ความหมายตามรากศัพท ของ ......1 Ãкº¹ÔàÇÈ :...

8
1 Ãкº¹ÔàÇÈ : ¤ÃÙ¨ÃÑʾ§É ´Ñ´á»Å§¨Ò¡àÍ¡ÊÒáÒÃÊ͹âçàÃÕ¹ÁËÔ´ÅÇÔ·ÂÒ¹ØÊó ระบบนิเวศ ความหมายตามรากศัพทของนิเวศวิทยา : Ecology มาจาก “oikology” ซึ่งเกิดจากการรวมคําวา Oikos และ Logos โดย Oikos = Home (บาน) หรือ Habitat (แหลงที่อยู) สวน Logos = Study (การศึกษา) ความหมายตามรากศัพทนิเวศวิทยาจึงหมายถึง การศึกษาถึงความสัมพันธของสิ่งมีชีวิตที่มีตอบาน หรือแหลงที่อยูซึ่งก็คือสิ่งแวดลอมนั่นเอง ประเภทของระบบนิเวศ อาจแบงเปน 3 ประเภทโดยดูจากลักษณะการถายเทมวลสารและพลังงานคือ 1. ระบบนิเวศอิสระ (Isolated ecosystem) เปนระบบนิเวศตามทฤษฎีเทานั้น ไมมีการถายเทพลังงาน และมวลสารภายในระบบกับสิ่งแวดลอมภายนอก 2. ระบบนิเวศแบบปด (Closed ecosystem) มีการถายเทพลังงานจากสิ่งแวดลอม แตไมมีการถายเท สารระหวางระบบนิเวศกับสิ่งแวดลอม 3. ระบบนิเวศแบบเปด (Open ecosystem) มีการถายเทพลังงานและมวลสารระหวางระบบนิเวศกับ สิ่งแวดลอม ซึ่งเปนลักษณะของระบบนิเวศที่พบไดทั่วไป การศึกษานิเวศวิทยา การศึกษาวิชานี้ทําไดในหลายระดับแตโดยทั่วไปมุงศึกษาในระดับที่เปนอินทรีย (Organism) เชน เอก นิเวศวิทยา (Autecology) เปนการศึกษานิเวศวิทยาระดับตัวตน (species/individual) หรือ ระดับประชากร (population) กับสภาพแวดลอมที่มีผลตอการดํารงชีวิตของมัน เนนเรื่องของการปรับตัว พฤติกรรม และวัฏ จักรชีวิต สังคมนิเวศวิทยา (Synecology) เปนการศึกษานิเวศวิทยาระดับกลุมสิ่งมีชีวิต (community) ใน สภาพแวดลอมตามธรรมชาติ โดยเนนถึงความสัมพันธซึ่งกันและกัน ทําใหทราบปฏิสัมพันธของสิ่งมีชีวิต ทั้งหลายที่มีตอกัน การศึกษานิเวศวิทยาอาจศึกษาโดยพิจารณาจากแหลงที่อยูเปน 1. นิเวศวิทยาน้ําจืด (Fresh water ecology หรือ Limnology) 2. นิเวศวิทยาน้ําเค็ม (Marine ecology) 3. นิเวศวิทยาบนบก (Terrestrial ecology) 4. นิเวศวิทยาน้ํากรอย (Estuary ecology) หรืออาจแบงตามลักษณะทางอนุกรมวิธาน ซึ่งอาจแบงตามแขนงใหญ ๆ เปนนิเวศวิทยาพืช และนิเวศวิทยา สัตว หรือแบงตามเชิงลึกก็ไดเชน 1. นิเวศวิทยาของพืช (plant ecology) 2. นิเวศวิทยาของสัตว (animal ecology) 3. นิเวศวิทยาของแมลง (insect ecology) 4. นิเวศวิทยาของจุลินทรีย (microbial ecology) 5. นิเวศวิทยาของสัตวมีกระดูกสันหลัง (vertebrate ecology)

Upload: others

Post on 06-Mar-2020

15 views

Category:

Documents


0 download

TRANSCRIPT

Page 1: ความหมายตามรากศัพท ของ ......1 Ãкº¹ÔàÇÈ : ¤ÃÙ¨ÃÑʾ É ´Ñ´á»Å ¨Ò¡àÍ¡ÊÒáÒÃÊ͹âà àÃÕ¹ÁËÔ´ÅÇÔ·ÂÒ¹ØÊó

1 Ãкº¹ÔàÇÈ : ¤ÃÙ¨ÃÑʾ§É� ´Ñ´á»Å§¨Ò¡àÍ¡ÊÒáÒÃÊ͹âçàÃÕ¹ÁËÔ´ÅÇÔ·ÂÒ¹ØÊó�

ระบบนิเวศ

ความหมายตามรากศัพทของนิเวศวิทยา : Ecology มาจาก “oikology” ซึ่งเกิดจากการรวมคําวา

Oikos และ Logos โดย Oikos = Home (บาน) หรือ Habitat (แหลงที่อยู) สวน Logos = Study

(การศึกษา) ความหมายตามรากศัพทนิเวศวิทยาจึงหมายถึง การศึกษาถึงความสัมพันธของสิ่งมีชีวิตที่มีตอบาน

หรือแหลงที่อยูซึ่งก็คือสิ่งแวดลอมน่ันเอง

ประเภทของระบบนิเวศ

อาจแบงเปน 3 ประเภทโดยดูจากลักษณะการถายเทมวลสารและพลังงานคือ

1. ระบบนิเวศอิสระ (Isolated ecosystem) เปนระบบนิเวศตามทฤษฎีเทาน้ัน ไมมีการถายเทพลังงาน

และมวลสารภายในระบบกับสิ่งแวดลอมภายนอก

2. ระบบนิเวศแบบปด (Closed ecosystem) มีการถายเทพลังงานจากสิ่งแวดลอม แตไมมีการถายเท

สารระหวางระบบนิเวศกับสิ่งแวดลอม

3. ระบบนิเวศแบบเปด (Open ecosystem) มีการถายเทพลังงานและมวลสารระหวางระบบนิเวศกับ

สิ่งแวดลอม ซึ่งเปนลักษณะของระบบนิเวศที่พบไดทั่วไป

การศึกษานิเวศวิทยา

การศึกษาวิชาน้ีทําไดในหลายระดับแตโดยทั่วไปมุงศึกษาในระดับที่เปนอินทรีย (Organism) เชน เอก

นิเวศวิทยา (Autecology) เปนการศึกษานิเวศวิทยาระดับตัวตน (species/individual) หรือ ระดับประชากร

(population) กับสภาพแวดลอมที่มีผลตอการดํารงชีวิตของมัน เนนเรื่องของการปรับตัว พฤติกรรม และวัฏ

จักรชีวิต สังคมนิเวศวิทยา (Synecology) เปนการศึกษานิเวศวิทยาระดับกลุมสิ่งมีชีวิต (community) ใน

สภาพแวดลอมตามธรรมชาติ โดยเนนถึงความสัมพันธซึ่งกันและกัน ทําใหทราบปฏิสัมพันธของสิ่งมีชีวิต

ทั้งหลายที่มีตอกัน

การศึกษานิเวศวิทยาอาจศึกษาโดยพิจารณาจากแหลงที่อยูเปน

1. นิเวศวิทยานํ้าจืด (Fresh water ecology หรือ Limnology)

2. นิเวศวิทยานํ้าเค็ม (Marine ecology)

3. นิเวศวิทยาบนบก (Terrestrial ecology)

4. นิเวศวิทยานํ้ากรอย (Estuary ecology)

หรืออาจแบงตามลักษณะทางอนุกรมวิธาน ซึ่งอาจแบงตามแขนงใหญ ๆ เปนนิเวศวิทยาพืช และนิเวศวิทยา

สัตว หรือแบงตามเชิงลึกก็ไดเชน

1. นิเวศวิทยาของพืช (plant ecology)

2. นิเวศวิทยาของสัตว (animal ecology)

3. นิเวศวิทยาของแมลง (insect ecology)

4. นิเวศวิทยาของจุลินทรีย (microbial ecology)

5. นิเวศวิทยาของสัตวมีกระดูกสันหลัง (vertebrate ecology)

Page 2: ความหมายตามรากศัพท ของ ......1 Ãкº¹ÔàÇÈ : ¤ÃÙ¨ÃÑʾ É ´Ñ´á»Å ¨Ò¡àÍ¡ÊÒáÒÃÊ͹âà àÃÕ¹ÁËÔ´ÅÇÔ·ÂÒ¹ØÊó

2 Ãкº¹ÔàÇÈ : ¤ÃÙ¨ÃÑʾ§É� ´Ñ´á»Å§¨Ò¡àÍ¡ÊÒáÒÃÊ͹âçàÃÕ¹ÁËÔ´ÅÇÔ·ÂÒ¹ØÊó�

โครงสรางของระบบนิเวศ

ระบบนิเวศหน่ึง ๆ ประกอบข้ึนมาจากสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม สิ่งมีชีวิตที่อยูในระบบนิเวศหน่ึง ๆ มี

มากมายหลายชนิด และแตละชนิดก็มีจํานวนหลาย ๆ ตัว ซึ่งตางก็มีความสัมพันธกันในลักษณะที่แตกตางกัน

ไป ซึ่งอาจกลาวคราว ๆ ไดวา สิ่งมีชีวิตชนิดหน่ึง (Species) จะไมอยูอยางโดดเด่ียว การอยูรวมกันเปนกลุม

ของสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน บนพ้ืนท่ีหนึ่ง ในชวงระยะเวลาหนึ่งนั้น จะเรียกวาเปนประชากร (population)

และถาประชากรของสิ่งมีชีวิตหลาย ๆ ชนิดมาอาศัยอยูรวมกันในมาตรของเวลา และสถานท่ีเดียวกัน จะ

เรียกวาเปน กลุมสิ่งมีชีวิต หรือสังคมของสิ่งมีชีวิต (Community หรือ Biotic Community) กลุมสิ่งมีชีวิต

เหลาน้ีมีความตองการปจจัยตาง ๆ ในการดํารงชีวิตที่แตกตางกันรวมถึงความตองการพื้นที่สําหรับอยูอาศัย

(Habitat) และอาหาร ซึ่งทําใหแตละชนิดมีบทบาท ความสําคัญในระบบนิเวศ (Ecological Niche หรือ

Niche) แตกตางกันไป ประชากรที่มีจํานวนสมาชิกมากและมีความสําคัญมาในนิเวศน้ันถูกจัดเปนสิ่งมีชีวิตเดน

(Dominant species) ประชากรที่มีจํานวนนอยหรือมีบทบาทความสําคัญนอยกวาจะถูกเรียกวา สิ่งมีชีวิตรอง

(Associated species)

จะเห็นไดวาในระบบนิเวศหน่ึง ๆ น้ันประกอบข้ึนจากโครงสรางเพียง 2 สวนหลัก ๆ เทาน้ันน่ันคือ

1. โครงสรางที่เปนองคประกอบที่ไมมีชีวิต (Abiotic Factor หรือ Abiotic Component)

2. โครงสรางที่เปนองคประกอบที่มีชีวิต (Biotic Factor หรือ Biotic Component)

ซึ่งองคประกอบทั้งสองสวนตางมีกิจกรรมที่สัมพันธซึ่งกันและกัน หรือที่ เรียกวาอันตรกิริยา

(interactive) ความสัมพันธน้ีจะตองอยูในสภาวะแหงการเปลี่ยนแปลงอยางสมดุล (Dynamic equilibrium)

โดยธรรมชาติเสมอ เพื่อความอยูรอดของระบบนิเวศไมใหแตกสลาย

1. สิ่งแวดลอมท่ีไมมีชีวิต (Physical environment/Abiotic factor) ซึ่งประกอบดวย

สารประกอบอินทรีย และอนินทรีย (abiotic substant) และสภาพแวดลอมทางกายภาพ (Abiotic

environment) ไมวาจะเปน

- สภาพภูมิอากาศ (Climate) : อุณหภูมิ, นํ้า, ความช้ืน, แสง, ลม

- ลักษณะทางธรณีวิทยา : ดิน, หิน, แรธาตุ

- การเปลี่ยนแปลงจากสิ่งรบกวน (Disturbance) :

* การรบกวนตามธรรมชาติ เชน ภูเขาไฟระเบิด, ไฟ, แผนดินไหว, พายุ

* การรบกวนที่มีสาเหตุจากมนุษย

สิ่งแวดลอมทางกายภาพไมวาจะเปน แสงสวาง อุณหภูมิ แรธาตุ ความช้ืน pH ความเค็ม กระแสลม

กระแสนํ้า ฯลฯ มีผลตอสิ่งมีชีวิตในหลาย ๆ ดานเชน

จํานวนชนิดของสิ่งมีชีวิตในบริเวณใดบริเวณหน่ึง การแพรกระจายของสิ่งมีชีวิต

จํานวนประชากรสิ่งมีชีวิต รูปรางลักษณะของสิ่งมีชีวิต พฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต

Page 3: ความหมายตามรากศัพท ของ ......1 Ãкº¹ÔàÇÈ : ¤ÃÙ¨ÃÑʾ É ´Ñ´á»Å ¨Ò¡àÍ¡ÊÒáÒÃÊ͹âà àÃÕ¹ÁËÔ´ÅÇÔ·ÂÒ¹ØÊó

3 Ãкº¹ÔàÇÈ : ¤ÃÙ¨ÃÑʾ§É� ´Ñ´á»Å§¨Ò¡àÍ¡ÊÒáÒÃÊ͹âçàÃÕ¹ÁËÔ´ÅÇÔ·ÂÒ¹ØÊó�

2. สิ่งแวดลอมท่ีมีชีวิต (Biological environment/Biotic factor) สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่อยูลอมรอบ

และมีปฏิสัมพันธกับสิ่งมีชีวิตน้ันๆ โดยอาจแบงตามบทบาทของการกินอาหาร (Trophic level) หรือลําดับ

การสงถอดพลังงานและสารอาหารไดเปน

2.1 ผูผลิต (Producer หรือ Autotroph) เปน Autotrophic Organism สามารถสรางอาหารได

เองโดยอาศัยคลอโรฟลลเปนรงควัตถุที่ใชจับพลังงานจากแสงอาทิตย

2.2 ผูบริโภค (Consumer หรือ Phagotroph) เปน Heterotrophic Organism ไมสามารถ

สรางอาหารไดดวยตนเอง จะใชสารอาหารจากผูผลิตอีกทีห่น่ึง ผูบริโภคแบงออกเปนหลายชนิดตามอาหารที่

มันกินเชน

ผูบริโภคพืช (Herbivore)

ผูบริโภคสัตว (Carnivore)

ผูบริโภคทั้งพืชและสัตว (Omnivore)

ผูบริโภคซาก (Detritivore – บริโภคซากอินทรียที่ทับถมในดิน หรือ Scavenger – บริโภคซาก

ตาย)

หรืออาจแบงตามลําดับการบริโภคเปน

ผูบริโภคปฐมภูมิ (Primary consumer) ซึ่งโดยทั่วไปจะเปนผูบริโภคพืช ซึ่งมีลักษณะสําคัญคือ

สามารถยอยเซลลูโลส และเปลี่ยนเน้ือเย่ือพืชใหกลายเปนเน้ือเย่ือสัตวได

ผูบริโภคทุติยภูมิ (Secondary consumer) โดยทั่วไปเปนสัตวที่กินเน้ือของสัตวที่กินพืชเปน

อาหาร โดยทั่วไปมีขนาดใหญและแข็งแรง

ผูบริโภคลําดับตติยภูมิ (Tertiary consumer) จตุรภูมิ (Quatiary consumer) และตอ ๆ ไป

ผูบริโภคลําดับสูงสุด (Top Carnivore) เปนผูบริโภคที่มักจะไมถูกกินโดยสัตวอื่นตอไป

2.3 ผูยอยสลายอินทรียสาร (Decomposer หรือ Saphotroph) ทําหนาที่สลายซากและเศษอินทรีย

ตาง ๆ ใหมีขนาดเล็กลงโดยการยอยภายนอกเซลล

พีระมิดนิเวศ

การแสดงความสัมพันธระหวางระดับอาหารตาง ๆ ในระบบนิเวศสามารถเขียนไดในลักษณะฐานกวาง

ยอดแคบจึงเรียกวา พีระมิดนิเวศ ซึ่งโดยทั่วไปแลวจะแบงเปน 3 แบบคือ

1. พีระมิดจํานวน (Pyramid of Number) เปนพีระมิดที่เปรียบเทียบสัดสวนจํานวนหรือปริมาณ

สิ่งมีชีวิตในหวงโซอาหารหน่ึง ๆ โดยคิดจากจํานวนของสิ่งมีชีวิตตอพ้ืนท่ี โดยทั่วไปพบวาฐานซึ่งเปนสิ่งมีชีวิต

ในกลุมผูผลิตจะมีขนาดกวางมากเน่ืองจากมักจะมีปริมาณมากที่สุด อยางไรก็ตามพบวาในบางหวงโซอาหารที่

ผูบริโภคลําดับที่ 1 มีขนาดเล็กมาก ๆ และไมไดบริโภคผูผลิตครั้งละมาก ๆ ฐานของพีระมิดนิเวศในหวงโซ

อาหารแบบน้ีจะแคบกวาจํานวนผูผลิตเชน กรณีของตนลําไยและแมลง เน่ืองจากผูผลิตคือ ตนลําไย 1 ตนมีด

อกมากมาย และแตละดอกสามารถเปนแหลงอาหารใหกับแมลงไดมากกวา 1 ตัวดังน้ันเมื่อเขียนพีรามิดของ

จํานวนจะไดพีระมิดฐานแคบ

Page 4: ความหมายตามรากศัพท ของ ......1 Ãкº¹ÔàÇÈ : ¤ÃÙ¨ÃÑʾ É ´Ñ´á»Å ¨Ò¡àÍ¡ÊÒáÒÃÊ͹âà àÃÕ¹ÁËÔ´ÅÇÔ·ÂÒ¹ØÊó

4 Ãкº¹ÔàÇÈ : ¤ÃÙ¨ÃÑʾ§É� ´Ñ´á»Å§¨Ò¡àÍ¡ÊÒáÒÃÊ͹âçàÃÕ¹ÁËÔ´ÅÇÔ·ÂÒ¹ØÊó�

ภาพ พีระมิดจํานวน

2. พีระมิดนํ้าหนัก (Pyramid of Biomass) เปนพีระมิดที่เปรียบเทียบสัดสวนโดยใชวิธีหาปริมาณ

น้ําหนักแหง (มวลชีวภาพ) ของสิ่งมีชีวิตในแตละระดับ มีหนวยเปนน้ําหนักแหงตอพ้ืนท่ีหรือปริมาตร

โดยทั่วไปจะไดเปนพีรามิดฐานกวางยอดเรียว แตระบบนิเวศบางแหงพีระมิดนํ้าหนักอาจมีฐานแคบยอดกวางก็

ได ถาสิ่งมีชีวิตที่ถูกบริโภคมีขนาดเล็กมาก มีอายุสั้น และมีจํานวนเยอะมากเชน พีระมิดนํ้าหนักของแพลงค

ตอน ปลาเล็ก ปลาใหญ

ภาพ พีระมิดนํ้าหนัก

3. พีระมิดพลังงาน (Pyramid of Energy) เปนพีระมิดที่เปรียบเทียบสัดสวนโดยใชพลังงานท่ีเก็บ

สะสมไวในสิ่งมีชีวิตแตละระดับ ซึ่งสิ่งมีชีวิตสวนใหญจะใชพลังงานไมถึง 20% ของพลังงานที่มันไดรับย่ิง

ระดับการบริโภคยิ่งมาก พลังงานท่ีถูกถายทอดจะยิ่งนอยลง การเขียนพีระมิดชนิดน้ีจะมีหนวยเปนแคลอรี

ตอพื้นที่ โดยทั่วไปพีระมิดพลังงานจะมีฐานใหญ ปลายเรียว

Page 5: ความหมายตามรากศัพท ของ ......1 Ãкº¹ÔàÇÈ : ¤ÃÙ¨ÃÑʾ É ´Ñ´á»Å ¨Ò¡àÍ¡ÊÒáÒÃÊ͹âà àÃÕ¹ÁËÔ´ÅÇÔ·ÂÒ¹ØÊó

5 Ãкº¹ÔàÇÈ : ¤ÃÙ¨ÃÑʾ§É� ´Ñ´á»Å§¨Ò¡àÍ¡ÊÒáÒÃÊ͹âçàÃÕ¹ÁËÔ´ÅÇÔ·ÂÒ¹ØÊó�

ภาพ พีระมิดพลังงาน

การถายทอดพลังงานและมวลสาร

การถายทอดพลังงานมีการสูญเสียออกไปในทุก Trophic Level ดังน้ันการถายทอดพลังงาน

ตามลําดับการกินใน food chain จะคอนขางจํากัดประมาณ 4-5 ข้ัน (trophic level ที่ 5 จะไดรับพลังงาน

จากแสงอาทิตยที่พืชนําไปใชไดประมาณ 0.01%) ดังน้ัน Food chain ย่ิงสั้นจะมีพลังงานสะสมในรูปมวล

ชีวภาพมาก

ภาพ การถายทอดพลังงานในหวงโซอาหารท่ียาวตางกัน

ในการถายทอดพลังงาน “ลินแมนด” พบวา พลังงานที่สงผานไปในแตละ trophic level จะสงผาน

แคประมาณ 10-20% ในแตละลําดับข้ัน จะมีการสูญเสียพลังงานไปประมาณ 80-90% ในรูปของ

Metabolism เชน การหายใจ การสรางเน้ือเย่ือ พลังงานความรอน มีบางสวนที่ไมสามารถถายทอดพลังงานสู

อีกข้ันได เชน พืช มีบางสวนที่กินไมไดเชน เปลือก เมล็ด พอพลังงานถายทอดไปที่สัตวก็มีบางสวนในรางกาย

สัตวที่กินไมได จึงสรุปออกมาเปน กฎ 10% หรือ ten percent law

100% 10% 1% 0.1% ----->

Page 6: ความหมายตามรากศัพท ของ ......1 Ãкº¹ÔàÇÈ : ¤ÃÙ¨ÃÑʾ É ´Ñ´á»Å ¨Ò¡àÍ¡ÊÒáÒÃÊ͹âà àÃÕ¹ÁËÔ´ÅÇÔ·ÂÒ¹ØÊó

6 Ãкº¹ÔàÇÈ : ¤ÃÙ¨ÃÑʾ§É� ´Ñ´á»Å§¨Ò¡àÍ¡ÊÒáÒÃÊ͹âçàÃÕ¹ÁËÔ´ÅÇÔ·ÂÒ¹ØÊó�

ความสัมพันธของสิ่งมีชีวิต

สิ่งมีชีวิตมีการกระจายตัวที่แตกตางกันไปในแตละพื้นที่ แตละสภาพแวดลอมทั้งน้ีเพราะมันมีความ

ตองการตาง ๆ มี niche ที่แตกตางกนั สิ่งมีชีวิตที่เปนผูบริโภคจะมีการกระจายตัวสัมพันธกับสิ่งมีชีวิตที่เปน

อาหารของมัน สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันจะมีการกระจายตัวออกจากกันตามทรัพยากรที่มันตองการ อาจแบง

ระดับความสัมพันธของสิ่งมีชีวิตไดเปน

1. ความสัมพันธของสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน (Intraspecific relationship)

2. ความสัมพันธของสิ่งมีชีวิตตางชนิดกัน (Interspecific relationship)

ความสัมพันธของสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน (Intraspecific relationship)

การรวมกลุมของสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันทําใหเกิด การแขงขัน (Competition) การติดตอสื่อสาร

(Communication) และความสัมพันธเชิงสังคม (Social interaction) ซึ่งแตกตางกันไปในแตละชนิด เกิด

ลักษณะการกระจายตัวที่แตกตางกันในแตละกลุมประชากรของสิ่งมีชีวิตซึ่งอาจแบงไดเปน

1. การรวมกลุม (Clumped) เชน ฝูงปลา

- พบมากที่สุด

- สิ่งแวดลอมไมสม่ําเสมอ สิ่งมีชีวิตจะไปรวมกันอยูบริเวณที่มีทรัพยากรที่ตองการ หรือบริเวณที่ปลอดภัย

2. สม่ําเสมอ (Uniform) เชน การจองพื้นที่ทํารังของนก

- พบไมบอย

- การแกงแยงรุนแรงเน่ืองจากมีทรัพยากรจํากัด หรือมี niche ที่เหมือน ๆ กันไมอาจเลี่ยงหรือแบงปนได

3. อิสระ (Random) เชน การกระจายตัวของตนไทรในปาที่อุดมสมบูรณมาก ๆ

- คอนขางหายาก

- สิ่งแวดลอมสม่ําเสมอ

- การตอสูไมรุนแรง

ภาพ รูปแบบการกระจายตัวของสิ่งมีชีวิต

Page 7: ความหมายตามรากศัพท ของ ......1 Ãкº¹ÔàÇÈ : ¤ÃÙ¨ÃÑʾ É ´Ñ´á»Å ¨Ò¡àÍ¡ÊÒáÒÃÊ͹âà àÃÕ¹ÁËÔ´ÅÇÔ·ÂÒ¹ØÊó

7 Ãкº¹ÔàÇÈ : ¤ÃÙ¨ÃÑʾ§É� ´Ñ´á»Å§¨Ò¡àÍ¡ÊÒáÒÃÊ͹âçàÃÕ¹ÁËÔ´ÅÇÔ·ÂÒ¹ØÊó�

ความสัมพันธของสิ่งมีชีวิตตางชนิดกัน (Interspecific relationship)

สิ่งมีชีวิตตางชนิดกันมีความสัมพันธกันในแงการถายทอดพลังงานและมวลสาร ความสัมพันธเหลาน้ี

อาจเปนความสัมพันธช่ัวคราว หรือความสัมพันธแบบอยูรวมกันตลอดเวลา

ภาวะ/สัญลักษณ ความหมาย ตัวอยาง

Neutralism (0,0)/(0,0)

ภาวะเปนกลาง

สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยูรวมกันน้ัน ไมมี

ใครไดรับหรือเสียประโยชนจากกัน

และกันโดยตรง และเมื่อแยกทาง

จากกันก็ไมมี ใครไดรับหรือเสีย

ประโยชนเชนกัน

สิงโตกับไมพุมเต้ีย

นกกินปลีกับกวางดาว

Protocooperation (+,+)/(0,0)

ภาวการณไดประโยชนรวมกัน

สิ่งมีชี วิต 2 ชนิดที่ เมื่ออาศัยอยู

รวมกันตางก็ไดรับประโยชนจาก

กันและกัน แตไมจําเปนตองอยู

รวมกันเสมอไปแมแยกกันอยูก็

สามารถดํารงชีวิตอยูตอไปไดเชน

ปูเสฉวนกับดอกไมทะเล

ผีเสื้อและดอกไม

มดดํากับเพลี้ย

Mutualism (+,+)/(-,-)

ภาวะพึ่งพา

สิ่ งมี ชี วิต 2 ช นิดเมื่ ออาศัยอ ยู

ร ว ม กั น ต า ง ฝ า ยต า ง ก็ ไ ด รั บ

ประโยชนจากกันและกันแตหาก

แยกจากกันจะไมสามารถดํารงชีวิต

ตอไปได

ไลเคนส (Lichens) ซึ่งเปนการ

อยูรวมกันระหวางรากับสาหราย

สีเขียว

แบคทีเรียไรโซเบียมในปมราก

ถ่ัว

โปรโตซัวไตรโคนิมฟาในทางเดิน

อาหารปลวก

Commensalisms (+,0)/(-,0)

ภาวะอิงอาศัย

เ มื่ อ อ ยู ร ว ม กั น ฝ า ย ห น่ึ ง ไ ด

ประโยชนอีกฝายหน่ึงไมไดและไม

เสียประโยชน เมื่อแยกจากกันตัวที่

ไ ม ไ ด -ไ ม เ สี ย ป ร ะ โ ย ช น จ ะ

เหมือนเดิมแตฝายที่ เ คยได รับ

ประโยชนจะไมไดอะไรแทนหรือ

อาจจะเสียประโยชนเมื่อไมไดอยู

รวมกันกับผูอื่นเชน

กลวยไมบนตนไม

เหาฉลามกับปลาฉลาม

Predation (+,-)/(-,+)

ภาวะลาเหย่ือ

เมื่ออาศัยอยูรวมกัน โดยฝายหน่ึงที่

เ ป น ผู ล า ( predator) จ ะ ไ ด

ประโยชน สวนเหย่ือ (prey) จะ

- แมลงกับนก นก (ผูลา) จิก

แมลง (เหย่ือ) กินเปนอาหาร นก

จึงไดประโยชน สวนแมลงเสีย

Page 8: ความหมายตามรากศัพท ของ ......1 Ãкº¹ÔàÇÈ : ¤ÃÙ¨ÃÑʾ É ´Ñ´á»Å ¨Ò¡àÍ¡ÊÒáÒÃÊ͹âà àÃÕ¹ÁËÔ´ÅÇÔ·ÂÒ¹ØÊó

8 Ãкº¹ÔàÇÈ : ¤ÃÙ¨ÃÑʾ§É� ´Ñ´á»Å§¨Ò¡àÍ¡ÊÒáÒÃÊ͹âçàÃÕ¹ÁËÔ´ÅÇÔ·ÂÒ¹ØÊó�

เสียประโยชน โดยการสูญเสี ย

อวัยวะ ช้ินสวนหรือเสียชีวิต แต

เ มื่ อ แ ย ก จ า ก กั น ผู ล า จ ะ เ สี ย

ประโยชน สวนเหย่ืออาจไมไดไม

เสียอะไร หรืออาจไดประโยชนจาก

การแยกกันอยู

ประโยชน

- นกกับมนุษย มนุษยเปนผูลานก

เปนอาหาร มนุษยจึงไดประโยชน

สวนนกเปนเหย่ือจึงเสียประโยชน

Parasitism (+,-)/(-,0)

ภาวะปรสิต

เมื่ออาศัยอยูรวมกัน ฝายที่ไดรับ

ประโยชนเรียกวา ปรสิต (parasite)

สวนฝายที่เสียประโยชนเรียกวา ผู

ถูกอาศัย (host) เมื่อแยกทางจาก

กันปรสิตมักจะดํารงชีวิตไดไม ดี

หรือไมอาจดํารงชีวิตไดเลย สวนผู

ถูกอาศัยไมไดไมเสียอะไรจากการ

แยกกันอยู

- เห็บกับสุนัข เห็บเปนปรสิต

ภายนอก (ectoparasite)

- พยาธิกับมนุษย พยาธิ เปน

ปรสิตภายใน (endoparasite)

-ปรสิตสังคม (social parasite)

เชน การวางไขในรังนกอื่นของ

นกกาเหวา

Amensalism (-,0) / (0,0)

ภาวะยับย้ังการเจริญ

เมื่ออาศัยอยูรวมกัน จะมีฝายหน่ึง

เปนผู เสียประโยชน สวนอีกฝาย

หน่ึงไมไดไมเสียประโยชนอะไร เมื่อ

แยกจากกันตางฝายตางดํารงชีวิต

อยูไดตามปกติ

ราสรางสาร antibiotic ไป

ยับย้ังการเจริญของแบคทีเรีย

( บ า ง ค รั้ ง เ รี ย ก ภ า ว ะ

Antibioticism ห รื อ

Allelopathism)

ตนไมยืนตนขนาดใหญ บังแสง

ตนไมพุมเต้ียที่ข้ึนบริเวณโคน

ตน ทํ า ให ตน ไม เ ล็ก ๆ ไม

สามารถเติบโตได

Competition (-,-)

ภาวะแขงขัน

เมื่อสิ่ งมีชี วิต 2 ชนิดอาศัยอยู

รวมกัน แลวทั้งสองฝายตางเสีย

ประโยชนเน่ืองจากมี niche ที่

เหมือน ๆ กันเชน

- กระตายกับวัว ที่อาศัยอยูใน

ทุงหญาเดียวกัน

- กระร อกแล ะนกหั วขวาน

ตองการโพรงในการทํารัง