1.ขอ้ใดจดัประเภทของสารเคมใีนสิง่มชีวีติประเภทเดียวกัน ก. น้ำ�า ไขมนั กลโูคส ข. แคลเซยีม กรดนิวคลีอิก น้ำ�ามนั ค. กรดอะมโิน ฟรกัโตส ไกลโคเจน ง. แมกนีเซยีม ฟอสฟอรสั วติามนิเค 2. สารเคมท่ีีมมีากท่ีสดุในเซลล์สิง่มชีวีติได้แก่น้ำ�า จากความส้ำาคัญขอ้นี�ของน้ำ�านักเรยีนควรปฏิบติัตนอยา่งไร ก. หลีกเล่ียงการออกก้ำาลังกายหนัก เพื่อป้องกันการสญูเสยีน้ำ�า ข. ด่ืมน้ำ�าบรสิทุธิ ์เชน่น้ำ�ากลัน่ เป็นประจ้ำาทกุวนั เพื่อท้ำาความสะอาดเซลล์ ค. ด่ืมน้ำ�าก่อนรบัประทานอาหารทกุครั �ง เพื่อการล้ำาเลียงไปเซลล์อยา่งรวดเรว็ ง. ด่ืมน้ำ�าสะอาดอยา่งน้อยวนัละ 8 -10 แก้วเป็นประจ้ำาทกุวนั เพื่อรกัษาดลุยภาพของรา่งกาย3. จากแผนภาพประจุของสารละลายควรเป็นประจุชนิดใด

4. สมบติัของน้ำ�าขอ้ใดที่เกี่ยวขอ้งกับการเกิดปฏิกิรยิาภายในเซลล์น้อยท่ีสดุ ก. น้ำ�าเป็นโมเลกลุที่มขีั �ว ข. น้ำ�าสามารถจุความรอ้นได้สงู ค. โมเลกลุน้ำ�าสามารถแตกตัวเป็นไอออนได้ ง. โมเลกลุของน้ำ�าจบัเกาะกันด้วยพนัธะไฮโดรเจน

1

ก. ออกซเิจนประจุบวก ตัวละลายประจุบวก ข. ออกซเิจนประจุลบ ตัวละลายประจุบวก ค. ออกซเิจนประจุบวก ตัวละลาย

5.ในการเดินทาง หรอืก่อนออกก้ำาลังที่ต้องมกีารเสยีเหง่ือมากๆควรด่ืมน้ำ�าผสมเกลือเพื่อจุดประสงค์ใด ก. ป้องกันมใิหเ้มื่อย

ข. ป้องกันเหง่ือออก ค. กันมใิหเ้ป็นตะครวิ ง. ป้องกันการปวดปัสสาวะ

6.ขอ้ความต่อไปนี�ขอ้ใดไมถ่กูต้อง ก. สว่นประกอบของเนื�อสตัวม์ธีาตเุหล็กอยูน้่อยกวา่แคลเซยีม ข. เนื�อเยื่อในคนสว่นท่ีมธีาตเุหล็กอยูม่ากท่ีสดุคือตับ ค. อัตราการดดูซมึเหล็กผ่านผนังล้ำาไสเ้ล็กจะไมค่งท่ีอยูต่ลอดเวลา ง. แหล่งสะสมเกลือแรเ่หล็กคือตับ7. ขอ้ใดท่ีมคีวามสมัพนัธก์ันมากที่สดุในแง่โภชนาการ ก. ไอโอดีน – ฮีโมโกลบนิ ข. ไอโอดีน – ฮีโมฟเีลีย ค. เหล็ก – ฮีโมโกลบนิ ง. เหล็ก – ฮีโมฟเีลีย8. พชืท่ีมใีบสเีหลืองเกือบทั�งต้นแสดงถึงการขาดส้ำาคัญธาตใุด ก. ไนโตรเจน – แมกนีเซยีม เน่ืองจากเป็นองค์ประกอบของคลอโรฟลิล์ ข. ไนโตรเจน – แคละซยีม เน่ืองจากเป็นตัวกระตุ้นในการสรา้งเอนไซม์ ค. แคลเซยีม –มะถันถัน เนืองจากเป็นองค์ประกอบของโปรตีน ง. โพแทสเซยีม -ฟอสฟอรสั เน่ืองจากเป็นองค์ประกอบของเยื่อหุม้เซลล์9. ในขณะที่รา่งกายอ่อนเพลียมากๆ สารอาหารพวกใดที่เราควรรบัประทาน เพื่อใหร้า่งกายเป็นปกติในเวลาสั �นๆเพราะเหตใุด

ก) กรดอะมโิน เพราะถกูดดูซมึเขา้สูก่ระแสโลหติได้เรว็

2

ข) กรดไขมนั เพราะเป็นสารท่ีใหพ้ลังงานสงูสดุค) น้ำ�าตาลกลโูคส เพราะจะถกูน้ำาไปใชใ้หเ้กิดพลังงานได้เรว็กวา่

อาหารอ่ืนง) น้ำ�าเกลือ เพราะเป็นสารอาหารท่ีใชท้ดแทนแรธ่าตท่ีุสญูเสยีไป

10.สารอินทรยีท์กุชนิดต้องมสีารใดเป็นองค์ประกอบเสมอก) ออกซเิจน คารบ์อน ข) ออกซเิจน

ไฮโดรเจน ค) คารบ์อน ไฮโดรเจน ง) ไนโตรเจน

ออกซเิจน11. ตามรายงานขององค์การอาหารและเกษตรแหง่สหประชาชาติ แจง้วา่ค่าเฉล่ียนพลังงานที่พลโลกควรได้รบันั�นประมาณวนัละ 2,800 กิโลแคลอร ีทั�งนี�ควรได้พลังงานจากสารอาหารใดมากท่ีสดุ เรยีงตามล้ำาดับ

ก) ไขมนั คารโ์บไฮเดรต โปรตีน ข) คารโ์บไฮเดรต ไขมนั โปรตีน

ค) โปรตีน ไขมนั คารโ์บไฮเดรต ง) คารโ์บไฮเดรต โปรตีน ไขมนั12. ขอ้ใดท่ีมอีนุภาคขนาดเล็กท่ีสดุ ก). monosaccharide ข.) polysaccharide

ค.) polypeptide ง.) tripeptide13. สารอาหารในขอ้ใดท่ีมธีาตเุป็นองค์ประกอบเหมอืนกัน แต่การจดัเรยีงตัวของอะตอมโครงสรา้งต่างกัน

ก.) นมสด- น้ำ�ากะทิ ข.) ขา้วสกุ – เนื�อหมูค.) น้ำ�าผึ�ง – นมขน้หวาน ง.) ปลาทู – ถัว่เหลือง

14. หมูจะมลัีกษณะอ้วนและมไีขมนัมากเมื่อเลี�ยงด้วยอาหารพวกร้ำา ปลายขา้ว เป็นเพราะเหตใุด

ก) เปล่ียนคารโ์บไฮเดรตในอาหารเป็นไขมนั ข) เปล่ียนโปรตีนมนอาหารเป็นไขมนั

ค) มกีารดดูซมึเฉพาะไขมนัที่ล้ำาไสเ้ล็ก ง) น้ำาคารโ์บไฮเดรตไปผลิตพลังงานเหลือไขมนัไว้

3

15. จากแผนภาพโครงสรา้งของคารโ์บไฮเดรตต่อไปนี� สามารถพบในอาหารประเภทใด

ก. น้ำ�านม ข. น้ำ�าตาลทรายค. น้ำ�าผึ�ง ง. น้ำ�าอ้อย

16. จากแผนภาพโครงสรา้งคารโ์บไฮเดรต ขอ้ใดถกูต้องท่ีสดุ

17. อาหารจดั วา่มี

โปรตีนต้ำ่า แคลอรสีงูคือขอ้ใดก) อ้อย ข) เนื�อสตัว์ ค) มนัฝรัง่ ง) ขา้วโพด

ตัวเลือก

ประเภท พนัธะเคมี

จ้ำานวนโมเลกลุน้ำ�าท่ีเกิด

ก. มอโนแซก็คาไรด์ ไอออนิก 1

ข. โอลิโกแซก็คาไรด์ ไกลโคซิดิก

2

ค. พอลิแซก็คาไรด์ ไฮโดรเจน

3

ง. พอลิแซก็คาไรด์ เพปไทด์ 4

4

18.โปรตีนจากพชืท่ีนับวา่มคีณุค่าสงูทัดเทียมกับโปรตีนจากสตัวนั์ �น จะได้รบัจากอาหารขอ้ใด

ก) ลอดชอ่งน้ำ�ากะทิ ข) ถัว่ตัดโรยงาค) ขา้วเหนียวมะมว่ง ง) ขนมหมอ้แกง

19. เหตใุดเราจงึจ้ำาเป็นจะต้องกินโปรตีนก) เราต้องการโปรตีนเพื่อใชใ้นการสรา้งเอนไซม์ข) โปรตีนเป็นแหล่งพลังานที่ส้ำาคัญท่ีสดุค) รา่งกายเราไมส่ามารถสงัเคราะหก์รดอะมโินหลายชนิดง) รา่งกายเราไมส่ามารถสงัเคราะหโ์ปรตีนได้

20. เพปไทด์ประกอบด้วยกรดอะมโิน 5 ชนิด ชนิดละ 1 โมเลกลุ จะสามารถมสีายเพปไทด์ท่ีมลี้ำาดับของกรดอะมโินที่แตกต่างกันได้กี่แบบ

ก. 5 แบบ ข. 25 แบบค. 100 แบบ ง. 120 แบบ

21.ขอ้ใดเป็นกรดอะมโินที่จ้ำาเป็นทั�งหมดก. อารจ์นีิน ฮีสทิดีน วาลีนข. กลตูามกิ ลิวซนี ไลซนีค. อะลานีน ทรโีอนีน เมไทโอนีนง. ลิวซนี ไลซนี โพรมนี

ค้ำาชี�แจง ศึกษาขอ้มูลท่ีก้ำาหนดให ้ แล้วตอบค้ำาถามขอ้ 22-231.ใหพ้ลังงานแก่เซลล์2. ซอ่มแซมสว่นที่สกึหรอของรา่งกาย3. เสรมิสรา้งสว่นของรา่งกายใหเ้จรญิเติบโต4. ควบคมุสมดลุและการท้ำางานของอวยัวะต่างๆ

22.หน้าท่ีหลักของกลโูคสคือขอ้ใดก) 1 ข) 1 และ 2ค) 2 และ 3 ง) 4

23. อาหารประเภทโปรตีนได้แก่ขอ้ใดบา้ง ก) 1 และ 2 ข) 2 และ 3

5

ค) 1 2 และ 3 ง) 1 2 3 และ 4

ค้ำาชี�แจง ศึกษาขอ้มูลต่อไปนี�แล้วตอบค้ำาถามขอ้ 24

นักชวีวทิยาท่านหน่ึงได้ท้ำาการทดลองเลี�ยงหนู 3 กลุ่มด้วยอาหารท่ีแตกต่างกันดังนี�

กลุ่มที่ 1 เลี�ยงลกูด้วยโปรตีนจากน้ำ�านม แป้ง น้ำ�าตาล น้ำ�ามนัหมู เกลือ

กลุ่มที่ 2 เลี�ยงลกูด้วยโปรตีนจากนม และน้ำ�านม 1 cm3 ทกุวนั เป็นเวลา 10 วนั

กลุ่มที่ 3 เลี�ยงด้วยน้ำ�านม 3 cm3 ทกุๆวนั ผลการทดลองเป็นดังกราฟ

( วัน )

24. ผลการทดลองยงัพบวา่หนูในกลุ่มที่ 1 ไมแ่ขง็แรง เจบ็ป่วยและจะตายลงในไมช่า้ นักเรยีนจะใชข้อ้ใดอธบิายผลการทดลองนี�

ก. ในแป้ง น้ำ�าตาล น้ำ�ามนัหมู และเกลือมสีารอาหารที่เรง่การเจรญิเติบโตของรา่งกาย

ข. ในน้ำ�านมมสีารอาหารที่ชว่ยใหร้า่งกายท้ำางานอยา่งเป็นปกติค. ในน้ำ�านมมสีารอาหารที่ใหพ้ลังงานมากกวา่แป้ง น้ำ�าตาล และ

เกลือง. ในน้ำ�านมมสีารอาหารที่รา่งกายต้องการครบถ้วนทกุชนิด

6

25. เพปไทด์ประกอบด้วยกรดอะมโิน 5 ชนิด ชนิดละ 1 โมเลกลุ จะสามารถมสีายเพปไทด์ท่ีมลี้ำาดับของกรดอะมโินที่แตกต่างกันได้กี่แบบ

ก. 5 แบบ ข. 25 แบบค. 100 แบบ ง. 120 แบบ

26..ขอ้ใดเป็นกรดอะมโินที่จ้ำาเป็นทั�งหมดก. อารจ์นีิน ฮีสทิดีน วาลีนข. กลตูามกิ ลิวซนี ไลซนีค. อะลานีน ทรโีอนีน เมไทโอนีนง. ลิวซนี ไลซนี โพรมนี

27. จากสตูรโครงสรา้งของลิพดิต่อไปนี� ขอ้ใดถกูต้องท่ีสดุ

ตัวเลือก จ้ำานวนโมเลกลุลิพดิ กรดไขมนั น้ำ�า

7

ก. 1 1 1ข. 1 2 3ค. 1 3 3ง. 3 3 4

28. จากสตูรโครงสรา้งต่อไปนี� น่าจะเป็นกรดไขมนัชนิดใด และพบได้ท่ีแหล่งใด

ก) กรดไขมนัชนิดอ่ิมตัว พบในน้ำ�ามนัไก่ น้ำ�ามนัมะพรา้วข) กรดไขมนัชนิดอ่ิมตัว พบในน้ำ�ามนัถัว่เหลือง น้ำ�ามนังาค) กรดไขมนัชนิดไมอ่ิ่มตัว พบในน้ำ�ามนัดอกทานตะวนั น้ำ�ามนั

ดอกค้ำาฝอยง) กรดไขมนัชนิดไมอ่ิ่มตัว พบในน้ำ�าปาล์ม น้ำ�ามนัเมล็ดฝ้าย

29. เราสามารถพบปรมิาณกรดไขมนัตามสตูรโครงสรา้งต่อไปนี�มาก

ท่ีสดุจากที่ใดก) กรดไขมนัชนิดอ่ิมตัว พบในน้ำ�ามนัไก่ น้ำ�ามนัมะพรา้วข) กรดไขมนัชนิดอ่ิมตัว พบในน้ำ�ามนัถัว่เหลือง น้ำ�ามนังาค) กรดไขมนัชนิดไมอ่ิ่มตัว พบในน้ำ�ามนัดอกทานตะวนั น้ำ�ามนั

ดอกค้ำาฝอย

8

ง) กรดไขมนัชนิดไมอ่ิ่มตัว พบในน้ำ�าปาล์ม น้ำ�ามนัเมล็ดฝ้าย

30.ขอ้ใดเป็นกรดไขมนัที่จ้ำาเป็นต่อรา่งกาย ก) กรดไลโนเลอิก กรดบวิไทรกิ กรดอะแรคไคโดนิกข) กรดอะแรคไคโดนิก กรดคารบ์อรกิ กรดไลโนเลนิกค) กรดไลโนเลอิก กรดบวิไทรกิ กรดไลโนเลนิก ง) กรดไลโนเลอิก กรดไลโนเลนิก กรดอะแรคไคโดนิก

31. ถ้านักเรยีนต้องการทอดน่องไก่ใหเ้หลืองกรอบนาน ควรเลือกใชน้้ำ�าชนิดใด เน่ืองจากสาเหตใุด

ก) น้ำ�ามนัร้ำาขา้ว เน่ืองจากจุดหลอมเหลวสงูข) น้ำ�ามนัถัว่เหลือง เน่ืองจากมปีรมิาณกรดไขมนัไมอิ่่มตัวสงูค) น้ำ�ามนัปลา เน่ืองจากสามารถลดระดับคอเลสเตอรอลใน

เลือดได้ง) น้ำ�ามนังา เน่ืองจากสามารถเพิม่ปรมิาณโปรตีนใน

รา่งกายได้32. ขอ้ใดไมใ่ชส่ตูรโครงสรา้งของลิพดิ

9

ง

ข

ค

ก

33. สารที่เป็นตัวกลางในการล้ำาเลียงวติามนิ เอ และวติามนิ เค เขา้สู่รา่งกายคือขอ้ใด

ก) โปรตีน ข) ไขมนัค) น้ำ�า ง) วติามนิบี 12

34.วติามนิท่ีควบคมุการดดูซมึแคลเซยีมและฟอสฟอรสัในล้ำาไสคื้อขอ้ใดก) วติามนิบี 1 ข) วติามนิ เคค) วติามนิ ดี ง) วติามนิบี อี

ค้ำาชี�แจง ศึกษาขอ้มูลท่ีก้ำาหนดต่อไปนี�แล้วตอบค้ำาถามขอ้ 35-361.โลหติจาง2. เลือดแขง็ตัวชา้3. ความต้านทานโรคอ่อนท้ำาใหติ้ดเชื�อง่าย4. ผิวหนังหยาบแหง้5. โรคปากนกกระจอก6. โรคตาฟางเวลากลางคืน

35. โรคขาดวติามนิ เอ จะมอีาหารอยา่งไรก) 1 และ 5 ข) 5 และ 6ค) 3 และ 6 ง) 1 2 และ 3

36. โรคขาดวติามนิ บสีอง จะมอีาการอยา่งไรก) 2 และ 4 ข) 4 และ 5ค) 5 และ 6 ง) 1 และ 5

ค้ำาชี�แจง ศึกษาขอ้มูลต่อไปนี� ตอบค้ำาถามขอ้ 37-381. น้ำ�าตาลดีออกซไีรโบส2. น้ำ�าตาลไรโบส3. หมูฟ่อสเฟต4. เบสที่มธีาตไุนโตรเจนเป็นองค์ประกอบ

37. DNA ประกอบด้วยโครงสรา้งใดบา้งก) 1 2 และ 4 ข) 1 3 และ 4

10

ค) 2 3 และ 4 ง) 1 2 และ 338. RNA ประกอบด้วยโครงสรา้งใดบา้ง

ก) 1 2 และ 4 ข) 1 3 และ 4ค) 2 3 และ 4 ง) 1 2 และ 3

39.ขอ้ใดถกูต้องจากแผนภาพสตูรโครงสรา้งของกรดนิวคลีอิก

40. แผนภาพต่อไปนี� เป็นแผนภาพโครงสรา้งของสารชนิดใด มหีน้าที่อะไร

s

ตัวเลือก

หมายเลข 1 หมายเลข 2 หมายเลข 3

ก หมูเ่บส หมูฟ่อสเฟต หมูน่้ำ�าตาลข หมูน่้ำ�าตาล หมูเ่บส หมูฟ่อสเฟตค หมูน่้ำ�าตาล หมูฟ่อสเฟต หมูเ่บสง หมูฟ่อสเฟต หมูน่้ำ�าตาล หมูเ่บส

11

2

3

1

ก) RNA ท้ำาหน้าที่ใหส้ารที่มพีลังงานสงูข) DNA ท้ำาหน้าที่บนัทึกขอ้มูลทางพนัธุกรรมค) RNA ท้ำาหน้าที่สรา้งความเจรญิเติบโตของรา่งกายง) DNA ท้ำาหน้าที่เป็นสว่นประกอบโครงสรา้งของรา่งกาย

41. กราฟแสดงปฏิกิรยิาเคมต่ีอไปนี� เป็นปฏิกิรยิาเคมแีบบใดและเกิดขึ�น

กระบวนการใดในรา่งกาย

ก) ปฏิกิรยิาคายพลังงาน กระบวนการหายใจข) ปฏิกิรยิาดดูพลังงาน กระบวนการหายใจค) ปฏิกิรยิาคายพลังงาน กระบวนการเจรญิเติบโตง) ปฏิกิรยิาดดูพลังงาน กระบวนการเจรญิเติบโต

42. จงพจิารณาขอ้ความต่อไปนี� 1. เอนไซมท์กุชนิดเป็นสารประกอบประเภทโปรตีน 2. เอนไซมท์กุชนิดชว่ยเพิม่พลังงานกระตุ้นเพื่อเรง่ปฏิกิรยิาเคมี 3. หลังเกิดปฏิกิรยิาแล้วเอนไซมจ์ะไมเ่ปล่ียนสภาพและไมส่ญูหาย

12

ขอ้ใดกล่าวถึงเอนไซมไ์ด้ถกูต้องก) 1 และ 2 ข) 1 และ 3ค) 2 และ 3 ง) 1 2 และ 3

43. ตัวยบัยั�งเอนไซมแ์บบแขง่ขนัจะมลัีกษณะคล้ายกับสารใดมากท่ีสดุก) สารตั�งต้น ข) เอนไซม์ค) สารผลิตภัณฑ์ ง) โคเอนไซม์

44.. ในรา่งกายขณะที่เกิดปฏิกิรยิาเคมี สิง่ที่เปล่ียนแปลงมากที่สดุคือสิง่ใด

ก) สารตั�งต้น ข) เอนไซม์ค) สารผลิตภัณฑ์ ง) พลังงาน

45.. นักเรยีนจะสรุปได้วา่อยา่งไร ถ้าปรมิาณของสารตั�งต้นคงที่ อัตราการเกิดปฏิกิรยิาเคมไีด้กราฟดังนี� อัตราการปฏิกิรยิา

ความเขม้ขน้ของเอนไซม์

ก) ความเขม้ขน้ของเอนไซมไ์มม่ผีลต่ออัตราการเกิดปฏิกิรยิาเคมีข) ถ้าเพิม่ความเขม้ขน้ของเอนไซม์ โดยปรมิาณของสารตั�งต้นคงท่ี

อัตราการเกิดปฏิกิรยิาจะลดลงค) ถ้าเพิม่ความเขม้ขน้ของเอนไซม์ โดยปรมิาณของสารตั�งต้นคงท่ี

อัตราการเกิดปฏิกิรยิาจะเพิม่ขึ�น

13

ง) ถ้าเพิม่ความเขม้ขน้ของเอนไซม์ โดยปรมิาณของสารตั�งต้นคงท่ี อัตราการเกิดปฏิกิรยิาจะเพิม่ขึ�นจนถึงจุดหน่ึงจะคงที่

46. ศึกษาภาพต่อไปนี� เด็กชายคนหน่ึงหกล้มเจบ็ที่ขอ้เท้า แมข่องเขาใช้ถงุเยน็ประคบใหเ้พื่อชว่ยบรรเทาอาหารปวดและท้ำาใหข้อ้เท้าหายเรว็ขึ�น

ปฏิกิรยิาที่เกิดขึ�นเป็นปฏิกิรยิาชนิดใดก) ในถงุเยน็เกิดปฏิกิรยิาดดูความรอ้น ชว่ยท้ำาใหข้อ้เท้าของเด็ก

เยน็ลงข) ในถงุเยน็เกิดปฏิกิรยิาดดูความรอ้น ชว่ยท้ำาใหข้อ้เท้าของเด็ก

รอ้นขึ�นค) ในถงุเยน็เกิดปฏิกิรยิาคายความรอ้น ชว่ยท้ำาใหข้อ้เท้าของเด็ก

เยน็ลงง) ในถงุเยน็เกิดปฏิกิรยิาคายความรอ้น ชว่ยท้ำาใหข้อ้เท้าของเด็ก

รอ้นขึ�น

47. จากแผนภาพการเกิดปฏิกิรยิาเคมี นักเรยีนสรุปได้วา่อยา่งไร

14

1. เอนไซมช์ว่ยเรง่ปฏิกิรยิาเคมี2. เอนไซมท์้ำาใหก้ารใชพ้ลังงานกระตุ้นลดลง3. เอนไซมช์ว่ยเพิม่ปรมิาณสารตั�งต้นและพลังงาน

ก) 1 และ 2 ข) 2 และ 3ค) 1 และ 3 ง) 1 2 และ 3

48. นักเรยีนคนหนึ่งท้ำาการทดลองการเกิดปฏิกิรยิาเคมใีนสิง่มชีวีติ ดังนี�

15

มนัฝรัง่ 50 g 1 ชิ�น

+

เกิดฟองก๊าซสงู 0.5 cm2

มนัฝรัง่ 50 g 10 ชิ�น

ไฮโดรเจนเปอรอ์อกไซค์ 5 cm3

+

ไฮโดรเจนเปอรอ์อกไซค์ 5 cm3

เกิดฟองก๊าซสงู 2 cm2

หลอดที่

หลอดที่

49 ในการทดลองใชเ้อนไซมย์อ่ยสารชนิดหน่ึงท่ี ค่า pH ต่างกัน ปรากฏผลดังนี�

การทดลองครั�งนี�สรุปผลส้ำาคัญอยา่งไรก) เอนไซมย์อ่ยสารได้ชา้ที่สดุท่ี ค่า pH = 5ข) เอนไซมย์อ่ยสารเรว็ขึ�น เมื่อ ค่า pH เพิม่ขึ�นค) เอนไซมส์ลายตัวที่ ค่า pH เกิน 7ง) เอนไซมท์้ำางานได้ดีท่ีสดุท่ี ค่า pH ประมาณ 7

50.จากแผนภาพ สารตั�งต้นชนิดใดสามารถเขา้ไปท้ำาปฏิกิรยิากับบรเิวณเรง่ได้ เพราะเหตใุด

หลอดทดลอง

ท่ี

pH เวลาท่ีใช้ยอ่ยสาร( นาที )

1 5 152 6 63 7 34 8 5

16

ตัวแปรต้นท่ีนักเรยีนคนนี�ต้องการศึกษาคืออะไร

ก) ปรมิาณสารตั�งต้น ข) ปรมิาณเอนไซม์

A

ก) สารตั�งต้น A เน่ืองจากเอนไซมแ์ต่ละชนิดสามารถท้ำาปฏิกิรยิายอ้นกลับได้

ข) สารตั�งต้น A เน่ืองจากเอนไซมแ์ต่ละชนิดท้ำาปฏิกิรยิาจ้ำาเพาะกับสารตั�งต้นชนิดเดียว

ค) สารตั�งต้น B เน่ืองจากเอนไซมม์บีรเิวณเรง่สามารถปรบัโครงสรา้งเขา้กับสารตั�งต้นได้

ง) สารตั�งต้นทั�ง A และ B เน่ืองจากเอนไซมท์กุชนิดเป็นโปรตีนสามารถท้ำาปฏิกิรยิากับ

สารตั�งต้นได้ทกุชนิด

………………………………………………………….กระดาษคำาตอบ

หน่วยท่ี 2 เรื่องเคมท่ีีเป็นพื้นฐานของสิง่มชีวีติ ชื่อ-นามสกลุ...................................................................ห้อง ม.4/........ เลขท่ี........................

17

B

ขอ้ ก ข ค ง12345678910111213141516171819202122232425

ขอ้ ก ข ค ง262728293031323334353637383940414243

18

44454647484950

คะแนนที่ได้

19