01 ตรรกศาสตร์ (logic)
TRANSCRIPT
ตรรกศาสตร์ (logic)
ความหมายของตรรกศาสตร์
Logic = Science of reasoning
ศาสตร์ที่เกยวขอ้งการพิจารณาี่ การสรุป การพิสูจน ์คาํกลาวอา้งตางๆ่ ่ ที่
อยใูนรูปแบบของประพจน์่ วาเป็น่ จริงหรือเทจ็ อนัเป็นรากฐานที่สาํคญั
ในการศึกษาวิชาที่เกยวขอ้งกบคอมพิวเตอร์ี่ ั
Proposition (ประพจน)์
คือประโยคที่มีคาความจริงเป็นจริงหรือเป็นเทจ็่ อยางใดอยางหนึ่งเทานนั่ ่ ่ ้
สญัลกัษณ์ที่นิยมนาํมาใชแ้สดงคาความจริงคือ่
T หรือ 1 สาํหรับประพจน์ที่เป็น “จริง”
F หรือ 0 สาํหรับประพจน์ที่เป็น “เทจ็”
ยกตวัอยางเชน่ ่
วนันีเป็นวนัพธุ้
นกัศึกษาในหอ้งนีตงัใจเรียน้ ้
2+2 = 4
Proposition (ประพจน)์
ประโยคที่เป็นประพจน์
กทม. เป็นเมืองหลวงของประเทศไทย
2+2 = 5วนันีฝนตก้
ประโยคที่ไมเป็น่ ประพจน์
กรุณาตงัใจเรียน้
ออกไปขา้งนอกเดี๋ยวนี้!
X + 2 = 5ตอนนีเวลาอะไร้ ?
ตวัแปรเชิงประพจน ์(Propositional variables)
คือสญัลกัษณ์ที่ใชแ้ทนประพจน์
นิยมใชต้วัอกัษร P, Q, R, S, U, … หรือ P1, P2, P3, …
ตวัอยาง่
P : กทม เป็นเมืองหลวงของประเทศไทย
Q : วชิา Discrete Mathematics งาย่
R : นกัศึกษาตงัใจเรียน้
S : วนันีวนั้ พธุ
ประพจน์ผสม (Compounded propositions)คือประพจน์ที่ประกอบดว้ยประพจน์ยอยและตวัดาํเนินการตรรกะตางๆ่ ่ ตวัดาํเนินการตรรกะ ทาํหนา้ที่เชื่อมประพจน์สองประพจนเ์พื่อสร้างประพจนใ์หมที่ซบัซอ้นขึน่ ้ ตวัดาํเนินการตรรกะไดแ้ก่
ตวัดาํเนินการ ”นิเสธ”(not) ใชส้ญัลกัษณ์ ∼ตวัดาํเนินการ ”และ” (and) ใชส้ญัลกัษณ์ ∧ตวัดาํเนินการ ”หรือ” (or) ใชส้ญัลกัษณ์ ∨
ตวัดาํเนินการ ”ถา้ แลว้”(if… then) ใชส้ญัลกัษณ์ →ตวัดาํเนินการ ”กตอเมื่อ็ ่ ”(if and only if) ใชส้ญัลกัษณ์ ↔
ตัวดําเนนิการพืน้ฐาน
ตัวดําเนนิการแบบมีเงื่อนไข
ตวัอยางประพจนผ์สม่
วนันีฝน้ ไม่ตก แทนดว้ย ∼P
วนันีเป็นวนัพธุ้ และวนันีฝนตก้
แทนดว้ย P ∧ Qนกัศึกษาหอ้งนีตงัใจเรียน้ ้ หรือนกัศึกษาแตงกายเรียบร้อย่
แทนดว้ย R ∨ Sถา้นกัศึกษาตงัใจเรียน้ แลว้นกัศึกษาสอบผานวชิานี่ ้
แทนดว้ย R → Uนกัศึกษาสอบผานวชิานี่ ้ กตอเมื่อ็ ่ นกัศึกษาทาํคะแนนไดเ้กนิ 50
แทนดว้ย U ↔ V
ตารางคาความจริง่ (Truth table)
ใชแ้สดงคาความจริงทุก่
กรณีที่เป็นไปไดข้อง
ประพจน์
จาํนวนแถวของตารางที่คา่
เทากบ่ ั 2k โดยที่ k เป็น
จาํนวนตวัแปรประพจน์ FFF
TTF
TFT
TTT
p ∨ qqp
ตวัอยางดาํเนินการตรรกะพืนฐาน่ ้
ตวัดาํเนินการ นิเสธตวัดาํเนินการ และตวัดาํเนินการ หรือ
ตวัดาํเนินการ นิเสธ
เปลี่ยนจากจริงเป็นเทจ็
และเปลี่ยนจากเทจ็เป็นจริง
TF
FT
~pp
ตวัดาํเนินการ และ
เป็นจริงกรณีเดียวคือ
ทงัสองประพจน์เป็นจริง้
กรณีอื่น ๆ เป็น เทจ็
FFF
FTF
FFT
TTT
p∧qqp
ตวัดาํเนินการ หรือ
เป็นเทจ็กรณีเดียวคือ
ทงัสองประพจน์เป็นจริง้
กรณีอื่น ๆ เป็น จริง
FFF
TTF
TFT
TTT
p∨qqp
ตวัดาํเนินการ exclusive or
เป็นจริงเมื่อคาความจริง่
ของทงัสองประพจน์้
ตาง่ กนั
FFF
TTF
TFT
FTT
p⊕qqp
สจันิรันดร์ (tautology)
คือ ประพจน์ผสมที่มีคาความจริง่
เป็น จริง ในทุกกรณี
TTF
TFT
p∨~p~pp
ขอ้ขดัแยง้ (contradiction)
คือ ประพจน์ผสมที่มีคาความจริง่
เป็น เทจ็ ในทุกกรณี
FTF
FFT
p∧~p~pp
ความสมมูลกนเชิงตรรกะัคือความเหมือนกนเชิงตรรกะั ของประพจน์สองประพจน์ที่มี
คาความจริงเหมือนกนทุกกรณี่ ั
ยกตวัอยางเชน่ ่
สุนขัเหาและแมวร้อง่ สมมูลกบั แมวร้องและสุนขัเหา่
F
F
F
T
p∧q
FFF
FTF
FFT
TTT
q∧pqp
ความสมมูลกนเชิงตรรกะั
ให ้P และ Q เป็นประพจนใ์ด ๆ
เรากลาววาประพจน์่ ่ P สมมูลเชิงตรรกะกบประพจน์ั Q
ถา้คาความจริงของ่ ประพจน ์P เหมือนกบคาความจั ่ ริง
ของประพจน ์Q ในทุกกรณีที่เป็นไปได ้
แทนดว้ยสญัลกัษณ์ P ≡ Q
การทดสอบความสมมูลเชิงตรรกะ
ทดสอบได ้2 วธิี คือ
ใชต้ารางคาความจริง่
เหมาะสาํหรับในกรณีที่มีตวัแปรประพจน์จาํนวนนอ้ย เนื่องจาก
จาํนวนกรณีของคาความจริงที่เป็นไปได้่ เทากบ่ ั 2k โดยที่ k เป็น
จาํนวนตวัแปรประพจน ์
ใชว้ธิีพิจารณากฎการสมมูล
เหมาะสาํหรับในกรณีที่มีตวัแปรประพจนเ์ป็นจาํนวนมาก
กฎการสมมูลเชิงตรรกะ1. กฎการสลบัที่ (Commutative laws)
p∨q ≡ q∨p p∧q ≡ q∧p
2. กฎการจดักลุม่ (Associative laws)
(p∨q)∨r ≡ p∨(q∨r ) (p∧q)∧r ≡ p∧(q∧r )
3. กฎการแจกแจง (Distributive laws)
p∨(q∧r ) ≡ (p∨q)∧(p∨r) p∧(q∨r ) ≡(p∧q)∨(p∧r)
4. กฎเอกลกัษณ์ (Identity laws)
p∧T ≡ p p∨F≡ p
5. กฎนิเสธ (Negation laws)
p ∨∼p ≡T p ∧∼p ≡ F
6. กฎนิเสธซอ้น (Double negative law)
~(~p) ≡ p
กฎการสมมูลเชิงตรรกะ7. กฎการสะทอ้น (Idempotent laws)
p∨p ≡ p p∧p ≡ p
8. กฎการครอบครอง (Universal bound laws)
p∨T ≡ T p∧F≡ F
9. กฎเดอมอร์แกน (De Morgan’s laws)
~(p∧q) ≡ ~p∨~q ~(p∨q) ≡ ~p∧~q
10. กฎการดูดซบั (Absorption laws)
p∨(p∧q) ≡ p p∧(p ∨ q ) ≡ p
11. กฎนิเสธของสจันิรันดร์ และนิเสธของขอ้ขดัแยง้ (Negation of T and F)
∼T ≡F ∼ F ≡T
ตวัอยาง่
จงแสดงใหเ้ห็นวา่ ∼(∼P∧Q) ∧(P∨Q) ≡ P
ตวัอยางดาํเนินการตรรกะแบบมีเงื่อนไข่
เงื่อนไขทางเดียว
ตวัดาํเนินการ ถา้…แลว้
เงื่อนไขสองทาง
ตวัดาํเนินการ กตอเมื่อ็ ่
ตวัดาํเนินการ ถา้…แลว้
เป็นจริงกรณีเดียวคือ
ประพจน์สวนหนา้เป็นจริง่
และพจน์สวนหลงัเป็นเทจ็่
TFF
TTF
FFT
TTT
p→qqp
ความสมมูลเชิงตรรกะของที่เกยวขอ้งี่
(P→Q) ≡∼ P∨Q
(P→Q) ≡ ∼Q→ ∼P
(P∨Q)→R ≡ (P→R) ∨(Q→R)
ตวัดาํเนินการ กตอเมื่อ็ ่
เป็นจริงเมื่อคาความจริง่
ของทงัสองประพจน์้
เหมือนกนั
TFF
FTF
FFT
TTT
p↔qqp
Argument (การอา้งเหตุผล)
การอา้งเหตุผลประกอบดว้ยลาํดบัของสมมติฐาน(premises) และขอ้สรุป (conclusion)
ตวัอยางเชน่ ่
p1 : ถา้นกัศึกษาตงัใจเรียน้ แลว้นกัศึกษาไดเ้กรด Ap2 : นกัศึกษาตงัใจเรียน้
∴ q : นกัศึกษาไดเ้กรด A
(p1∧ p2)→q
รูปทวัไปของการอา้งเหตุผล่
p1 : สมมติฐาน 1p2 : สมมติฐาน 2: :
pn : สมมติฐาน n∴ q : ขอ้สรุป
การอา้งเหตุผลจะสมเหตุสมผลกตอเมื่อ็ ่
(p1∧ p2 ∧…. ∧ pn)→q เป็นสจันิรันดร์เขียนอีกรูปแบบหนึ่งวา่ p1, p2 , …. , pnt q
Valid (สมเหตุสมผล) and Invalid
การอา้งเหตุผลจะสมเหตุสมผล ถา้สมมติฐานทงัหมดเป็นจริงและ้
ขอ้สรุปเป็นจริงดว้ย
ตวัอยางเชน่ ่
ถา้นกัศึกษาตงัใจเรียน้ แลว้นกัศึกษาไดเ้กรด Aนกัศึกษาตงัใจเรียน้
∴ นกัศึกษาไดเ้กรด A
ตวัอยาง่ การอา้งเหตุผลอยางสมเหตุสมผล่ (Valid argument)
P∨(Q∨R)∼R
∴ P ∨ Q
การอา้งเหตุผลที่ไมสมเหตุสมผล่ (Invalid argument)P→Q∨∼RQ →P∧R
∴ P→ R
การพิสูจนก์ารอา้งเหตุผล
ทาํไดส้องวธิี ไดแ้ก่การใชต้ารางคาความจริง่
การใชก้ฎการอนุมาน (Rules of inference)
Rule of inference กฎการอนุมานModus Ponens
P→Q , Pt QModus Tollens
P→Q , ∼Qt ∼PGeneralization
Pt P∨QQt P∨Q
SpecializationP∧Qt PP∧Qt Q
Rule of inference กฎการอนุมานConjunction
P, Qt P∧QElimination
P∨Q , ∼Qt PP∨Q , ∼Pt Q
TransitivityP→Q, Q→Rt P→R
Proof by division into casesP∨Q, P→R, Q→Rt R
Contradiction rule∼P →Ft P
ตวัอยาง่ สมมติวาเราออกไปโรงเรียนเชา้วนัหนึ่ง่ แตเมื่อไปถึงโรงเรียนแลว้่
เราหาแกวนาํไมเจอ้ ่้ เราพยายามนึกวาแกวนาํอยทูี่ไหน่ ้ ่้ จากประพจน์ตอไปนี่ ้
p1 : ถา้แกวนาํอยบูนโตะ๊ในหอ้งครัว้ ่้ เรากตอ้งเห็นแกวนาํตอนทานอาหารเชา้็ ้ ้
p2 : ตามปกติแลว้ เราอานหนงัสือพิมพใ์นหอ้งนงัเลน่ ่่ หรือไมเรากอาน่ ็ ่หนงัสือพิมพใ์นหอ้งครัว
p3 : ถา้เราอานหนงัสือพิมพใ์นหอ้งนงัเลน่ ่่ แกวนาํกตอ้งวางอยบูนโตะ๊กาแ้ ็ ่้ ฟในหอ้งนงัเลน่ ่
p4 : เราไมเห็นแกวนาํตอนอาหารเชา้่ ้ ้
p5 : ถา้เราอานหนงัสือในหอ้งนอน่ แกวนาํกตอ้งวางอยบูนโตะ๊ในหอ้งนอน้ ็ ่้
p6 : ถา้เราอานหนงัสือพิมพใ์นหอ้งครัว่ แกวนาํกตอ้งวางอยบูนโตะ๊ในหอ้งครัว้ ็ ่้
ถามวาเราลืมแกวนาํไวท้ี่ไหน่ ้ ้
เราพยายามหาคาํตอบจากการอนุมานเชิงตรรกะไดด้งันี้
q1 : แกวนาํไมอยบูนโตะ๊ในหอ้งครัว้ ่ ่้ (จาก p1, p4 และ Modus tollens)
q2 : เราไมไดอ้านหนงัสือพิมพใ์นหอ้งครัว่ ่ (จาก p6, q1 และ Modus tollens)
q3 : เราอานหนงัสือพิมพใ์นหอ้งนงัเลน่ ่่ (จาก p2, q2 และ elimination)
q4 : แกวนาํอยบูนโต๊ะกาแฟในหอ้งนงัเลน้ ่ ่้ ่ (จาก p3, q3 และ Modus ponens)
แบบฝึกหดั
จงแสดงวา่ [(p→q)∨(p→r)] →(q ∨r) ≡ p∨q∨r
จงแสดงวา่ p∨(q∧r) ≡ (p∨q) ∧(p∨r)
จงแสดงวา่ ~[p∨(~p∧q)] ≡ ~p∧~q