถ้าหากวา่พชืหมกัมปีรมิาณนำ้าตาลน้อย ค่า pH จะผันแปรโดยตรงกับปรมิาณโปรตีนในพชืหมกั อยา่งไรก็ตามการหมกัและเศษเหลือขา้วโพดฝักอ่อนสตูรต่าง ๆครัง้นี้ มคี่า pH อยูร่ะหวา่ง 3.5 – 4.2 ซึ่งจดัอยูใ่นเกณฑ์ของพชืหมกัที่มคีณุภาพดีโดยสอดคล้องกับรายงานของ Narang and Balwant Z1974) และ Church (1986) วา่พชืหมกัที่ดีมคีวรม ีpH น้อยกวา่ 4.5 และพชืหมกัที่มคี่า pH มากกวา่ 5.1 จดัวา่มคีณุภาพเลว
ตารางท่ี 2 แสดงปรมิาณกรดไขมนัระเหยง่าย ของต้นและเศษเหลือขา้วโพดฝักอ่อนหมกัท่ีเสรมิและไมเ่สรมิ
ใบกระถิน
ชนิดของพชืหมกั กรดไขมนัระเหยง่าย (%)กรดแลก
ติคกรดอะซิ
ติคกรดบวิที
รคิสตูรที่ 1สตูรที่ 2สตูรที่ 3สตูรที่ 4
1.171.080.951.07
0.26 ก
0.32 ก
0.46 ข
0.50 ข
0.09 ก
0.09 ก
0.15 ข
0.11 ก
C.V.(%) 14.2 17.02 19
8 ค่าเฉล่ียที่มอัีกษรกำากับต่างกันในแนวตัง้เดียวกัน มคีวามแตกต่างกันอยา่งมนัียสำาคัญทางสถิติ (P<0.05) โดยวธิ ีDMRT
ปรมิาณกรดไขมนัระเหยง่ายผลการวเิคราะหห์าปรมิาณกรดไขมนัระเหยง่าย อันได้แก่ กรด
แลกติค กรดอะซติิค และกรดบวิทีรคิ จากการหมกัต้นและเศษเหลือขา้วโพดฝักอ่อน ปรากฏวา่ทัง้ 4 สตูร จะมปีรมิาณกรดไขมนัระเหยตรงกับรายงานของ ชวนิศนดากร(2520) ซึ่งกล่าววา่ พชืหมกัที่ดีควรมกีรอแลกติคสงู รองลงมาเป็นกรดอะซติิค สว่นกรดบวิทีรคิควรมตีำ่าสดุ ดังแสดงในตารางที่ 2 ปรมิาณกรดแลกติคของพชืหมกัทัง้ 4 สตูร ไมแ่ตกต่างกันทางสถิติคือ 1.17, 1.08, 0.95 และ 1.07 เปอรเ์ซน็ต์ของสตูรที่ 1, 2 3 และ 4 ตามลำาดับ ปรมิาณกรดอะซติิคของสตูรที่ 1 และ 2 ไมแ่ตกต่างกัน คือมคี่า 0.26 และ 0.32 เปอรเ์ซน็ต์ แต่แตกต่าง (P< 0.05) กับสตูรที่ 3 และ 4 คือ 0.46 และ 0.50 เปอรเ์ซน็ต์ สว่นปรมิาณกรดบวิทีรคิ ในสตูรที่ 1, 2 และ 4 ไมแ่ตกต่างกันคือ 0.09, 0.09 และ 0.11 เปอรเ์ซน็ต์ แต่แตกต่าง (P< 0.05) กับสตูรท่ี 3 คือ 0.15 เปอรเ์ซน็ต์ตามลำาดับ
จากค่าของกรอแลกติค ซึ่งเป็นปัจจยัในการบง่ชีถ้ึงคณุภาพของพชืหมกั ที่ได้จากการทดลองนี้มปีรมิาณไมส่งูนัก เนื่องจากต้นและเศษเหลือขา้วโพดฝักอ่อนที่นำามาใชห้มกัมปีรมิาณคารโ์บไฮเดรตที่ละลายน้ได้ ไมม่ากพอที่แบคทีเรยีจะนำาไปใชส้รา้งกรดแลกติคได้เต็มที่ ขณะเดียวกันเมื่อผสมใบกระถินเพื่อโปรตีน ยิง่ทำาใหป้รมิาณคารโ์บไฮเดรตในสว่นผสมของพชืหมกัลดลง (จากค่าไนโตรเจนฟรเีอกซแ์ทรดในตารางที่ 3 และ 4) ซึ่งจะเหน็วา่กรด
แลกติคเร ิม่มคี่าลดลงเมื่อผสมใบกระถินเพิม่ขึ้น ถึงจะไมแ่ตกต่างทางสถิติก็ตาม แมว้า่จะเสรมิมนัเสน้ในสตูรที่ 4 เพื่อเพิม่ปรมิาณคารโ์บไฮเดรตที่ยอ่ยง่าย แต่อัตราที่ใชน้้อยเกินไปที่จะทำาใหเ้กิดกรดแลกติคได้ในปรมิาณที่สงูพอ อีกประการหนึ่งเพราะความชื้นที่ลดลงมผีลทำาใหป้รมิาณของแบคทีเรยีที่สรา้งกรดแลกติคลดลงด้วย (Woolford, 1972) อยา่งไรก็ตามค่าของกรดแลกติคที่ได้ทัง้ 4 สตูรก็ยงัจดัอยูใ่นระดับที่ใชไ้ด้ตามรายงานของ Hellburg (1964) ที่กล่าววา่ หญ้าหมกัที่มคีณุภาพดี ควรมกีรดแลกติคมากกวา่ 1.5 % ถ้ามนี้อยกวา่ 0.5% จดัวา่เป็นหญ้าหมกัที่มคีณุภาพตำ่าเมื่อพจิาณรค่าของกรดอะซติิคและกรดบวิทีรคิ ก็จดัอยูใ่นระดับใกล้เคียงกับที่ Breirem and Ulvesli (1960) รายงานวา่ พชืหมกัที่ดีควรมคี่ากรดแลกติค 1.5 – 2.5 % กรดอะซติิค 0.5 –0.8 % และกรดบวิทีรคิน้อยกวา่ 0.1 เปอรเ์ซน็ต์
คณุค่าทางโถชนะของพชืหมกัสว่นประกอบทางเคมีจากผลการวเิคราะหส์ว่นประกอบทางเคมเีพื่อหาค่าโภชนะต่าง ๆ
ท า ง ห อ้ ง ป ฏ ิบ ตั ิก า ร ท ัง้ Proximate Analysis แ ล ะ Detergent Analysis แสดงในตารางท่ี 3 และ 4
เปอรเ์ซน็ต์โปรตีนรวม ต้นและเศษเหลือขา้วโพดฝักอ่อน ใบกระถิน และมนัเสน้ ที่นำามาใชห้มกัมคี่าโปรตีนรวมเท่ากับ 8.72, 24.88 และ 1.95 % ตามลำาดับ เมื่อนำามาผสมตามอัตราสว่นที่กำาหนด เป็นสตูรที่ 2, 3 และ 4 เก็บตัวอยา่งก่อนทำาการหมกั วเิคราะหค์ ่าโปรตีนรวมได้ 14.97, 18.25 และ 16.24 เปอรเ์ซน็ต์ ตามลำาดับ หลังจากทำาการหมกัแล้ว สตูรที่ 1 มคี่าเฉลี่ยโปรตีนรวมเป็น 8.4 และ เพิม่ขึ้นอยา่งเหน็ได้ชดั (P< 0.05) เมื่อผสมใบกระถ ินในสตูรท ี่ 2, 3 และ 4 คือ 14.86, 18.32 และ 17.50 เปอรเ์ซน็ต์ ตามลำาดับ โดยสตูรที่ 3 ไมแ่ตกต่างกับสตูรที่ 4 ซึ่งเสรมิมนัเสน้ด้วยจะเหน็ได้วา่การผสมใบกระถินสงูถึง 20 % สามารถเพิม่คณุค่าทางโภชนะโดยเฉพาะโปรตีนรวมใหส้งูขึ้นโดยที่ยงัคงลักษณะต่าง ๆของพชืหมกัที่ดี ซึ่งโดยทัว่ไปการเสรมิโปรตีนในพชืหมกั มโีอกาสจะทำาใหป้รมิาณของกรอบวิทีรคิสงูขึ้นจากกิจกรรมของจุลินทรยี ์Clostridium sp. เนื่องจากการยอ่ยสลายโปรตีน แต่ทัง้นี้ก็ขึ้นกับขบวนการหมกัที่จะทำาใหเ้กิดกรดเรว็ที่สดุซึ่งจะ
ชว่ยบัยัง้การเจรญิของจุลินทรยีด์ังกล่าว (Zimmer, 1983) จงึควรใชส้ารชว่ยหมกัเพื่อเสรมิแป้งและนำ้าตาลใหเ้พยีงพอ สำาหรบัแบคทีเรยีที่ผลิตกรดแลกติค จะได้ทวปีรมิาณในระยะเวลารวมรวดเรว็
เปอรเ์ซน็ต์ไขมนั ต้นและเศษเหลือขา้วโพดฝักอ่อนหมกัในสตูรที่ 1 มคี่าไขมนัตำ่าสดุ คือ 0.85 เปอรเ์ซน็ต์ และมคี่าสงูขึ้นในสตูรที่ 2, 3 และ 4 เม ื่อผสมใบกระถ ินเพ ิม่ข ึ้นอยา่งมนี ัยส ำาค ัญทางสถิต ิ (P< 0.05) คือ 2.56 ฒ 3.19 และ 2.82 เปอรเ์ซน็ต์ ตามลำาดับสตูรที่ 4 ใหค้่าไขมนัตำ่ากวา่สตูรที่ 3 เนื่องมาจากผสมมนัเสน้ซึ่งมคี่าไขมนัตำ่าเหน็ได้วา่การผสมใบกระถินนอกจากชว่ยเพิม่โปรตีนรวมแล้ว ยงัเพิม่เปอรเ์ซน็ต์ไขมนัซ ึ่งเป็นแหล่งพลังงานอีกด้วย
เปอรเ์ซน็ต์ไนโตรเจนเอกซแ์ทรก (NFE) พชืหมกัสตูรที่ 1 ม ีปรมิาณ NFE สงูสดุ (48.98 เปอรเ์ซน็ต์) แตกต่าง (P<0.05) กับ 3 สตูรที่เหมาะสมใบกระถินโดยสตูรที่ 2, 3 และ 4 มคี่า NFE ไมแ่ตกต่างกัน 44.91, 44.35 และ 45.20 เปอรเ์ซน็ต์) ทัง้ที่ในสตูรที่ 4 เสรมิมนัเสน้ซึ่งเป็นเหล่งคารโ์บไฮเดรตที่ยอ่ยง่ายมคี่ารวมอยูใ่นค่า NFE แต่เนื่องจากปรมิาณที่ใชค้่อนขา่งตำ่า และอีกประการหนึ่ง จุลินทรยีใ์นพชืหมกัสามารถใช้คารโ์บไฮเดรตที่ยอ่ยง่ายจากมนัเสน้ เพื่อดำาเนินขบวนการหมกัได้ดี จงึทำาใหม้ีปรมิาณ NFE เหลืออยูไ่มม่ากกวา่ในสตูรที่ 2 และ 3
เ ป อ ร เ์ ซ น็ ต ์เ ย ื่อ ใ ย จ า ก ก า ร ว เิ ค ร า ะ ห แ์ บ บ Proximate Analysis เยื่อใยรวมของกันและเศษเหลือขา้วโพดฝักอ่อนหมกัสตูรที่ 1 ม ีค่าสงูสดุ คือ 28.54 เปอรเ์ซน็ต์ (P< 0.05) จากพวกท่ีผสมใบกระถิน ทัง้ 3 สตูร เชน่เดียวกับค่า Neutral Detergent Fiber (NDF หมายถึง สารต่าง ๆ ท่ีเป็นสว่นประกอบของผนังเซลพชื จดัเป็นพวกเยื่อใยซึ่งสว่นใหญ่สตัว์เคี้ยวเอื้องเท่านัน้ที่สามารถจะยอ่ยได้) จากการวเิคราะหแ์บบ Detergent Analysis ในสตูรที่ 1, 2, 3 และ 4 มคี่า 58.63, 47.54, 41.86 และ 40.06 เปอรเ์ซน็ต์ ตามลำาดับ โดยสตูรท่ี 3 และ 4 มค่ีาไมแ่ตกต่างกัน เหน็ได้วา่ต้นขา้วโพดหลังเก็บฝักอ่อนแล้วมปีรมิาณเยื่อใยค่อนขา้งสงู ซึ่งการผสมใบกระถินชว่ยลดปรมิาณเยื่อใยในสว่นผสมลงได้ ทำานองเดียวกับพวกเยื่อใยอ่ืน
ๆ ค ือ Acid Detergent Fiber (ADF) Cellulose แ ล ะ Hemicellulose ในสตูรที่ 1 มค่ีาสงูสดุ ยกเวน้ค่าลอกนิน (ADL) ซึ่งตำ่าสดุในสตูรที่ 1 และมคี่าสงูขึ้นเมื่อผสมใบกระถินเพิม่ขึ้น เป็นเพราะใบกระถินเป็นพชืตระกลูถัว่ จะมปีรมิาณลิกนินสงูกวา่พชืตระกลูหญ้า (วรพงษ์ 2529)
ตารางท่ี 3 แสดงสว่นประกอบทางเคมขีองต้นและเศษเหลือขา้วโพดฝักอ่อน ใบกระถิน และมนัเสน้ ท่ีนำามาใช้
การหมกัสตูรต่าง ๆ
สว่นประกอบทางเคม(ี%)
สตูรท่ี1
สตูรท่ี2
สตูรท่ี3
สตูรท่ี4
ในกระถิน
มนัเสน้
Proximate Analysis โปรตีนรวม ไขมนั เยื่อใยรวม เถ้า NFEDetergent Analysis NDF NDS ADF ADL Cellulose Hemicellulose
8.72
0.85
29.698.99
48.45
64.4435.5639.766.53
32.0124.68
14.972.05
25.0810.5944.46
54.9245.0835.737.06
26.1819.19
18.253.23
20.759.84
45.13
42.8357.1731.507.08
21.7411.33
16.242.95
17.148.74
50.89
37.9562.0525.256.74
19.70.12.70
24.884.94
15.158.74
42.77
25.5674.4420.277.73
12.635.29
1.950.242.732.8084.7
2
14.89
85.11
4.601.313.4710.2
9
ตารางท่ี 4 แสดงสว่นประกอบทางเคมเีฉลี่ของต้นและเศษเหลือขา้วโพดฝักอ่อนหมกัสตูรต่าง ๆ
สว่นประกอบทางเคม ี(%) สตูรท่ี1
สตูรท่ี2
สตูรท่ี3
สตูรท่ี4 C.V.
(%)Proximate Analysis โปรตีนรวม ไขมนั เยื่อใยรวม เถ้า NFEDetergent Analysis NDF NDS ADF ADL Cellulose Hemicellulose
8.14 ก
1.06 ก
28.54ก
8.79 ก
48.98ก
58.63ก
41.37ก
40.14ก
5.40 ก
31.96ก
18.49ก
14.86ข
2.56 ข
22.76ข
9.59 ข
44.91ข
47.54ข
52.46ข
32.86ข
6.27 ข
25.01ข
14.69ข
18.32ค
3.19 ง
21.41ขค
9.45 ข
44.35ข
41.86ค
58.14ค
31.37ข
7.12 ค
22.60ค
10.49ค
18.50ค
2.82 ค
20.69ค
9.18 ข
45.20 ข
40.06ค
59.94ค
30.91 ข
7.76 ค
21.76ค
9.15 ค
5.066.305.303.902.50
2.932.604.058.095.20
11.90
ค่าเฉลี่ยที่กำากับด้วยอักษรต่างกันในบรรทัดเดียวกัน แตกต่างกับอยา่งมนีัยสำาคัญ (P<0.05) โดยว ีDMRT
พลังงาน
การวดัค่าพลังงานในพชืหมกัใชว้ธิกีารวเิคราะหใ์นหอ้งปฏิบตัิการ ดังแสดงในตารางที่ 5 สตูรที่ 1 ต้นและเศษเหลือขา้วโพดฝักอ่อนหมกัอยา่งเดียว มคี่าพลังงานตำ่าสดุคือ 4.1 กิโลแคลลอรี/่กรมั และมคี่าสงูขึ้นโดยแตกต่าง (P<0.05) กับอีก 3 สตูรที่ผสมใบกระถิน คือมคี่าพลังงานเป็น 4.23, 4.43 และ 4.37 กิโลแคลอรต่ีอกรมั ของสตูรที่ 2, 3 และ 4 ตามลำาดับ จากค่าพลังงานที่สงูขึ้นซึ่งเป็นผลดีสำาหรบัโครดีนม เพราะไมเ่พยีงแต่ต้องการอาหารท่ีมโีปรตีนสงู ยงัต้องการพลังงานสงูขึ้นอีกด้วย
ตารางท่ี 5 ค่าพลังงาน และค่าการยอ่ยได้ ของวตัถแุหง้ ในต้นและเศษเหลือขา้วโพดฝักอ่อนหมกัสตูรต่าง ๆ
ชนิดของพชืหมกั พลังงาน(กิโล
แคลอรี/่กรมั)
% การยอ่ยได้ของวตัถแุห้ง
ก่อนหมกั หลังหมกั
สตูรที่ 1สตูรที่ 2สตูรที่ 3สตูรที่ 4
4.10 ก
4.23 ข
4.43 ค
4.37 ขค
55.6758.6059.2862.74
63.0564.4765.3264.70
C.V. (%) 2.3 1.7
ค่าเฉลี่ยที่มอีัตรากำากับในแนวตัง้เดียวกัน มคีวามแตกต่างกันอยา่งมีนัยสำาคัญ (P<0.05) โดยวธิี
DMRT
การยอ่ยได้ของวตัถแุห้ง
สดัสว่นของพชืท่ีสตัวส์ามารถนำาไปใชป้รโิยชน์ได้หรอืที่เรยีกวา่การยอ่ยได้ โดยวธิกีารวเิคราะห ์in Vitro digestibillity ในหอ้งปฏิบตัิการ ผลที่ได้ดังตารางที่ 5 พบวา่ ต้นและเศษเหลือขา้วโพดฝักอ่อนหมกัทัง้ 4 สตูร มีค ่าการยอ่ยได ้ของวตัถแุหง้ (in vitro dry matter digestibility, IVDMD) เท่ากับ 63.05, 64.47, 65.32 และ 64.7 เปอรเ์ซน็ต์ ในสตูรที่ 1, 2, 3 และ 4 ตามลำาดับ โดยไมแ่ตกต่างกันทางสถิติ ขณะที่ตัวอยา่งสดก่อนนำามาใชห้มกัมคี่าเป็น 56.67, 58.60, 59.28 และ 62.74 เปอรเ์ซน็ต์ ตามลำาดับ จะเหน็ได้วา่ การยอ่ยได้ของวตัถแุหง้ของต้นและเศษเหลือขา้วโพดฝักอ่อนท่ีผ่านขบวนการหมกัแล้วมค่ีาสงูขึ้น ซึ่งเป็นผลดึต่อสตัวใ์นการนำาไปใช้ประโยชน์ แมว้า่การผสมใบกระถินในพชืหมกัจะไมท่ำาใหก้ารยอ่ยได้สงูขึ้นอยา่งเด่นชดั อาจเป็นเพราะวา่ใบกระถินมปีรมิาณลิกนินสงู (ตารางที่ 4) ซึ่งสตัวไ์ม่สามารถยอ่ยได้แต่โดยทัว่ไป การยอ่ยได้ของวตัถแุหง้ในพชืตระกลูถัว่สงูกวา่พชืตระกลูหญ้า เนื่องจากวา่ลิกนินจะมอีิทธพิลการยอ่ยได้ของสว่น NDF ซึ่งเป็นสว่นของเยื่อใยเท่านัน้ แต่จะไมม่ผีลต่อการยอ่ยได้ของ NDS แต่อยา่งใด อยา่งไรก็ตามเปอรเ์ซน็ต์การยอ่ยได้ของวตัถแุหง้ของการทดลองนี้ มคี่าสงูพอสมควร ตามที่ Miller (1969) รายงานไวว้า่ การยอ่ยได้ของวตัถแุหง้ของพชืหมกัที่ทำาจากหญ้าในเขตรอ้น สว่นใหญ่มคี่าน้อยกวา่ 60 % และค่าที่ได้สงูกวา่พชืหมกัจาก ต้นขา้วโพดอายุ 62 วนั (62.7 %), หญ้ากินนีที่อายุ 8 สปัดาห ์(45.4 %), หญ้าขนอายุ 6 สปัดาห ์(48.1 %) ตามการทดลองของ Holm (1974)
ความน่ากิน (Palatability)หลังจากหมกัพชืไว ้30 วนั ได้นำาไปทดลองใหโ้คนมกิน โดยใช้
โคนม 4 ตัว ใหก้ินตอนเชา้หลังรดีนม ชัง่นำ้าหนักพชืหมกัใหตั้วละ 10 กิโลกรมั สลับสตูรพชืหมกัแต่ละตัวใน 4 วนั ใหโ้คกินเป็นเวลา 30 นาที หลังจากนัน้นำาพชืหมกัที่เหลือมาชัง่เพื่อหาปรมิาณที่สตัวก์ิน ผลปรากฏดังแสดงในตารางที่ 6
ตารางที่ 6 เปรยีบเทียบปรมิาณพชืหมกัที่โคนมกินในเวลา 30 นาที ของสตูรต่าง ๆ
ชนิดของพชืหมกั ปรมิาณพชืหมกัท่ีสตัวกิ์น (กิโลกรมั)
เฉลี่ย
ตัวท่ี 1 2 3 4สตูรที่ 1สตูรที่ 2สตูรที่ 3สตูรที่ 4
4.56.05.55.0
4.03.53.53.5
6.56.57.08.0
6.06.07.07.5
5.255.505.755.90
ภายใน 30 นาที ปรมิาณการกินพชืหมกัของโคนมในสตูรที่ 1, 2, 3 และ 4 เท่ากับ 5.25, 5.75 และ 5.9 กิโลกรมัต่อตัว ตามลำาดับแสดงวา่การผสมใบกระถินในสตูรที่ 2, 3 และ 4 ไมท่ำาใหป้รมิาณการกินลดลง เมื่อเปรยีบเทียบกับสตูรที่ 1 ที่มแีต่เพยีงต้นและเศษเหลือขา้วโพดฝักอ่อน แมว้า่ปรมิาณการกินใกล้เคียงกัน แต่พชืหมกั 3 สตูรที่เสรมิใบกระถินมปีรมิาณวตัถแุหง้สงูกวา่สตูรท่ี 1 (ตารางท่ี 1) ซึ่งสง่ผลใหส้ตัวไ์ด้รบัคณุค่าทางโภชนะโดยเฉพาะโปรตีนเพิม่ขึ้น
ฉะนัน้ การผสมใบกระถินกับต้นและเศษเหลือขา้วโพดฝักอ่อนหมกัไมท่ำาใหค้วามน่ากินของพชืหมกัลดลง ขณะเดียวกันยงัเป็นการชว่ยเพิม่คณุค่าทางโภชนะใหด้ียิง่ขึ้นด้วย
การใชถ้งุหมกัขนาดความจุประมาณ 20 –25 กิโลกรมั มคีวามสะดวกในการปฏิบตัิทัง้ในแง่ของการบรรจุ การจดัการ การเก็บรกัษา และการนำาไปใชใ้นการเลี้ยงสตัวน์อกจากนี้ โดยวธิกีารนี้เกษตรกรที่ไมไ่ด้เป็นผู้เล้ียงสตัวก์็สามารถผลิตพชืหมกัเพื่อจำาหน่ายใหแ้ก่เกษตรกรผู้เล้ียงสตัวไ์ด้
เอกสารอ้างอิง
กองอาหารสตัว ์กรมปศุสตัว์. 2529. ผลการวเิคราะหอ์าหารขน้. เอกสารทางวชิาการ ลำาดับที่ 13 – 0116 – 29.
47 หน้า (อัดสำาเนา).
ชวนิศดากร วรวรรณ. 2520 การเลี้ยงโคนม. โรงพมิพไ์ทยวฒันาพานิช กรุงเทพมหานคร.
ชาญชยั มณีดลุย์. 2521. การทำาหญ้าหมกั. เอกสารทางวชิาการ กองอาหารสตัว ์กรมปศุสตัว์. 13 หน้า
(อัดสำาเนา).
ชาญชยั มณีดลุย์, ปรชัญา ปรชัญญลักษณ์ เถลิงศักดิ์ โนนทนวงศ์. 2532. การใชเ้ศษขา้วโพดฝักอ่อนเล้ียงโค
นมในเขตหนองโพ. เอกสารวชิาการ รหสั 1301 – 26 – 32 กองอาหารสตัว ์กรมปศุสตัว ์กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. หน้า 110 – 123.
เมธา วรรณพฒัน์. 2529. โภชนะศาสตรส์ตัวเ์คี้ยวเอื้อง. ภาควชิาสตัวศาสตร ์คณะเกษตรศาสตร ์มหาวทิยาลัย
ขอนแก่น. 387 หน้า.
วรพงษ์ สรุยิจนัทราทอง. 2529. ความหมายและความสำาคัญของเยื่อใยในอาหารสตัว ์เอกสารประกอบคำาสอน
วชิาโภชนะศาสตร เ์ค ี้ยวเอ ื้อง ภาควชิาสตัวศาสตร ์คณะเกษตรศาสตร ์มหาวทิยาลัยขอนแก่น. 17 หน้า (อัดสำาเนา).
กรมสง่เสรมิการเกษตร. 2534. รายงานสถิติการปลกูพชืผักเพื่อการสง่ออก ปี 2532 – 33. 260 หน้า.
Breirem, K. O. Ulvesli. 1960. Ensiling methids. Herb. Abstr. 30(1) : 1 – 8 .
Church, D.C. 1986. Livestock feeds and feeding 2 nd, Prentice Hall, A. Division of Simon &
Schuster, Inc., Englewood Cliff, N.J.
Cullison, A. 1975. Feed and feeding. Reston Publ. Co., Verginia
Dibb, C.; J.I. Payne; J.R. Griffiths; W.R. Raymon and R.R. Sayce. 1970 Silage. Ministry of
Agriculture, Fisheries and Food Bulletin. 37 pp.
Graham, R.F.A. and G.J. Busby. 1986. Bag Silage in the South Burnett. Queesland Agric. J. 112 :
65 – 70.
Hellburg, A. 1964. Improved silage. Medd. 300 Jordbr. Tek. Inst. Uppsala. 73 pp. In : Herb. Abstr.
34(1) : 28 (Abstract, No. 160).
Hieu, L.T. 1969. The chemical composition and palatability of ensiled forages as related to moisture
content and time of ensiling. Herb. Diss. Abstr. Int. 30 No. 5. 1966 B. In : Herb. Abstr. 41 : 153 (Abstract, No. 1022).
Holm, J. 1974. Nutritive value and acid contents of silages made feom tropical forages at
Chiangmai, Thailand. Thai J. Agr. Sci. 7 : 11 – 21.
Manidool, C. 1985. Sylvo – pastoral systeme in Thailand. International Symposium on Pastures in
the Tropics and Suvtropies. Tsukuba. P. 187 – 194.
MoCullough, M.E. 1975. New trends in ensiling forages. World Anim. Rev. 13 : 44 – 49.
McDomald, P. 1981. The Biochemistry of Silages. John Wiley and Sons, Chichester.
Milford, R. and D.J. Minson. 1966. The feeding values of tropical pasture. In : Davies. W. and C.L.
Skidmore (Fds.) Tropical Pastures., Faber and faber, London. P. 106 – 114.
Miller, Y.B. 1968. Forage conservation in the tropics. J. Br. Grassld. Soc. 24 : 158 – 162.
Narang,M.P. and T.L. Balwani. 1974. A note on the pH of silage. Indian J. Anim. Sci. 44(7) : 498.
Suriyajantratong. W. and Vipa Tungnipone. 1980. chemical composition of some waste for use as
animal feed. Animal Report of National Buffalo Research and Development Project. p. 190 – 199.
Wilkinson, J.M. 1985. Beef production from silage and other conserved forages. Longman Inc.,
New York.
Woolford, M.R. 1972. some aspects of the microbiology and blochemistry of silage making. Herb.
Abstr. 42(2) : 105 – 111.
Zimmer, E. 1983. Advances in fodder conservatiion. In : Shemitt, L.W. chemistry and word food
supplies : The new frontiers. Pergamon Press, Oxford. P. 237 – 347.