กรมอุทยานแห งชาติสัตว ป า และพันธุ...

31
ผลงานที่เปนผลการดําเนินงานที่ผานมา ผูมีอํานาจหนาที่ในการดําเนินการทางวินัยลูกจางประจํา มนตสันต เขมาปทุมศักดิสํานักบริหารงานกลาง กรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช .. 2550

Upload: others

Post on 04-Sep-2019

0 views

Category:

Documents


0 download

TRANSCRIPT

Page 1: กรมอุทยานแห งชาติสัตว ป า และพันธุ พืช พศ. 2550app.dnp.go.th/opac/multimedia/research/C00263/C00263-2.pdf ·

ผลงานที่เปนผลการดําเนินงานที่ผานมา

ผูมีอํานาจหนาที่ในการดําเนินการทางวินัยลูกจางประจํา

มนตสันต เขมาปทุมศักดิ์

สํานกับริหารงานกลาง กรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช

พ.ศ. 2550

Page 2: กรมอุทยานแห งชาติสัตว ป า และพันธุ พืช พศ. 2550app.dnp.go.th/opac/multimedia/research/C00263/C00263-2.pdf ·

ผลงานที่เปนผลการดําเนินงานที่ผานมา

ผูมีอํานาจหนาที่ในการดําเนินการทางวินัยลูกจางประจํา

มนตสันต เขมาปทุมศักดิ์

สํานกับริหารงานกลาง กรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช

พ.ศ. 2550

Page 3: กรมอุทยานแห งชาติสัตว ป า และพันธุ พืช พศ. 2550app.dnp.go.th/opac/multimedia/research/C00263/C00263-2.pdf ·

(1)

ผูมีอํานาจหนาที่ในการดําเนินการทางวินัยลูกจางประจํา มนตสันต เขมาปทุมศักดิ์ ………………………..

บทคัดยอ

นายไพโรจน เกื้อสุวรรณ ลูกจางประจํา ถูกศาลจังหวัดตรังพิพากษาจําคุก 10 ป กรณีกระทําผิดอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคหนึ่ง มาตรา 365 (3)ประกอบมาตรา 362 การกระทําของจําเลยเปนความผิดกรรมเดียวผิดตอกฎหมายหลายบท จึงลงโทษฐานกระทําชําเราเด็กหญิงอายุไมเกิน 15 ป และศาลอุทธรณภาค 9 ไดมี คําพิพากษาเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2545 ใหลงโทษฐานกระทําชําเราเด็กหญิงอายุยังไมเกิน 15 ป ใหจําคุก 7 ป นายไพโรจน เกื้อสุวรรณ ไดรับการประกันตัวในระหวางการพิจารณาในชั้นศาลฎีกา กรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช จึงใหรอฟงผลการพิจารณาคดีอาญาถึงที่สุด เพื่อนํามาประกอบการพิจารณาดําเนินการทางวินัยตอไป โดยยังไมสั่งพักราชการหรือสั่งใหออกจากราชการไวกอน ตอมา นายไพโรจน เกื้อสวุรรณ ไดถูกตัดโอนตําแหนงไปสังกัดกรมปาไม กรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช จึงไดสงเรื่องนายไพโรจน เกื้อสุวรรณ ตองหาคดีอาญาใหกรมปาไมพิจารณาตามอํานาจหนาที่ แตกรมปาไมไดสงเรื่องคืนโดยอางวาศาลฎีกาไดมีคําพิพากษา ใหนายไพโรจน เกื้อสุวรรณ จําคุก และไดรับโทษจําคุกตั้งแต นายไพโรจน เกื้อสุวรรณ สังกัดกรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช จึงเปนอํานาจหนาที่ของกรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช ในการพิจารณาดําเนินการทางวินัย กรมอุทยานแหงชาติ แหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช จึงไดหารือเรือ่งดังกลาวไปยังกรมบัญชีกลาง ซึ่งไดตอบขอหารือวา เปนอํานาจของกรมปาไมเปนผูพิจารณาดําเนินการทางวินัย และออกคําสั่ง ลงโทษกับลูกจางประจํารายนายไพโรจน เกื้อสุวรรณ กรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช จึงไดสงเรื่องใหกรมปาไมพิจารณาดําเนินการทางวินัยกับนายไพโรจน เกื้อสุวรรณ ตามอํานาจหนาที่ตอไป คําหลัก อํานาจหนาที่ในการดําเนินการทางวินัย

Page 4: กรมอุทยานแห งชาติสัตว ป า และพันธุ พืช พศ. 2550app.dnp.go.th/opac/multimedia/research/C00263/C00263-2.pdf ·

(2)

คํานํา การดําเนินการทางวินัยกับลูกจางประจําตองดําเนินการโดยผูมีอํานาจหนาที่ตามกฎหมาย ดังนั้น เมื่อสองหนวยงานมีความเห็นไมตรงกันเกี่ยวกับอํานาจหนาที่ในการดําเนินการทางวินัยกับลูกจางประจํา จึงตองมีการหารือไปยังหนวยงานที่รับผิดชอบโดยตรงเพื่อยุติปญหาดังกลาว และใชเปนแนวทางในการปฏิบัติ ผลงาน เรื่อง ผูมีอํานาจหนาที่ในการดําเนินการทางวินัยลูกจางประจําเลมนี้ จึงไดจัดทําขึ้นเพื่อเปนกรณีศึกษาสําหรับลูกจางประจําและผูบังคับบัญชาของลูกจางประจําตอไป มนตสันต เขมาปทุมศักดิ์ ผูขอรับการประเมิน

Page 5: กรมอุทยานแห งชาติสัตว ป า และพันธุ พืช พศ. 2550app.dnp.go.th/opac/multimedia/research/C00263/C00263-2.pdf ·

(3)

สารบัญ หนา บทคัดยอ (1) คํานํา (2) สารบัญ (3) บทที่ 1 บทนํา 1 - ความเปนมา 1 - ขอเท็จจริงโดยสรุป 1 - มูลเหตุท่ีตองทําการศึกษา 3 บทที่ 2 วัตถุประสงค 4 - วัตถุประสงค 4 - ประโยชนท่ีจะไดรับ 4 บทที่ 3 วิธีการศึกษา 5 - วิธีการศึกษา 5 - การศึกษา 6 - การวิเคราะหและเปรียบเทียบขอมูล 14 - การพิจารณาปญหา 17 - แนวทางแกไขปญหา 18 บทที่ 4 ผลการศึกษา 19 - ผลและวิจารณผลผูมีอํานาจหนาที่ 19 ในการดําเนนิการทางวินัยลูกจาง ประจํา บทที่ 5 สรุปผลและขอเสนอแนะ 20 - สรุปผล 20 - ขอเสนอแนะ 20 บรรณานุกรม 23 ภาคผนวก 24

Page 6: กรมอุทยานแห งชาติสัตว ป า และพันธุ พืช พศ. 2550app.dnp.go.th/opac/multimedia/research/C00263/C00263-2.pdf ·

(4)

สารบัญภาคผนวก หนา

1. ระเบียบกระทรวงการคลังวาดวยลูกจางประจําของสวนราชการ 25 พ.ศ. 2537 2. หนังสือกรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช ท่ี ทส 47 0901.3/13428 ลงวันที่ 21 สิงหาคม 2549 3. สําเนาหนงัสือสํานักบริหารจัดการในพื้นที่ปาอนุรักษ 20 49 ท่ี ทส 0933.1/2627 ลงวันที่ 12 เมษายน 2547 4. สําเนาหนงัสือกองการเจาหนาที่ ท่ี ทส 0902.3/266 52 ลงวันที่ 13 พฤษภาคม 2547 5. สําเนาหนงัสือกรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช 54 ท่ี ทส 0901/10457 ลงวันที่ 30 มิถุนายน 2548 6. สําเนาหนงัสือกรมปาไม ลับ ดวนที่สุด ท่ี ทส 1601.5/197 58 ลงวันที่ 15 กันยายน 2548 7. สําเนาหนงัสือกรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช 59 ลบั ท่ี ทส 0901.3/254 ลงวันที่ 8 พฤษภาคม 2549 8. สาํเนาหนงัสือกรมบัญชีกลาง ลับ ท่ี กค 0415/09831 61 ลงวันที่ 30 ตุลาคม 2549

Page 7: กรมอุทยานแห งชาติสัตว ป า และพันธุ พืช พศ. 2550app.dnp.go.th/opac/multimedia/research/C00263/C00263-2.pdf ·

1

บทที่ 1

บทนํา

ความเปนมา กรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช ไดรับรายงานวา นายไพโรจน เกื้อสุวรรณ ลูกจางประจํา ถูกศาลจังหวัดตรังพิพากษาจําคุก 10 ป กรณีกระทําผิดอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคหนึ่ง มาตรา 365 (3) ประกอบมาตรา 362 การกระทําของจําเลยเปนความผิดกรรมเดียว ผิดตอกฎหมายหลายบท จึงลงโทษฐานกระทําชําเราเด็กหญิงอายุยังไมเกิน 15 ป และศาลอุทธรณภาค 9 ไดมีคําพิพากษาเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2545 ใหลงโทษ ฐานกระทําชําเราเด็กหญิงอายุยังไมเกิน 15 ปใหจําคุก 7 ป นายไพโรจน เกื้อสุวรรณ ไดรับการประกันตัวในระหวางการพิจารณาในชั้นศาลฎีกา จึงยังไมสั่งพักราชการหรือสัง่ใหออกจากราชการไวกอน โดยควรรอฟงผลการพิจารณาของศาลฎีกา กรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช จึงใหรอฟงผลของศาลฎีกา โดยมิไดแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนในเรื่องนี้ ตอมา นายไพโรจน เกื้อสุวรรณ ไดถูกตัดโอนตําแหนงไปสังกัดกรมปาไม ตามหนังสือสํานักงาน ก.พ. ดวนมาก ท่ี นร 1008.3.2/1302 ลงวันที่ 23 กันยายน 2547 โดยท่ีกรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช ไมทราบวาศาลฎีกาไดมีคําพิพากษาในเรื่องนี้แลว จึงไดสงเรื่องเดิมใหกรมปาไมพิจารณาดําเนินการตอไป ขอเท็จจริงโดยสรุป จังหวัดตรังไดมีหนังสือ ดวนที่สุด ท่ี ตง 0011/1491 ลงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2543 และ ดวนที่สุด ท่ี ตง 0011/3850 ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ 2544 แจงวา นายไพโรจน เกื้อสุวรรณ ลูกจางประจํา ตําแหนงพนักงานพิทักษปา สํานักงานปาไมเขตสงขลา ชวยราชการสํานักงานปาไมจังหวัดตรัง ปฏิบัติงานประจําหนวยปองกันรักษาปา ท่ี ตง.1 (เขากอบ) ตองคําพิพากษาคดีอาญา ศาลจังหวัดตรังพิพากษาลงโทษจําคุก 10 ปในความผิดฐานบุกรุกและขมขืนกระทําชําเรา และจังหวัดตรังไดมีหนังสือ ท่ี ตง 0011/ 18107 ลงวันที่ 17 กันยายน 2545 แจงวาศาลอุทธรณภาค 9 ไดมีคําพิพากษาเมื่อวันที่

Page 8: กรมอุทยานแห งชาติสัตว ป า และพันธุ พืช พศ. 2550app.dnp.go.th/opac/multimedia/research/C00263/C00263-2.pdf ·

2 24 พฤษภาคม 2545 คงลงโทษจําคุกนายไพโรจน เกื้อสุวรรณ จําเลย 7 ป โดยสํานักบริหารจัดการในพื้นที่ปาอนุรักษ 20 ไดมีหนังสือ ท่ี ทส 0933.1/2627 ลงวันที่ 12 เมษายน 2547 รายงานวา กรณีนายไพโรจน เกื้อสุวรรณ พนักงานพิทักษปาซึ่งเปนลูกจางประจําถูกกลาวหาวากระทําผิดอาญา แตไดรับการประกันตัวและไดปฏิบัติราชการตามปกติ ยังไมปรากฏความเสียหายแกทางราชการยังไมสมควรพักราชการหรือสั่งใหออกจากราชการไวกอนแตอยางใด เห็นควรรอฟงผลการพิจารณาคดีชั้นศาลฎีกา กอนที่จะพิจารณาแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนดําเนินการทางวินัย กรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช จึงใหรอฟงผลการพิจารณาของศาลฎีกาเพื่อนํามาประกอบการพิจารณาดําเนินการทางวินัยกับนายไพโรจน เกื้อสุวรรณ ตอไป ตอมา นายไพโรจน เกื้อสุวรรณ ไดถูกตัดโอนตําแหนงไปกําหนดในกรมปาไมตามหนังสือสํานักงาน ก.พ. ดวนมาก ท่ี นร 1008.3.2/1302 ลงวันที่ 23 กันยายน 2547 กรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช จึงไดมีหนังสือ ท่ี ทส 0901/10457 ลงวันที่ 30 มิถุนายน 2548 สงเรื่องเดิมใหกรมปาไมพิจารณา โดยไมทราบวา ศาลฎีกาไดมีคําพิพากษาที่ 2612/2547 ลงวันที่ 18 พฤษภาคม 2547 ยืนตามศาลอุทธรณ ลงโทษจําคุกนายไพโรจน เกื้อสุวรรณ 7 ป และนายไพโรจน เกื้อสุวรรณ ถูกจําคุกตามคําพิพากษาต้ังแตวันที่ 15 กรกฎาคม 2547 จนถึงปจจุบัน เมื่อกรมปาไมไดรับรายงานกรณีนายไพโรจน เกือ้สุวรรณ ตองหาคดีอาญาจากกรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช จึงไดมีหนังสือ ลับ ดวนที่สุด ท่ี ทส 1601.5/197 ลงวันที่ 15 กันยายน 2548 แจงกรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช วา กรมปาไมไดรับรายงานจากสํานักจัดการและควบคุมปาไมวา ศาลฎีกาไดมีคําพิพากษาที่ 2612/2547 ลงวันที่ 18 พฤษภาคม 2547 ยืนตามศาลอุทธรณ และนายไพโรจน เกื้อสุวรรณ ไดเดินทางไปรับฟงคําพิพากษาและถูกจําคุกตามคําพิพากษาตั้งแตวันที่ 15 กรกฎาคม 2547 เปนตนมาจนถึงปจจุบัน การที่นายไพโรจน เกื้อสุวรรณ กระทําความผิดอาญาจนไดรับโทษถึงที่สุดใหจําคุกถือวา เปนการกระทําผิดวินัยอยางรายแรง เปนกรณีความผิดที่ปรากฏชัดแจงกอนที่จะถูกตัดโอนตําแหนงมากําหนดในกรมปาไม ดังนี้ จึงเปนอํานาจหนาที่ของกรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช ท่ีจะพิจารณาดําเนินการทางวินัยแกลูกจางประจํา รายนายไพโรจน เกื้อสุวรรณ กรมปาไมจึงขอสงเรื่องเดิมของนายไพโรจน

Page 9: กรมอุทยานแห งชาติสัตว ป า และพันธุ พืช พศ. 2550app.dnp.go.th/opac/multimedia/research/C00263/C00263-2.pdf ·

3 เกื้อสุวรรณ และเอกสารที่เกี่ยวของใหกรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช พิจารณาดําเนินการตามอํานาจหนาที่ กรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช จึงไดมีหนังสือ ลับ ท่ี ทส 0901.3/254 ลงวันที่ 8 พฤษภาคม 2549 และลับ ท่ี ทส 0901.3/393 ลงวันที่ 21 สิงหาคม 2549 ขอหารอืการดําเนินการทางวินัยของลูกจางประจํารายนายไพโรจน เกื้อสุวรรณ ไปยังกรมบัญชีกลางวา กรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช หรือกรมปาไมสมควรเปนผูพิจารณาดําเนินการทางวินัยและออกคําสั่งลงโทษกับลูกจางประจํารายดังกลาว และกรมบัญชีกลางไดมีหนังสือ ลับ ท่ี กค 0415/09831 ลงวันที่ 30 ตุลาคม 2549 ตอบขอหารือวา เปนอํานาจของกรมปาไมเปนผูพิจารณาดําเนินการทางวินัยและออกคําสั่งลงโทษกับลูกจางประจํารายนายไพโรจน เกื้อสุวรรณ ตามพระราชกฤษฎีกาโอนกรมปาไม กระทรวงเกษตรและสหกรณไปเปนกรมปาไม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม และปรับปรุงอํานาจหนาที่และกิจการของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝง กรมปาไม และกรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม พ.ศ. 2546 กรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช จึงไดสงเรื่องใหกรมปาไมพิจารณาดําเนินการทางวินัยกับนายไพโรจน เกื้อสุวรรณ ตามอํานาจหนาที่ตอไป มูลเหตุที่ตองทําการศึกษา การที่ลูกจางประจําถูกดําเนินคดีอาญาจะตองมีการพิจารณาวามีเหตุผลอันสมควรแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัย หรือมีเหตุแหงการสั่งพักราชการหรือใหออกจากราชการไวกอนหรือไม และเมื่อมีการตัดโอน ลกูจางประจําไปสังกัดกรมปาไมก็ตองพิจารณาเกี่ยวกับอํานาจในการดําเนินการทางวินัยกับลูกจางประจําใหเปนไปตามระเบียบกฎหมาย

Page 10: กรมอุทยานแห งชาติสัตว ป า และพันธุ พืช พศ. 2550app.dnp.go.th/opac/multimedia/research/C00263/C00263-2.pdf ·

4

บทที่ 2

วัตถุประสงค วัตถุประสงค 1. เพื่อใชเปนแนวทางในการพิจารณาเกี่ยวกับผูมีอํานาจหนาที่ในการดําเนินการ ทางวินัยกับลูกจางประจําใหถูกตองตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวของ 2. เพื่อใหขาราชการ พนักงานเจาหนาที่ และผูสนใจไดทราบถึงขอกฎหมายและ ระเบียบที่เกี่ยวของ 3. เพื่อใหขาราชการ พนักงานเจาหนาที่ และผูสนใจไดทราบขั้นตอนและแนว ทางปฏิบัติท่ีถกูตอง ประโยชนที่จะไดรับ การศึกษาเกี่ยวกับผูมีอํานาจหนาที่ในการดําเนินการทางวินัยลูกจางประจําเรื่องนี้ สามารถนําไปใชเปนกรณีศึกษาเพื่อใชเปนแนวทางในการพิจารณาเกี่ยวกับผูมีอํานาจหนาที่ในการดําเนินการทางวินัยกับลูกจางประจําไดถูกตองตามระเบียบและกฎหมาย ท่ีเกี่ยวของ

Page 11: กรมอุทยานแห งชาติสัตว ป า และพันธุ พืช พศ. 2550app.dnp.go.th/opac/multimedia/research/C00263/C00263-2.pdf ·

5

บทที่ 3

วิธีการศึกษา วิธีการศึกษา ไดทําการศึกษาขอเทจ็จริงจากการรายงานของหนวยงานที่เกี่ยวของวา นายไพโรจน เกื้อสุวรรณ ลูกจางประจําตองคําพิพากษาคดีอาญา โดยตองพิจารณาวา นายไพโรจน เกื้อสุวรรณ เปนลูกจางประจําในสังกัดใด กรมมีอํานาจดําเนินการทางวินัยกับลูกจางประจํารายดังกลาวหรือไม ผูตองหา หรือจําเลยถูกกลาวหาหรือถูกฟองในความผิดอาญาเรื่องอะไร ที่ไหน เมื่อใด มูลเหตุท่ีตองหาหรือถูกฟองนั้น สืบเนื่องมาจากเหตุอันใด มีความเปนมาอยางไร เปนการปฏิบัติราชการตามหนาที่โดยชอบดวยระเบียบกฎหมาย และดวยเจตนาบริสุทธิ์มิไดมุงใหเกิดผลเสียหายแกผูหนึ่งผูใดโดยเฉพาะเพียงใด หรือไม ผูตองหาหรือจําเลยมอบตัวตอสูคดีเมื่อใด ไดถูกคุมขังบางหรือไม ต้ังแตเมื่อใด ถึงเมือ่ใด หรือไดรับการปลอยชั่วคราว และมาปฏิบัติราชการตามปกติแลวหรือไม ต้ังแตเมื่อใด ท้ังนี้ เพื่อจะไดเปนขอมูลประกอบการพิจารณาวา กรณีเขาลักษณะเปนการกระทําผิด สมควรดําเนินการทางวินัยหรือไม การสั่งพักราชการ หรือสัง่ใหออกจากราชการไวกอนหรือไม หรือควรใหอยูรบัราชการตอไป โดยใหรอฟงผลคดีจนถึงที่สุด ถาพิจารณาเห็นวา 1. พฤติการณเขาลักษณะเปนการกระทําผิดวินัยและกรณีเขาหลักเกณฑท่ีจะสั่งใหพักราชการ หรือสั่งใหออกจากราชการไวกอนได หากอยูในอํานาจที่จะดําเนินการทางวินัยก็ใหดําเนินการหรือสั่งแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนและสั่งใหพักราชการ หรือสั่งใหออกจากราชการไวกอน แตถาไมอยูในอํานาจตนก็ตองรายงานผลพรอมทั้งความเห็นและสงตนฉบับเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวของทั้งหมดไปตามลําดับชั้น จนถึงผูบังคับบัญชาผูมีอํานาจเพื่อพิจารณาดําเนินการตอไป 2. ถาพิจารณาเห็นวา พฤติการณยังไมชัดแจงวา จะเปนการกระทําผิดวนิัยหรือไม ก็ควรรอการดําเนินการทางวินัยไวกอน โดยสั่งใหรอฟงผลคดีจนถึงที่สุด แลวรายงานผลพรอมความเห็น และสงเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวของทั้งหมดไปตามลําดับจนถึงผูบังคับ บัญชาระดับอธิบดี สําหรับกรณีหากเขาหลักเกณฑท่ีจะสั่งใหพักราชการหรือสั่งให

Page 12: กรมอุทยานแห งชาติสัตว ป า และพันธุ พืช พศ. 2550app.dnp.go.th/opac/multimedia/research/C00263/C00263-2.pdf ·

6 ออกจากราชการไวกอน และอยูในอํานาจตนที่จะสั่งไดก็ใหมีคําสั่งใหพักราชการหรือใหออกจากราชการไวกอน 3. ถาเห็นวาพฤติการณไมเขาลักษณะเปนการกระทําผิดวินัย ท้ังไมเขาหลักเกณฑหรือมีเหตุจะตองสั่งพักราชการหรือสั่งใหออกจากราชการไวกอน เนื่องจากเปนการปฏิบัติราชการตามหนาที่โดยชอบดวยระเบียบกฎหมาย และดวยใจบริสุทธิ์มิไดมุงใหเกิดความเสียหายแกผูใดโดยเฉพาะ หรือเนื่องจากเหตุอื่น ๆ ผูบังคับบัญชาก็ตองสั่งใหรอฟงผลคดี และใหขาราชการผูตองหาหรือถูกฟองคดีอาญาอยูปฏิบัติหนาที่ตอไป เสร็จแลวแจงผลพรอมทั้งความเห็น และสงตนฉบับเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวของทั้งหมดไปตามลําดับจนถึงผูบังคับบัญชาระดับอธิบดี การศึกษา ไดทําการศึกษาประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 บัญญัติวา “ผูใดกระทําชําเราเด็กหญิงอายุยังไมเกินสิบหาป ซึ่งมิใชภริยาของตน โดยเด็กหญิงนั้นจะยินยอมหรือไมก็ตาม ตองระวางโทษจําคุกตั้งแตสี่ปถึงย่ีสิบป และปรับตั้งแตแปดพันบาทถึงสี่หมื่นบาท ถาการกระทําความผิดตามวรรคแรกเปนการกระทําแกเด็กหญิงอายุยังไมเกิน สิบสามปตองระวางโทษจําคุกตั้งแตเจ็ดปถึงยี่สิบป และปรับตั้งแตหนึ่งหมื่นสี่พันบาท ถึงสี่หมื่นบาทหรือจําคุกตลอดชีวิต ถาการกระทําความผิดตามวรรคแรกหรือวรรคสอง ไดกระทําโดยรวมกระทําความผิดดวยกันอันมีลักษณะเปนการโทรมเด็กหญิง และเด็กหญิงนั้นไมยินยอมหรือได ไดกระทําโดยมีอาวุธปนหรือวัตถุระเบิดหรือโดยใชอาวุธ ตองระวางโทษจําคุกตลอดชีวิต ความผิดตามที่บัญญัติไวในวรรคแรก ถาเปนการกระทําที่ชายกระทํากับเด็กหญิงอายุกวาสิบสามปแตยังไมเกินสิบหาป โดยเด็กหญิงนั้นยินยอมและภายหลังศาลอนุญาตใหชายและเด็กหญิงนั้นสมรสกัน ผูกระทําผิดไมตองรับโทษ ถาศาลอนุญาตใหสมรสในระหวางที่ผูกระทําผิดกําลังรับโทษในความผิดนั้นอยู ใหศาลปลอยผูกระทําความผิดนั้นไป” มาตรา 362 บัญญัติวา “ผูใดเขาไปในอสังหาริมทรัพยของผูอื่น เพื่อถอืการครอบครองอสังหาริมทรัพยนั้นทั้งหมดหรือแตบางสวน หรือเขาไปกระทําการใด ๆ

Page 13: กรมอุทยานแห งชาติสัตว ป า และพันธุ พืช พศ. 2550app.dnp.go.th/opac/multimedia/research/C00263/C00263-2.pdf ·

7 อันเปนการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพยของเขาโดยปกติสุข ตองระวางโทษจําคุกไมเกินหนึ่งป หรือปรับไมเกินสองพันบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ” มาตรา 365 บัญญัติวา “ถาการกระทําความผิดตามมาตรา 362 มาตรา 363 หรือมาตรา 364 ไดกระทํา (1) โดยใชกําลังประทุษราย หรือขูเข็ญวาจะใชกําลังประทุษราย (2) โดยมีอาวุธหรือโดยรวมกระทําความผิดดวยกันตั้งแตสองคนขึ้นไปหรือ (3) ในเวลากลางคืน ผูกระทําตองระวางโทษจําคุกไมเกินหาป หรือปรับไมเกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ” ระเบียบกระทรวงการคลังวาดวยลูกจางประจําของสวนราชการ ขอ 46 กําหนดวา “ลูกจางประจําตองรักษาชื่อเสียงของตนและรักษาเกียรติศักดิ์ของตําแหนงหนาที่ราชการของตนมิใหเสื่อมเสีย โดยไมกระทําการใด ๆ อันไดชื่อวาเปนผูประพฤติชั่ว การกระทําความผิดอาญาจนไดรับโทษจําคุกหรือโทษที่หนักกวาจาํคุกโดยคํา พิพากษาถึงที่สุดใหจําคุกหรือใหรับโทษที่หนักกวาจําคุก เวนแตเปนโทษสําหรับความผิดท่ีไดกระทําโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ หรือกระทําการอื่นใดอันไดชื่อวาเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรง เปนความผิดวินัยอยางรายแรง” ขอ 50 กําหนดวา “การดําเนินการทางวินัยแกลูกจางประจําซึ่งมีกรณีอันมีมูลวากระทําผิดวินัย ใหสอบสวนเพื่อใหไดความจริงและยุติธรรมโดยไมชักชา การดําเนินการตามวรรคหนึ่ง ถาเปนกรณีกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางไม รายแรงใหดําเนินการตามวิธีการที่ผูบังคับบัญชาเห็นสมควร ถาเปนกรณีกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรงใหแตงตั้งคณะกรรมการขึ้นทําการสอบสวน และในการสอบสวนนี้ตองแจงขอกลาวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนขอกลาวหาเทาที่มีใหผูถูกกลาวหาทราบ โดยจะระบุหรือไมระบุชื่อพยานก็ได ท้ังนี้ เพ่ือใหผูถูกกลาวหาชี้แจงและนําสืบแกขอกลาวหา เมื่อดําเนินการแลวถาฟงไดวาผูถูกกลาวหาไดกระทําผิดวินัยก็ใหดําเนินการตามขอ 51 หรือขอ 52 แลวแตกรณี ถายังฟงไมไดวาผูถูกกลาวหาไดกระทําผิดวินัย จึงจะยุติเรื่องได

Page 14: กรมอุทยานแห งชาติสัตว ป า และพันธุ พืช พศ. 2550app.dnp.go.th/opac/multimedia/research/C00263/C00263-2.pdf ·

8 การแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามวรรคสอง ใหผูมีอาํนาจสั่งบรรจุตามขอ 13 เปนผูสั่งแตงตั้ง หลักเกณฑและวิธีการเกี่ยวกับการสอบสวนพิจารณาเพื่อใหไดความจริงและ ยุติธรรมและอํานาจและหนาที่ของคณะกรรมการสอบสวนใหเปนไปตามที่กําหนดไวในกฎหมายวาดวยระเบียบขาราชการพลเรอืนโดยอนุโลม” ขอ 52 กําหนดวา “ลูกจางประจําผูใดกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ใหผูมีอาํนาจสั่งบรรจุตามขอ 13 สั่งลงโทษปลดออกหรือไลออกตามความรายแรงแหงกรณี ในกรณี ท่ีสั่งลงโทษไลออก ถามีเหตุอันควรลดหยอนจะนํามาประกอบการพิจารณาลดโทษก็ได แตหามมิใหลงโทษต่ํากวาปลดออก ผูถูกสั่งลงโทษปลดออกตามวรรคหนึ่งใหมีสิทธิไดรับบําเหน็จเสมือนวาผูนั้นลาออกจากราชการ” ขอ 53 กําหนดวา “ลูกจางประจําผูใดกระทําผิดวินัยอยางรายแรงและเปนกรณีความผิดที่ปรากฏชัดแจงตามที่กําหนดในกฎหมายวาดวยระเบียบขาราชการพลเรือน ผูมีอํานาจสั่งบรรจุตามขอ 13 จะดําเนินการตามขอ 52 โดยไมสอบสวนก็ได” ขอ 55 กําหนดวา “ลูกจางประจําผูใดมีกรณีถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรง จนถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวน หรือถูกฟองคดีอาญา หรือตองหาวากระทําความผิดอาญาเวนแตเปนความผิดที่ไดกระทําโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษผูมีอํานาจสั่งบรรจุ ตามขอ 13 มีอํานาจสั่งพักราชการหรือสั่งใหออกจากราชการไวกอนเพื่อรอฟงผลการสอบสวนพิจารณาได แตถาภายหลังปรากฏผลการสอบสวนพิจารณาวาผูนั้นมิไดกระทําผิดหรือกระทําผิดไมถึงกับจะตองถูกลงโทษปลดออก หรือไลออกและไมมีกรณีท่ีจะตองออกจากราชการดวยเหตุอื่น ก็ใหผูมีอาํนาจสั่งบรรจุตามขอ 13 สั่งใหผูนั้นกลับเขารับราชการในตําแหนงเดิมหรือตําแหนงที่ไมสูงกวาเดิมที่ผูนั้นมีคุณสมบัติตรงตามคุณสมบัติเฉพาะสําหรับตําแหนงนั้น เมื่อไดมีการสัง่ใหลูกจางประจําผูใดพักราชการ หรือออกจากราชการไวกอนตามวรรคหนึ่งแลว ภายหลังปรากฏวา ผูนั้นมีกรณีถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรงในกรณีอื่นอีกผูมีอํานาจสั่งบรรจุตามขอ 13 มีอํานาจดําเนินการสืบสวนหรือดําเนินการทางวินัยตามที่กําหนดไวในระเบียบนั้น

Page 15: กรมอุทยานแห งชาติสัตว ป า และพันธุ พืช พศ. 2550app.dnp.go.th/opac/multimedia/research/C00263/C00263-2.pdf ·

9 ในกรณีท่ีสั่งใหผูถูกสั่งใหออกจากราชการไวกอนกลับเขารับราชการ หรอืสั่งใหผูถูกสั่งใหออกจากราชการไวกอนออกจากราชการดวยเหตุอื่นที่มิใชเปนการลงโทษเพราะกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ก็ใหผูนั้นมีสถานภาพเปนลูกจางประจําตลอดระยะเวลาระหวางที่ถูกสั่งใหออกจากราชการไวกอนเสมือนวาผูนั้นเปนผูถูกสั่งพักราชการ คาจาง เงินอื่นที่จายเปนรายเดือนและเงินชวยเหลืออยางอื่น และการจายเงินดังกลาวของผูถูกสั่งพักราชการและผูถกูสั่งใหออกจากราชการไวกอนใหเปนไปตาม กฎหมายหรือระเบียบวาดวยการนั้น สําหรับผูถูกสั่งใหออกจากราชการไวกอน ถาไมมีกฎหมายหรือระเบียบดังกลาว ใหถือเสมือนวาผูนั้นเปนผูถูกสั่งพักราชการ หลักเกณฑและวิธีการเกี่ยวกับการสั่งพักราชการ การสั่งใหออกจากราชการไวกอน ระยะเวลาใหพักราชการและใหออกจากราชการไวกอน และการดําเนินการเพื่อใหเปนไปตามผลการสอบสวนพิจารณา ใหเปนไปตามที่กาํหนดไวในกฎหมายวาดวยระเบียบขาราชการพลเรือนโดยอนุโลม” กฎ ก.พ. ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2538) ออกตามความในพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 วาดวยการสั่งพักราชการและการสั่งใหออกจากราชการไวกอน ขอ 2 กําหนดวา “การสั่งใหขาราชการพลเรือนสามญัพักราชการหรือใหออกจากราชการไวกอน เพื่อรอฟงผลการสอบสวนพิจารณา ระยะเวลาใหพักราชการและใหออกจากราชการไวกอน และการดําเนินการเพื่อใหเปนไปตามผลการสอบสวนพิจารณาใหเปนไปตามหลักเกณฑและวิธีการที่กําหนดในกฎ ก.พ. นี้” ขอ 3 กําหนดวา “เมื่อขาราชการพลเรือนสามัญผูใดมีกรณีถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรงจนถูกตั้งกรรมการสอบสวน หรือถูกฟองคดีอาญา หรือตองหาวากระทําความผิดอาญาเวนแตเปนความผิดที่ไดกระทําโดยประมาท หรอืความผิดลหุโทษผูมีอํานาจตามมาตรา 102 วรรคสาม วรรคสี่ หรือวรรคหา มาตรา 104 วรรคสาม หรือมาตรา 109 วรรคสาม แลวแตกรณี จะสั่งใหผูนั้นพักราชการไดก็ตอเมื่อมีเหตุอยางหนึ่งอยางใดดังตอไปนี้ (1) ผูนั้นถูกตั้งกรรมการสอบสวน หรือถูกฟองคดีอาญา หรือตองหาวากระทํา ความผิดอาญาในเรื่องเกี่ยวกับการทุจริตตอหนาที่ราชการหรือเกี่ยวกับความประพฤติหรือพฤติการณอันไมนาไววางใจและผูถูกฟองนั้นพนักงานอัยการ มิไดรับเปนทนายแกตางให

Page 16: กรมอุทยานแห งชาติสัตว ป า และพันธุ พืช พศ. 2550app.dnp.go.th/opac/multimedia/research/C00263/C00263-2.pdf ·

10 และผูมีอํานาจดังกลาวพิจารณาเห็นวา ถาใหผูนั้นคงอยูในหนาที่ราชการอาจเกิดการเสียหายแกราชการ (2) ผูนั้นมีพฤติการณท่ีแสดงวาถาคงอยูในหนาที่ราชการจะเปนอุปสรรคตอการ การสอบสวนพิจารณาหรือจะกอใหเกิดความไมสงบเรียบรอยขึ้น (3) ผูนั้นอยูในระหวางถูกควบคุมหรือขัง โดยเปนผูถูกจับในคดีอาญาหรือตองจํา คุกโดยคําพิพากษาและไดถูกควบคุมขังหรือตองจําคุกเปนเวลาติดตอกันเกินกวาสิบหาวัน แลว (4) ผูนั้นถูกตั้งกรรมการสอบสวน และตอมามีคําพิพากษาถึงที่สุดวาเปนผูกระทําความผิดอาญาในเรื่องที่สอบสวนนั้น หรอืผูนั้นถูกตั้งกรรมการสอบสวนภายหลังที่มีคําพิพากษาถึงที่สุดวาเปนผูกระทําความผิดอาญาในเรือ่งที่สอบสวนนั้น และผูมีอํานาจดังกลาวพิจารณาเห็นวา ขอเท็จจริงที่ปรากฏตามคําพิพากษาถึงที่สุดนั้นไดความประจักษชัดอยูแลววาการกระทําความผิดอาญาของผูนั้นเปนความผิดวินัยอยางรายแรง” ขอ 4 กําหนดวา “การสัง่พักราชการใหสั่งพักตลอดเวลาที่สอบสวนพิจารณา เวนแตกรณีผูถูกสั่งพักไดรองทุกข และผูมีอํานาจพิจารณาเห็นวาคํารองทุกขฟงขึ้นและไมสมควรที่จะสั่งพักราชการ ก็ใหสั่งใหผูนั้นกลับเขาปฏิบัติหนาที่ราชการกอนการสอบสวนพิจารณาเสร็จสิ้นได” ขอ 5 กําหนดวา “ในกรณีท่ีขาราชการพลเรือนสามัญผูใดมีกรณีถูกกลาวหาวากระทําผิดวนิัยอยางรายแรงจนถูกตั้งกรรมการสอบสวนหลายสํานวนหรือถูกฟองคดีอาญา หรือตองหาวากระทําความผิดอาญาหลายคดี เวนแตเปนความผิดที่ไดกระทําโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ หรือผูท่ีถูกฟองนั้นพนักงานอัยการรับเปนทนายแกตางใหถาจะสั่งพักราชการใหสั่งพักทุกสํานวนและทุกคดี ในกรณีท่ีไดสั่งพักราชการในสํานวนใดหรือคดีใดไวแลว ภายหลังปรากฏวาผูถูกสั่งพักราชการนั้น มีกรณีถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรงจนถูกตั้งกรรมการสอบสวนในสํานวนอื่นหรือถูกฟองคดีอาญา หรือตองหาวากระทําความผิดอาญาในคดีอื่นเพิ่มขึ้นอีก เวนแตเปนความผิดที่ไดกระทําโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ หรือผูท่ีถูกฟองนั้นพนักงานอัยการรับเปนทนายแกตางให ก็ใหสั่งพักราชการในสํานวนหรือคดีอื่นที่เพิ่มขึ้นนั้นดวย”

Page 17: กรมอุทยานแห งชาติสัตว ป า และพันธุ พืช พศ. 2550app.dnp.go.th/opac/multimedia/research/C00263/C00263-2.pdf ·

11 ขอ 6 กําหนดวา “การสั่งพักราชการ หามมิใหสั่งพักยอนหลังไปกอนวันออกคําสั่ง เวนแต (1) ผูซึ่งจะถูกสั่งพักราชการอยูในระหวางถูกควบคุมหรือขัง โดยเปนผูถูกจับใน คดีอาญา หรือตองจําคุกโดยคําพิพากษา การสั่งพักราชการในเรื่องนั้นใหสั่งพักยอนหลังไปถึงวันที่ถูกควบคุม ขัง หรือตองจําคุก (2) ในกรณีท่ีไดมีการสั่งพักราชการไวแลว ถาจะตองสั่งใหมเพราะคําสั่งเดิมไมชอบหรือไมถูกตองใหสั่งพักตั้งแตวันใหพักราชการตามคําสั่งเดิม หรือตามวันที่ควรตองพักราชการในขณะที่ออกคําสั่งเดิม” ขอ 7 กาํหนดวา “คําสั่งพักราชการตองระบุชื่อและตําแหนงของผูถูกสั่งพัก ตลอดจนกรณีและเหตุท่ีสั่งใหพักราชการ เมื่อไดมีคําสั่งใหขาราชการพลเรือนสามญัผูใดพักราชการแลว ใหแจงคําสั่งใหผูนั้นทราบพรอมทั้งสงสําเนาคําสั่งใหดวยโดยพลัน ในกรณีท่ีไมอาจแจงใหผูนั้นทราบได หรือผูนั้นไมยอมรับทราบคําสั่ง ใหปดสําเนาคําสั่งไว ณ ท่ีทําการที่ผูนั้นรับราชการอยู และมีหนังสือแจงพรอมกับสงสําเนาคําสั่งทางไปรษณียลงทะเบียนไปใหผูนั้น ณ ท่ีอยูของผูนั้นซึ่งปรากฏตามหลักฐานของทางราชการ ในกรณีเชนนี้เมื่อลวงพนสิบวันนับแตวันที่ไดดําเนินการดังกลาว ใหถือวาผูนั้นไดทราบคําสั่งพักราชการแลว” ขอ 8 กําหนดวา “เมื่อขาราชการพลเรือนสามัญผูใดมีเหตุท่ีอาจถูกสั่งพักราชการตามขอ 3 และผูมีอํานาจตามมาตรา 102 วรรคสาม วรรคสี่ หรือวรรคหา มาตรา 104 วรรคสาม หรือมาตรา 109 วรรคสาม แลวแตกรณีพิจารณาเห็นวาการสอบสวนพิจารณา หรือการพิจารณาคดีท่ีเปนเหตุท่ีอาจถูกสั่งพักราชการนั้นจะไมแลวเสร็จโดยเร็ว ผูมีอํานาจดังกลาวจะสั่งใหผูนั้นออกจากราชการไวกอนก็ได ใหนําขอ 4 ขอ 5 และ ขอ 7 มาใชบังคับแกการสั่งใหออกจากราชการไวกอนโดยอนุโลม” ขอ 9 กําหนดวา “เมื่อไดสั่งใหขาราชการพลเรือนสามัญผูใดพักราชการไวแลว ผูมีอํานาจตามมาตรา 102 วรรคสาม วรรคสี่ หรือวรรคหา มาตรา 104 วรรคสาม หรือมาตรา 109 วรรคสาม แลวแตกรณี จะพิจารณาตามขอ 8 และสั่งใหผูนั้นออกจากราชการไวกอนอกีชั้นหนึ่งก็ได”

Page 18: กรมอุทยานแห งชาติสัตว ป า และพันธุ พืช พศ. 2550app.dnp.go.th/opac/multimedia/research/C00263/C00263-2.pdf ·

12 ขอ 10 กําหนดวา “การสั่งใหออกจากราชการไวกอนจะสั่งใหออกตั้งแตวันใด ใหนําขอ 6 มาใชบังคับโดยอนุโลม แตสําหรับการสั่งใหออกจากราชการไวกอนในกรณีตามขอ 9 ใหสั่งใหออกตั้งแตวันพักราชการเปนตนไป ขอ 12 กําหนดวา “เมื่อไดสั่งใหขาราชการพลเรือนสามัญผูใดพักราชการหรือใหออกจากราชการไวกอนเพื่อรอฟงผลการสอบสวนพิจารณา ถาภายหลังปรากฏผลการสอบสวนพิจารณาเปนประการใดแลวใหดําเนินการดังตอไปนี้ (1) ในกรณท่ีีปรากฏวาผูนั้นกระทําผิดวินัยอยางรายแรงก็ใหสั่งลงโทษใหเปนไปตามมาตรา 104 หรือมาตรา 138 แลวแตกรณี (2) ในกรณีท่ีปรากฏวาผูถูกสั่งพักราชการนั้นกระทําผิดวินัยอยางไมรายแรงและ ไมมีกรณีท่ีจะตองถูกสั่งใหออกจากราชการก็ใหสั่งใหผูนั้นกลับเขาปฏิบัติหนาที่ราชการในตําแหนงเดิมหรือตําแหนงในระดับเดียวกันที่ผูนั้นมีคุณสมบัติตรงตามคุณสมบัติเฉพาะสําหรับตําแหนงนั้น ท้ังนี้ สําหรับการสั่งใหผูถกูสั่งพักราชการกลับเขาปฏิบัติหนาที่ ราชการในตําแหนงในระดับเดียวกันที่ผูนั้นมีคุณสมบัติตรงตามคุณสมบัติเฉพาะสําหรับตําแหนงนั้น ซึ่งเปนตําแหนงตั้งแตระดับ 10 ขึ้นไป ใหดําเนินการนําความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกลาฯ แตงตั้ง แลวดําเนินการตามมาตรา 103 หรือมาตรา 138 แลวแตกรณี (3) ในกรณีท่ีปรากฏวาผูถูกสั่งใหออกจากราชการไวกอนนั้น กระทําผิดวินัยอยางไมรายแรง และไมมีกรณีท่ีจะตองถูกสั่งใหออกจากราชการก็ใหสั่งใหผูนั้นกลับเขารับราชการในตําแหนงเดิม หรือตําแหนงในระดับเดียวกันที่ผูนั้นมีคุณสมบัติตรงตามคุณสมบัติเฉพาะสําหรับตําแหนงนั้น ท้ังนี้ สําหรับการสั่งใหผูถูกสั่งใหออกจากราชการไวกอนกลับเขารับราชการในตําแหนงเดิม หรือตําแหนงในระดับเดียวกันที่ผูนั้นมีคุณสมบัติตรงตามคุณสมบัติเฉพาะสําหรับตําแหนงนั้น ซึ่งเปนตําแหนงตั้งแตระดับ 10 ขึ้นไป ใหดําเนินการนําความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกลาฯ แตงตั้ง แลวดําเนินการตามมาตรา 103 หรือมาตรา 138 แลวแตกรณี (4) ในกรณีท่ีปรากฏวาผูถูกสั่งพักราชการนั้นกระทําผิดวินัยอยางไมรายแรงและ ไมมีกรณีท่ีจะตองถูกสั่งใหออกจากราชการดวยเหตุอื่น แตไมอาจสั่งใหผูนั้นกลับเขาปฏิบัติหนาที่ราชการได เนื่องจากมีอายุครบหกสิบปบริบูรณ และไดพนจากราชการตาม

Page 19: กรมอุทยานแห งชาติสัตว ป า และพันธุ พืช พศ. 2550app.dnp.go.th/opac/multimedia/research/C00263/C00263-2.pdf ·

13 กฎหมายวาดวยบําเหน็จบํานาญขาราชการแลว ก็ใหดําเนินการตามมาตรา 103 หรือมาตรา 138 แลวแตกรณี โดยไมตองสั่งใหกลับเขาปฏิบัติหนาที่ราชการ การดําเนินการตามมาตรา 103 หรือมาตรา 138 ในกรณีท่ีจะสั่งลงโทษตัดเงินเดือนหรือลดขั้นเงินเดือน การสั่งลงโทษดังกลาวใหสงยอนหลังไปถึงวันสุดทายกอนวันพนจากราชการตามกฎหมายวาดวยบําเหน็จบํานาญขาราชการ (5) ในกรณีท่ีปรากฏวาผูถูกสั่งใหออกจากราชการไวกอนนั้น กระทําผิดวินัยอยางไมรายแรง แตไมมีกรณีท่ีจะตองถูกสั่งใหออกจากราชการดวยเหตุอื่น แตไมอาจสั่ง ใหกลับเขารับราชการได เนื่องจากมีอายุครบหกสิบปบริบูรณ และสิ้นปงบประมาณที่มีอายุครบหกสิบปบริบูรณนั้นแลว ก็ใหดําเนินการตามมาตรา 103 หรือมาตรา 138 แลวแตกรณีและมีคําสั่งยกเลิกคําสั่งใหออกจากราชการไวกอน เพื่อใหผูนั้นเปนผูพนจากราชการตามกฎหมายวาดวยบําเหน็จบํานาญขาราชการ และใหนํา (4) วรรคสอง มาใชบังคับโดยอนุโลม (6) ในกรณีท่ีปรากฏวาผูนั้นกระทําผิดวินัยอยางไมรายแรง แตมกีรณีท่ีจะตองถูกสั่งใหออกจากราชการดวยเหตุอื่น ก็ใหดําเนินการตามมาตรา 103 หรือมาตรา 138 แลวแตกรณี แลวสั่งใหผูนั้นออกจากราชการตามเหตุนั้นโดยไมตองสั่งใหกลับเขาปฏิบัติหนาที่ราชการหรือกลับเขารับราชการ และใหนํา (4) วรรคสอง มาใชบังคับโดยอนุโลม (7) ในกรณีท่ีปรากฏวาผูนั้นมิไดกระทําผิดวินัย และไมมีกรณีท่ีจะตองออกจากราชการก็ใหสั่งยุติเรื่อง และใหผูนั้นกลับเขาปฏิบัติหนาที่ราชการหรือกลับเขารับราชการตาม (2) หรือ (3) แลวแตกรณี (8) ในกรณีท่ีปรากฏวาผูถูกสั่งพักราชการนั้นมิไดกระทําผิดวินัย และไมมีกรณีท่ีจะตองถูกสั่งใหออกจากราชการดวยเหตุอื่น แตไมอาจสั่งใหผูนั้นกลับเขาปฏิบัติหนาที่ราชการได เนื่องจากมีอายุครบหกสิบปบริบูรณและไดพนจากราชการตามกฎหมายวาดวยบําเหน็จบํานาญขาราชการแลว ก็ใหสั่งยุติเรื่อง (9) ในกรณีท่ีปรากฏวาผูถูกสั่งใหออกจากราชการไวกอนนั้น มิไดกระทําผิดวินัยและไมมีกรณีจะตองถูกสั่งใหออกจากราชการดวยเหตุอื่น แตไมอาจสั่งใหผูนั้นกลับเขารับราชการได เนื่องจากมีอายุครบหกสิบปบริบูรณและสิ้นปงบประมาณที่มีอายุครบหกสิบปบริบูรณนั้นแลว ก็ใหสั่งยุติเรื่องและมีคําสั่งยกเลิกคําสั่งใหออกจากราชการไวกอนเพื่อใหผูนั้นเปนผูพนจากราชการตามกฎหมายวาดวยบําเหน็จบํานาญขาราชการ

Page 20: กรมอุทยานแห งชาติสัตว ป า และพันธุ พืช พศ. 2550app.dnp.go.th/opac/multimedia/research/C00263/C00263-2.pdf ·

14 (10) ในกรณีท่ีปรากฏวา ผูนั้นมิไดกระทําผิดวินัยแตมีกรณีท่ีจะตองถูกสั่งใหออกจากราชการดวยเหตุอื่น ก็ใหสั่งใหออกจากราชการตามเหตุนั้นโดยไมตองสั่งใหกลับเขาปฏิบัติหนาที่ราชการหรือกลับเขารับราชการ” หนังสือกรมปาไม ท่ี กส 0703/20867 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2522 เรื่อง ใหขาราชการซึ่งถูกเจาหนาที่ตํารวจเรียกตัวไปสอบสวนและตกเปนผูตองหาหรือถูกฟองในคดีอาญาหรือคดีแพงหรือคดีลมละลาย รายงาน กาํหนดใหขาราชการผูใดถูกเจาหนาที่ ตํารวจเรียกตัวไปสอบสวนและตกเปนผูตองหาหรือถูกฟองในคดีอาญาหรือคดแีพงหรือคดีลมละลาย รายงานดังนี้ (1) ขาราชการผูนั้นตองหาคดีในขอหาใด มีขอเท็จจริงในเบื้องตนประการใด (2) ขาราชการผูนั้นถูกควบคุมตัว หรือถูกจับกุมตัวที่ใด ต้ังแตเมื่อใด ไดมีการประกันตัวแลวหรือไม ต้ังแตเมื่อใด และมาปฏิบัติราชการตามปกติหรือไม (3) การตองหาคดีของขาราชการผูนั้นเกิดความเสียหายแกทางราชการหรือไม เสียหายอยางไร จังหวัดผูบังคับบัญชาเห็นวาสมควรสั่งพักราชการผูนั้นหรือใหขาราชการผูนั้นออกจากราชการไวกอนหรือไม อยางไร (4) การตองหาคดีของขาราชการผูนั้น จังหวัดผูบังคับบัญชาไดพิจารณาดําเนิน การแตงตั้งคณะกรรมการขึ้นทําการสอบสวนทางวินัยอยางไรบางหรือไม หนังสือกรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช ท่ี ทส 0901.3/13428 ลงวันที่ 21 สิงหาคม 2549 เรื่อง ใหขาราชการ ลูกจางประจํา และพนักงานราชการ ซึ่งถูกเจาหนาที่ตํารวจเรียกตัวไปสอบสวนและตกเปนผูตองหาหรือถูกฟองคดีอาญาหรือคดีแพงหรือคดีลมละลาย รายงาน การวิเคราะหเปรียบเทียบขอมูล สืบเนื่องมาจากสํานักบริหารจัดการในพื้นที่ปาอนุรักษ 20 กรมอุทยานแหงชาต ิ สัตวปา และพันธุพืช รายงานวา นายไพโรจน เกื้อสุวรรณ ลูกจางประจํา เมื่อครั้งดํารงตําแหนงพนักงานพิทักษปา สํานักงานปาไมเขตสงขลา ชวยราชการสํานักงานปาไมจังหวัดตรัง ปฏิบัติงานประจําหนวยปองกันรักษาปา ท่ี ตง.1 (เขากอบ) ถูกกลาวหาในคดีอาญาวา ไดบุกรุกเคหสถานของผูอื่นในเวลากลางคืนและไดขมขืนกระทําชําเราหญิงอื่นซึ่งมีอายุไมเกิน 15 ป และศาลจังหวัดตรังไดมีคําพิพากษาเมื่อวันที่ 19 กันยายน

Page 21: กรมอุทยานแห งชาติสัตว ป า และพันธุ พืช พศ. 2550app.dnp.go.th/opac/multimedia/research/C00263/C00263-2.pdf ·

15 2543 ใหนายไพโรจน เกื้อสุวรรณ จําเลย มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคแรก มาตรา 365 (3) ประกอบมาตรา 362 การกระทําของจําเลยเปนความผิดกรรมเดียว ผิดตอกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานกระทําชําเราเดก็หญิงอายุไมเกิน 15 ป ซึ่งเปนบทหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 ลงโทษจําคุก 10 ป ตามคดีดําที่ 2169/2542 คดีแดงที่ 2322/2543 และศาลอุทธรณภาค 9 ไดมีคําพิพากษาเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2545 แกเปนวา นอกจากความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคแรก แลวจําเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 (3) ประกอบมาตรา 364 การกระทําของจําเลยเปนกรรมเดียวผิดตอกฎหมายหลายบท ใหลงโทษฐานกระทําชําเราเดก็หญิงอายุยังไมเกิน 15 ป อันเปนกฎหมายบทที่มีโทษหนักท่ีสุด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 จําคุก 7 ป นายไพโรจน เกื้อสุวรรณ ย่ืนฎีกาคัดคานเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2545 และสํานักบริหารจัดการในพื้นที่ปาอนุรักษ 20 ไดรายงานอีกวา นายไพโรจน เกือ้สุวรรณ เขามอบตัวตอพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2542 และไดรับการประกันตัว หลังจากนั้นไดกลับไปปฏิบัติราชการตามปกติ การตองหาคดีอาญาของนายไพโรจน เกือ้สุวรรณ ยังไมปรากฏความเสียหายแกทางราชการ เมื่อกรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช ไดรับรายงานกรณีของนายไพโรจน เกื้อสุวรรณ ลูกจางประจํา วาตองหาคดีอาญาก็ไดพิจารณากฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวของซึ่งในขณะนั้น นายไพโรจน เกื้อสุวรรณ เปนลูกจางประจําในสังกดักรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช อธิบดีกรมอุทยานแหงชาติ สตัวปา และพันธุพืช ผูบังคับบัญชา ตามระเบียบกระทรวงการคลังวาดวยลูกจางประจําของสวนราชการ พ.ศ. 2537 ขอ 13 ท่ีกําหนดวา “การบรรจุบุคคลเขารับราชการเปนลูกจางประจําและการแตงตั้งใหดํารงตําแหนงใหปลัดกระทรวง อธิบดีหรือผูดํารงตําแหนงเทียบเทาซึ่งเปนผูบังคับบัญชา หรือผูท่ีไดรับมอบหมายเปนผูมีอํานาจสั่งบรรจุและแตงตั้ง” จึงมีอํานาจในการพิจารณากรณีของนายไพโรจน เกื้อสุวรรณ ท้ังนี้ ตามระเบียบกระทรวงการคลังวาดวยลูกจางประจําของสวนราชการ พ.ศ. 2537 ขอ 47 ท่ีกําหนดวา “เมื่อมีการกลาวโทษโดยปรากฏตัวผูกลาวหา หรือมีกรณีเปนที่สงสัยวาลูกจางประจําผูใดกระทําผิดวินัยโดยยังไมมีพยานหลักฐาน ใหผูบังคับบัญชารีบดําเนินการสืบสวนหรือพิจารณาในเบื้องตนวา กรณีมีมูลหรือไม ถาเห็นวากรณีไมมีมูล ก็ให

Page 22: กรมอุทยานแห งชาติสัตว ป า และพันธุ พืช พศ. 2550app.dnp.go.th/opac/multimedia/research/C00263/C00263-2.pdf ·

16 ยุติเรื่องได ถาเห็นวากรณีมีมูลก็ใหดําเนินการทางวินัยทันที” และเมื่อนายไพโรจน เกื้อสุวรรณ ตองหาคดีอาญา ก็ตองพิจารณาวากรณีเขาลักษณะเปนการกระทําผิด สมควรดําเนินการทางวินัยหรือไม ควรสั่งพักราชการหรือสั่งใหออกจากราชการไวกอนหรือไม หรือควรใหอยูรับราชการตอไป โดยใหรอฟงผลคดีจนถึงที่สุด ซึ่งในกรณีของนายไพโรจน เกื้อสุวรรณ นั้น เมื่อพิจารณาเหตุพักราชการและใหออกจากราชการไวกอน ตามกฎ ก.พ. ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2538) โดยอนุโลม ขอ 3 กําหนดวา “เมื่อขาราชการพลเรือนสามัญผูใดมีกรณีถูกกลาวหาวากระทําความผิดอาญา เวนแตเปนความผิดที่ไดกระทําโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ผูมีอํานาจตามมาตรา 102 วรรคสาม วรรคสี ่ หรือวรรคหา มาตรา 104 วรรคสาม หรือมาตรา 109 วรรคสาม แลวแตกรณี จะสั่งใหผูนั้นพักราชการไดก็ตอเมื่อมีเหตุอยางหนึ่งอยางใดดังตอไปนี้ (1) ผูนั้นถูกตั้งกรรมการสอบสวน หรือถูกฟองคดีอาญาหรือตองหาวากระทําความผิดอาญาในเรื่องเกี่ยวกับการทุจริตตอหนาที่ราชการ หรือเกี่ยวกับความประพฤติหรือพฤติการณอันไมนาไววางใจ และผูท่ีถูกฟองนั้นพนักงานอัยการมิไดรับเปนทนายแกตางให และผูมีอํานาจดังกลาวพิจารณาเห็นวา ถาใหผูนั้นคงอยูในหนาที่ราชการอาจเกิดการเสียหายแกราชการ (2) ผูนั้นมีพฤติการณท่ีแสดงวาถาคงอยูในหนาที่ราชการจะเปนอุปสรรคตอการ สอบสวนพิจารณาหรือจะกอใหเกิดความไมสงบเรียบรอยขึ้น (3) ผูนั้นอยูในระหวางถูกควบคุมหรือขังโดยเปนผูถูกจับในคดีอาญาหรือตองจํา คุกโดยคําพิพากษาและไดถูกควบคุมขังหรือตองจําคุกเปนเวลาติดตอกันเกินกวาสิบหาวัน แลว (4) ผูนั้นถูกตั้งกรรมการสอบสวนและตอมามีคําพิพากษาถึงที่สุดวา เปนผูกระทําความผิดอาญาในเรื่องที่สอบสวนนั้น หรอืผูนั้นถูกตั้งกรรมการสอบสวนภายหลังที่มีคําพิพากษาถึงที่สุดวาเปนผูกระทําความผิดอาญาในเรือ่งที่สอบสวนนั้น และผูมีอํานาจดังกลาวพิจารณาเห็นวา ขอเท็จจริงที่ปรากฏตามคําพิพากษาถึงที่สุดนั้นไดความประจักษชัดอยูแลววาการกระทําความผิดอาญาของผูนั้นเปนความผิดวินัยอยางรายแรง” ขอ 8 กําหนดวา “เมื่อขาราชการพลเรือนสามัญผูใดมีเหตุท่ีอาจถูกสั่งพักราชการตามขอ 3 และผูมีอํานาจตามมาตรา 102 วรรคสาม วรรคสี่ หรือวรรคหา มาตรา 104 วรรคสาม หรือมาตรา 109 วรรคสาม แลวแตกรณี พิจารณาเห็นวาการสอบสวนพิจารณา หรือการ

Page 23: กรมอุทยานแห งชาติสัตว ป า และพันธุ พืช พศ. 2550app.dnp.go.th/opac/multimedia/research/C00263/C00263-2.pdf ·

17 พิจารณาคดีท่ีเปนเหตุท่ีอาจถูกสั่งพักราชการนั้นจะไมแลวเสร็จโดยเร็ว ผูมอีํานาจดังกลาวจะสั่งใหผูนั้นออกจากราชการไวกอนก็ได” ดังนั้น การตองหาคดีอาญาของนายไพโรจน เกื้อสุวรรณ จึงไมมีเหตุใหตองพักราชการหรือใหออกจากราชการไวกอน ตามขอกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวของ กรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช จึงไดมีความเห็นใหรอฟงผลคดีอาญาถึงที่สุดเพื่อนาํมาประกอบการพิจารณาดําเนินการทางวินัยตอไป ตอมา เมื่อศาลฎีกาไดมีคําพิพากษาที่ 2612/2547 ลงวันที่ 18 พฤษภาคม 2547 ยืนตามศาลอุทธรณใหจําคุก 7 ป คําพิพากษาถึงที่สุด และนายไพโรจน เกื้อสุวรรณ ถูกจําคุกตามคําพิพากษาตั้งแตวันที่ 15 กรกฎาคม 2547 ซึ่งถากรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช ไดทราบขอเท็จจริงดังกลาวก็ตองดําเนินการทางวินัยกับ นายไพโรจน เกื้อสุวรรณ ตามอํานาจหนาที่เพราะเปนกรณีกระทําความผิดวินัยอยางรายแรง ตามระเบียบกระทรวงการคลังวาดวยลูกจางประจําของสวนราชการ พ.ศ. 2537 ขอ 46 วรรคสอง ท่ีกําหนดวา “การกระทําความผิดอาญาจนไดรับโทษจําคุกหรือโทษหนักกวาจําคุกโดยคําพิพากษาถึงที่สุดใหจําคุกหรือรับโทษที่หนักกวาจําคุก เวนแตเปนโทษสําหรับความผิดที่ไดกระทําโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษหรือกระทําการอื่นใดอันไดชื่อวาเปนผูประพฤติชั่วอยางรายแรง เปนความผิดวินัยอยางรายแรง” แตเนื่องจากกรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช ทราบขอเท็จจริงในเรื่องคําพิพากษาคดีอาญาถึงที่สุด เมื่อนายไพโรจน เกื้อสุวรรณ ไดโอนไปสังกัดกรมปาไมแลว กรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช จึงไมมีอํานาจในการพิจารณาอีกตอไป และเมื่อขอเท็จจริงปรากฏตอกรมปาไมวานายไพโรจน เกื้อสุวรรณ กระทําความผิดอาญาจนไดรับโทษจําคุก โดยคําพิพากษาถึงที่สุดใหจําคุกในขณะที่นายไพโรจน เกื้อสุวรรณ สังกัดกรมปาไมแลว กรมปาไมผูบังคับบัญชาจึงมีอํานาจดําเนินการทางวินัยกับ นายไพโรจน เกื้อสุวรรณ แมเรื่องที่จะนํามาเปนเหตุในการดําเนินการทางวินัยจะเกิดขึ้นต้ังแตนายไพโรจน เกื้อสวุรรณ สังกัดกรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช ก็ตาม การพิจารณาปญหา การดําเนินการทางวินัยกับลูกจางประจําในสังกัด ในกรณีลูกจางประจําตองหาคดีอาญานั้น ถาผูตกเปนผูตองหาหรือถูกฟองในคดีอาญาหรือหนวยงานตนสังกัดไมได

Page 24: กรมอุทยานแห งชาติสัตว ป า และพันธุ พืช พศ. 2550app.dnp.go.th/opac/multimedia/research/C00263/C00263-2.pdf ·

18 ติดตามและรายงานขอเท็จจริงดวยความรวดเร็ว หรือไมมีการประสานงานกันภายในหนวยงาน การดําเนินการทางวินัยก็จะเกิดความลาชาและอาจจะทําใหเกิดปญหาอยางอื่นตามมา เชน กรณีมีการโอนหนวยงานสังกัดทําใหเกิดปญหาเกี่ยวกับอํานาจในการพิจารณาดําเนินการทางวินัยไดวา ตนสังกัดที่เรื่องเกิดหรือตนสังกัดปจจุบันที่ปรากฏขอเท็จจริงจะเปนผูมีอํานาจในการดําเนินการทางวินัย และเมื่อสองหนวยงานมีความเห็นไมตรงกันเกี่ยวกับอํานาจหนาที่ในการดําเนินการทางวินัยกับลูกจางประจํา จึงตองมีการหารือไปยังหนวยงานที่รับผิดชอบโดยตรงเพื่อยุติปญหาดังกลาว และใชเปนแนวทางในการปฏิบัติตอไป แนวทางแกไขปญหา กรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช ตองแจงเวียนใหขาราชการและลูกจางประจํา ทราบวา ผูใดถูกเจาหนาที่ตํารวจเรียกตัวไปสอบสวนและตกเปนผูตองหา หรือถูกฟองในคดีอาญา มีหนาที่รายงานใหผูบังคับบัญชาทราบตามลําดับ โดยใหปฏิบัติตามแนวทางการรายงานที่กรมกําหนด เปนการตอเนื่องจนกวาคดีจะแลวเสร็จ

Page 25: กรมอุทยานแห งชาติสัตว ป า และพันธุ พืช พศ. 2550app.dnp.go.th/opac/multimedia/research/C00263/C00263-2.pdf ·

19

บทที่ 4

ผลการศึกษา

ผลและวิจารณผลผูมีอํานาจหนาที่ในการดําเนินการทางวินัยลูกจางประจํา กรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช ไดรับรายงานวา นายไพโรจน เกื้อสุวรรณ ลูกจางประจํา ถูกศาลจังหวัดตรังพิพากษาจําคุก 10 ป กรณีกระทําผิดอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคหนึ่ง มาตรา 365 (3) ประกอบมาตรา 362 เปนความผิดกรรมเดียวผิดตอกฎหมายหลายบทจึงลงโทษฐานกระทําชําเราเด็กหญิงอายุไมเกิน 15 ป และศาลอุทธรณภาค 9 ไดมีคําพิพากษาเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2545 ใหลงโทษฐานกระทําชําเราเด็กหญิงอายุยังไมเกิน 15 ป ใหจําคุก 7 ป นายไพโรจน เกื้อสุวรรณ ไดรับการประกันตัวในระหวางการพิจารณาในชั้นศาลฎีกา กรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช พิจารณาแลวเห็นวา ไมมีเหตุสั่งพักราชการหรือใหออกจากราชการไวกอน จึงใหรอฟงผลการพิจารณาคดีอาญาถึงที่สุด เพื่อนํามาประกอบการพิจารณาดําเนินการทางวินัย โดยไมไดแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวน ตอมา เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2547 ศาลฎีกาไดมีคําพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ ลงโทษจําคุก นายไพโรจน เกื้อสุวรรณ 7 ป และนายไพโรจน เกื้อสุวรรณ ถูกจําคุกตามคําพิพากษาตั้งแตวันที่ 15 กรกฎาคม 2547 ซึ่งถาเปนกรณีท่ีขอเท็จจริงดังกลาวปรากฏตอกรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพนัธุพืช เมื่อนายไพโรจน เกื้อสวุรรณ ไดโอนไปสังกัดกรมปาไมแลว อธิบดีกรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช จึงไมใชผูบังคับบัญชาของนายไพโรจน เกื้อสวุรรณ อีกตอไป จึงไมมีอํานาจในการดําเนินการทางวินัยกับลูกจางประจํารายนี้

Page 26: กรมอุทยานแห งชาติสัตว ป า และพันธุ พืช พศ. 2550app.dnp.go.th/opac/multimedia/research/C00263/C00263-2.pdf ·

20

บทที่ 5

สรุปและขอเสนอแนะ สรุปผล กรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช ไมมีอํานาจดําเนินการทางวินัยกับนายไพโรจน เกื้อสุวรรณ ลกูจางประจํา ถึงแมศาลฎีกาจะไดมีคําพิพากษาถึงที่สุดใหนายไพโรจน เกื้อสุวรรณ จําคุก ในขณะที่นายไพโรจน เกื้อสุวรรณ สังกัดกรมอุทยานแหงชาติ สตัวปา และพันธุพืช กต็าม เนื่องจากขอเท็จจริงที่วา นายไพโรจน เกื้อสุวรรณ กระทําความผิดอาญาจนไดรับโทษจําคุก โดยคําพิพากษาถึงที่สุดใหจําคุกนั้น ปรากฏตอกรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช เมื่อนายไพโรจน เกื้อสุวรรณ ถูกตัดโอนไปสังกัดกรมปาไมแลว กรมปาไมผูบังคับบัญชาซึ่งไดรูวานายไพโรจน เกื้อสุวรรณ ลูกจางประจําในสังกัดมีกรณีกระทําผิดวินัยอยางรายแรง จึงเปนผูมีอํานาจหนาที่ในการดําเนินการทางวินัยตอไป ขอเสนอแนะ กรณีขาราชการตองหาคดีอาญา คดีแพง หรือคดีลมละลาย ไดมีมติคณะรัฐมนตรีตามหนังสือ ท่ี นว 826/2482 ลงวันที่ 2 พฤษภาคม 2482 วางแนวทางใหขาราชการผูนั้นรายงานใหกระทรวง ทบวง กรมเจาสังกัด จะไดทราบความเปนไปของขาราชการในสังกัด ซึ่งกรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช ก็ไดพิจารณาการรายงานเกี่ยวกับคดีอาญา คดีแพง และคดีลมละลาย ใหเปนไปในแนวทางเดียวกัน โดยใหผูบังคับบัญชาสั่งกําชับขาราชการ ลูกจางประจํา และพนักงานราชการในสังกัดวา เมื่อขาราชการ ลูกจางประจํา และพนักงานราชการผูใด ถูกเจาหนาที่ตํารวจเรียกตัวไปสอบสวนและตกเปนผูตองหา หรือถกูฟองในคดีอาญา หรือคดีแพง หรือคดีลมละลาย ใหขาราชการ ลูกจางประจํา และพนักงานราชการผูนั้น รีบรายงานเสนอผูบังคับบัญชาทราบตามลําดับภายในกําหนด 7 วัน นับแตวันที่ถูกเจาหนาที่ตํารวจเรียกตัวไปสอบสวนและตกเปนผูตองหา หรือวันที่ถูกฟองในคดีอาญา หรือคดแีพง หรือคดีลมละลาย

Page 27: กรมอุทยานแห งชาติสัตว ป า และพันธุ พืช พศ. 2550app.dnp.go.th/opac/multimedia/research/C00263/C00263-2.pdf ·

21 และใหผูบังคับบัญชาตามลําดับที่ไดรับทราบเรื่องรีบดําเนินการรายงานใหอธิบดีกรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช ทราบ ภายในกําหนด 15 วัน นับแตวันทราบ หรือควรจะทราบการตองหาคดีอาญา หรือคดีแพง หรือคดีลมละลายของขาราชการ ลกูจางประจํา และพนักงานราชการ ซึ่งเปนผูใตบังคับบัญชา ในการรายงานควรจะไดแจงใหอธิบดีกรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช ทราบถึงรายละเอียดในกรณีตอไปนี้ดวย คือ 1. ขาราชการ ลูกจางประจํา และพนักงานราชการ ผูนั้น ตองหาคดีในขอหาใด มีขอเท็จจริงในเบื้องตนประการใด 2. ขาราชการ ลูกจางประจํา และพนักงานราชการ ผูนั้น ถูกควบคุมตัว หรือถกูจับกุมที่ใด ต้ังแตเมื่อใด ไดมีการประกันตัวแลวหรือไม ต้ังแตเมื่อใด และมาปฏิบัติราชการตามปกติหรอืไม 3. การตองหาคดีของขาราชการ ลูกจางประจํา และพนักงานราชการผูนั้นเกิดความเสียหายแกทางราชการหรือไม เสียหายอยางไร ผูบังคับบัญชาเห็นวา ขาราชการและลูกจางประจําสมควรพักราชการ หรือใหออกจากราชการไวกอนหรือไม อยางไร สวนพนักงานราชการยังดําเนินการพักราชการ หรือใหออกจากราชการไวกอนไมได 4. การตองหาคดีของขาราชการ ลูกจางประจํา และพนักงานราชการผูนั้น ผูบังคับบัญชาไดดําเนินการแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนขอเท็จจริงอยางไรบางหรือไม ดังนั้น เมื่อตกเปนผูตองหา หรือถูกฟองคดี จึงเปนหนาที่ของขาราชการลูกจางประจําและพนักงานราชการทุกคนที่จะตองรายงานใหผูบังคับบัญชาทราบไปตาม ลําดับทันที โดยสงสําเนาคํากลาวหาหรือคําฟองและเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวของรวมทั้งชี้แจงเหตุผลและขอเท็จจริงไปใหทราบดวย ท้ังตองคอยติดตามผลคดี และรายงานผลการสอบสวนพิจารณาคดีของตนไปใหผูบังคับบัญชาทราบทุกระยะ เมือ่คดีถึงที่สุดไมวาจะโดยพนักงานอัยการสั่งไมฟอง หรือศาลมีคําพิพากษาถึงที่สุดแลวก็ตองรีบรายงานผลและสงเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวของ เชน สําเนาเอกสารการสอบสวนของพนักงานสอบสวนและผลการพิจารณาของพนักงานอัยการ สําเนาคําพิพากษาของศาลและหนังสือรับรองของศาลวาคดีถึงที่สุดแลว ไปใหผูบังคับบัญชาทราบโดยเร็ว ถาในกรณีท่ีตกเปนผูตองหาหรือถูกฟองคดีนั้น ผูบังคับบัญชาไดมีคําสั่งใหพักราชการหรือสั่งใหออกจากราชการไว

Page 28: กรมอุทยานแห งชาติสัตว ป า และพันธุ พืช พศ. 2550app.dnp.go.th/opac/multimedia/research/C00263/C00263-2.pdf ·

22 กอนเพื่อรอฟงผลการสอบสวนพิจารณาคดี หากภายหลังผลการสอบสวนพิจารณาปรากฏวา ตนไมมีความผิดใด ๆ หรือมีแตไมตองรับโทษหรือรอการลงโทษ หรือรอการลงอาญา ก็ใหย่ืนเรื่องราวขอกลับเขารบัราชการไปพรอมกันดวย

Page 29: กรมอุทยานแห งชาติสัตว ป า และพันธุ พืช พศ. 2550app.dnp.go.th/opac/multimedia/research/C00263/C00263-2.pdf ·

23

บรรณานุกรม กรมบัญชีกลาง. 2538. ระเบียบกระทรวงการคลังวาดวยลูกจางประจําของสวนราชการ พ.ศ. 2537 และระเบียบกระทรวงการคลังวาดวยบําเหน็จลูกจาง (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2537. กรุงเทพฯ. บริษัท สํานักพิมพพัฒนาหลักสูตร จํากัด. 2538. พระราชบัญญัติระเบียบขาราชการ พลเรือน พุทธศักราช 2535. กรุงเทพฯ. สํานักงาน ก.พ. 2547. คูมือการดําเนินการทางวินัย. กรุงเทพฯ.

Page 30: กรมอุทยานแห งชาติสัตว ป า และพันธุ พืช พศ. 2550app.dnp.go.th/opac/multimedia/research/C00263/C00263-2.pdf ·

24

ภาคผนวก

Page 31: กรมอุทยานแห งชาติสัตว ป า และพันธุ พืช พศ. 2550app.dnp.go.th/opac/multimedia/research/C00263/C00263-2.pdf ·