ชีวิตที่แสนวิเศษ a wonderful life

162
ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life วันชัย ประชาเรืองวิทย เขียน เริ่มพิมพวันที22/03/2006 พิมพเสร็จวันที08/10/2006

Upload: baramu

Post on 12-Nov-2014

655 views

Category:

Documents


6 download

DESCRIPTION

ภาค 1 ชีวิตที่แสนวิเศษภาค 2 ระบบใหญ่ในตัวเราภาค 3 วิธีดึงดูดสิ่งที่คุณต้องการภาค 4 อนาคตอยู่ในกำมือของเรา

TRANSCRIPT

Page 1: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

ชีวิตที่แสนวิเศษ

A Wonderful Life

วันชัย ประชาเรืองวิทย เขียน เร่ิมพิมพวนัที ่22/03/2006 พิมพเสร็จวันที่ 08/10/2006

Page 2: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

คํานํา

นับต้ังแตผมได จัดสมัมนา “A Wonderful Life” หรือ “ชีวิตที่แสนวิเศษ” ข้ึนในเดือนกุมภาพันธและ

พฤษภาคมที่ผานมา ผมไดรับการตอนรับที่ดีเยี่ยมและหลายทานไดโทรศัพทมาเลาวา ชวีติของพวกเขา

ไดเปลี่ยนแปลงไปมากมายอยางไร พวกเขาพูดดวยน้ําเสียงที่ตื่นเตนและราเริงวา... ไดสัมผัสถึงชีวิตที่

แสนวิเศษเขาแลว ส่ิงนี้นับเปนแรงบันดาลใจยิ่งใหญจนผมตัดสินใจถายทอดประสบการณเหลานั้น

ทั้งหมดลงในหนังสือเลมนี้ นี่คือหนังสือที่เสนอเครื่องมือและเทคนิคแหงความสุขและความสําเร็จมาก

ที่สุดเทาที่จะมีหนังสือเลมไหนนําเสนอมากอน ผมมีความเชื่อมั่นถึง 100% เต็มวา มันสามารถทําให

คุณดําเนินชีวิตแบบใหมไดจริง ๆ ซึ่งหมายถึงการทีคุณสามารถไดรับทั้งความสุขและความสําเร็จไป

พรอม ๆ กัน

คนหลายคนมุงเนนที่ความสุขจนขาดแคลนความสําเร็จและอีกหลายคนมุงเนนแตความสาํเรจ็

จนขาดแคลนความสุข ไมวาจะคิดอยางไรก็ตาม ทั้งสองกรณีที่กลาวมานี้ลวนยอมรับไมได เพราะวา

ชีวิตตองการดุลยภาพที่สมบูรณทั้งสองสวน ดังนั้นผมไดตั้งปณิธานอันแนวแนที่จะเสนอหนทางใหม ๆ

แหงความเปนไปไดที่จะทําใหคุณผูอานไดรับทุกสิ่งที่ตองการใหจงได และตราบใดที่คุณไมไดในสิ่งที่

คุณตองการแลวละก็... ตราบนั้นคุณจะไมรูสึกวาคุณสมความปรารถนา หนังสือเลมนี้เต็มไปดวย

ความรูสึก นาตื่นเตนและมีกลยุทธที่ชาญฉลาดที่สุดที่ไดเสนอไว มันเต็มเปยมไปดวยพลังที่สามารถ

เปลี่ยนคนเราไดอยางแทจริง

คุณผูอานที่รัก หนังสือเลมนี้เขียนขึ้นดวยภาษาที่เปนกันเองและเรียบงาย ผมรูสึกราวกับผมได

พูดคุยกับคุณเปนการสวนตัวตลอดเวลา และผมจะดีใจมากหากวาคุณจะถือวาผมเปนที่ปรึกษาคน

หนึ่ง... หากวาคุณจะอนุญาต และผมเชื่อวา “ไมมีวันสาย ที่จะมีควมสุขและประสบความสําเร็จ”

รักยิ่ง วันชัย ประชาเรืองวิทย

2

Page 3: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

สารบัญ

ภาค 1 ชีวิตที่แสนวิเศษ 1 คุณตองไดในสิ่งที่คุณตองการ 6

2 แตวาฉันไมมีปญญาไดมันมาแน 7

3 ขุมพลังทั้งสามภายในตัวเรา 8

4 บันดาลโทสะ 10

5 ระหวางเหตุผล กับอารมณ 11

6 ขุมพลังทั้งสาม กับส่ิงที่เราตองการ 12

7 ผูเชี่ยวชาญดานความหดหู และความเครียด 13

8 กลยุทธที่ไมมีวันไดผล 14

9 สสารและพลังงาน 15

10 มนุษยแมเหล็กไฟฟา กับกฎแหงการดึงดูดชักนําพา 17

11 ซวยซับซวยซอน เพราะสงจดหมายเชิญผิดใบ 19

12 บทเรียนจากกอนหิน 21

13 “ก็ชีวิตคุณไมไดลําบากเทาฉันนี่ คุณก็พูดไดสิวาใหปลอยวางเสีย” 22

14 กฏแหงการมุงเนน 24

15 ระหวางความคิด กับความรูสึก 25

16 ตลาดหุน กับตลาดอารมณ 28

17 เราสรางอารมณข้ึนมาไดอยางไร 29

18 อารมณถูกสรางขึ้นจากการเคลื่อนไหว 30

19 อารมณถูกสรางขึ้นจากภาษาที่เราใช 33

20 ผมกลายเปนสายลม 35

21 คุณภาพชีวิตคือคุณภาพของการสื่อสาร 37

22 องคประกอบทั้งสามของการพูดจากัน 39

23 อารมณถูกสรางขึ้นจากภาพในใจและลักษณะของภาพ 41

24 การสรางพลังแหงจินตนาการ (การสรางภาพในใจ) 43

25 การสรางพลังแหงจินตนาการขั้นที่ 1 44

26 การสรางพลังแหงจินตนาการขั้นที่ 2 45

27 การสรางพลังแหงจินตนาการขั้นที่ 3 46

28 การสรางพลังแหงจินตนาการขั้นที่ 4 48

3

Page 4: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

29 การสรางพลังแหงจินตนาการขั้นที่ 5 50

30 การตื่นขึ้นครั้งใหญของผม...T x E = R 52

31 อารมณเสีย...เปลี่ยนมันซะ 55

32 ทําจิตใจใหผองแผว 57 ภาค 2 ระบบใหญในตัวเรา 1 เมื่อเปลี่ยนความคิด ชีวิตก็เปลี่ยนตาม 61

2 สองแสนครั้งกับการถูกปฏิเสธและหามปราม 64

3 กรอบความคิด...ปอมปราการที่ตองฝาทะลุออกไป 66

4 คําถามคืออะไรกันแน? 69

5 ธรรมชาติของคําถาม และอานุภาพของมัน 70

6 ความเชื่อและกฏแหงความเชื่อ 73

7 แหลงที่มาของความเชื่อ 74

8 พวกเรามีความเชื่อแบบไหนกับตัวเราเอง 79

9 ความเชื่อที่ทรงพลัง 7 ประการ 82

10 การทําลายความเชื่อ 90

11 สรางความเชื่อใหมเขาไปแทนที่ 93

12 เมื่อเราเปลี่ยนความเชื่อ เราไดเปลี่ยนการคาดหวังไปดวย 94

13 พลังแหงทัศนคติ 95

14 พลังแหงความรูสึก 97

15 ความพึงพอใจ กับความเจ็บปวด 99

16 ตายแทนลูก 100

17 ลดความอวนไมได 101

18 ผัดวันประกันพรุง 102

19 กินแมลงสาบ 103

20 กาตมน้ําแหงความเจ็บปวด 104

21 การลงเอยที่ยิ่งใหญไมใชความรู แตคือการกระทํา 106

22 ไรการปฏิบัติ ปฏหาที่แทจริงของคนในโลก 108

23 เขาแทรกแซงระบบใหญ 110

4

Page 5: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

ภาค 3 วิธีดึงดูดสิ่งที่คุณตองการ 1 อํานาจที่กระตุนใหมนุษยลงมือทํา 114

2 การผสมผสานของแรงขับทั้งเจ็ด 123

3 วิธีดึงดูดสิ่งที่พวกเราตองการ 125

4 การตั้งปณิธานกับส่ิงที่ตองการ 131

5 เขียนบทใหม ใหตรงกับที่เราอยากใหมันเปน 133

6 เปลี่ยนจากคิดมาเปนรูสึก 137

7 จัดเตรียมสิ่งที่จะขอบคุณไวเสมอ 139

8 วิธีสรางความรูสึกดีแบบอื่น ๆ 140

9 พวกเราทําอยางไรแลวดีข้ึน 141

10 ข้ันที่ 4 ปลอยใหมันเกิดขึ้น 142 ภาค 4 อนาคตอยูในกํามือของเรา 1 ภูเขาแหงความมั่งคั่งทั้งหก 145

2 ชวงสมองอีกสองเรื่อง 147

3 ส่ิงที่ฉันตองการ? 148

4 ตั้งเปาหมาย 150

5 สูตรความสําเร็จ 153

6 ส่ิงที่หยุดเราไวคือความกลัว 154

7 เรากลัวอะไรกันบาง? 155

8 หมดสิทธิ์หยุดการพัฒนาตนเอง 158

9 สถิติไมโกหก 160

10 เปนเจาแหงการใชกลยุทธ 161

11 พวกเราตองการมันไหม? 162

5

Page 6: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 1 คุณตองไดในสิ่งที่คุณตองการ

คุณผูอานที่ รัก ตลอดเวลาหลายปที่ผานมา ผมมุงเนนศึกษาวาอะไรคือหัวใจแหงความสุขและ

ความสําเร็จ และดวยจิตใจเชนนั้น ในที่สุดผมก็ไดคนพบสิ่งที่ผมตองการ คร้ังแรกเมื่อผมไดรับคําตอบ

นั้น ผมตกตะลึงกับความเรียบงายของมัน และตกใจวามันชางอยูใกลชิดกับพวกเราขนาดไหน ผมรูสึก

ตื่นเตนจนตองรีบเขียนหนังสือเลมนี้อยางเรงดวน ผมเชื่อมั่นวาจะเปนประโยชนตอพวกเราคนไทย

อยางแทจริงและสักวันหนึ่ง บางทีคนตางชาติอาจไดอานมันก็เปนไปได ผมหวังวามันจะเกิดขึ้นในอีก

ไมกี่ปขางหนา

หนทางหนึ่งที่แนนอนที่คุณจะมีความสุขและรูสึกวาประสบความสําเร็จก็คือ คุณตองไดในสิ่งที่

คุณตองการ ขอย้ําอีกครั้งวา คุณจะรูสึกมีความสุขไดจริง ๆ ก็ตอเมื่อคุณไดส่ิงที่คุณตองการ ในขณะนี้

ผมขอใหคุณเผิดใจกวางกับคําวา “ส่ิงที่คุณตองการ” วามันอาจเปนอะไรก็ไดทั้งสิ้น ไมวาจะเปนวัตถุ

ส่ิงของหรือนามธรรมที่จับตองไมไดก็ตาม ตราบใดที่คุณยังไมไดพวกมันแตคุณรูสึกอยูวาตองการ ผม

แนใจวาคุณไมอาจกลาวไดวาคุณสมหวัง หรือกลาวอีกอยางวาคุณสุขใจเต็มที่ไมไดนั่นเอง ที่พูดอยาง

นี้ถือวานอยไป เพราะที่จริงนั้นคุณอาจจะถึงขั้นเซ็ง เบื่อ ทอแท หรือ ทุกขทรมานดวยซ้ําไปตราบใดที่

คุณยังไมไดในสิ่งที่คุณตองการหรือไดในสิ่งที่คุณไมตองการ

โชครายก็คือ บางครั้งคุณก็รูไมชัดเจนวาคุณตองการอะไร! ส่ิงนี้ไมเพียงเกิดขึ้นกับคุณแตกําลัง

เกิดขึ้นกับคนคอนโลก จึงไมตองสงสัยเลยวาพวกเราจะสับสนกันขนาดไหนในเมื่อเราก็ไมรูชัดเจนวา

เราตองการอะไร และเพื่อที่จะแกไขสิ่งนี้ ผมขอใหคุณฝกถามตนเองดวยคําถามนี้บอย ๆ ”ฉันตองการ

อะไร ?” หรือ “จริง ๆ แลวฉันตองการอะไร?”

ผมขอแนะนําใหคุณฝกถามตนเองดวยคําถามนี้ไปตลอดหนึ่งเดือนเต็มจนเปนนิสัย ไมวา

คําตอบที่ไดจะเปนอะไรก็ใหจดไวเร่ือย ๆ อยาใหลืมเปนอันขาด เมื่อไดคําตอบเพิ่มเติมอีก ก็จดลงไปอกี

หากคุณลงมือฝกฝนตนเองเชนนี้ ผมรับประกันวา คุณจะเปลี่ยนแปลงตนเองไปอยางมหาศาล

เพราะวาคุณไดกํากุญแจดอกเอกที่คนคอนโลกทําหลนหายไวในมือของคุณ จําไวเสมอวามันเปน

หนทางเดียวที่เพิ่มโอกาสใหคุณสมหวังเพราะวาคุณจําเปนตองไดรับในส่ิงที่คุณตองการ หาไมแลวคุณ

ก็จะไมมีทางพบกับความสุขและความสําเร็จที่คุณตองการได

6

Page 7: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 2 แตวาฉันไมมีปญญาไดมันมาแน

หลาย ๆ คนสับสนระหวาง “ส่ิงที่ฉันตองการ” กับ “แตวาฉันไมมีปญญาไดมันมาแน” คุณผูอานครับ

เมื่อคุณถามตนเองวา “ฉันตองการอะไร?” นั้น คุณถามเพียงแคมันคืออะไรบางที่คุณตองการ คุณไมได

ถามวา “ฉันมีปญญาไดมันมาหรือไม?” ส่ิงนี้เตือนใจคุณวา... ตอใหคุณไมมีปญญาไดมันมาก็ตาม

เถอะ แตไมไดแปลวาคุณไมอยากไดมัน ผูคนมากมายในโลกนี้ติดกับดักอยางนี้กันมาก พวกเขาคิดไป

วา... ถาเพียงเพราะวาฉันยังไมรูวิธีวาจะไดมันไดอยางไร ฉันก็ไมควรจะไปเพอเจอ บางทีพวกเขาถึงกับ

แปลผิดโดยเขาใจไปวา “ฉันไมตองการมันหรอก” แมแตขอทานที่รูสึกแนใจวาจะไมมีวันไดเงินลานก็

ตาม แตมันไมไดแปลวาเขาไมอยากไดเงินลาน นี่จึงเปนคนละเรื่องกัน ที่คนทั่วไปจับเอาสองประเด็นนี้

มัดเขาดวยกันโดยคิดวามันเปนเรื่องเดียวกัน ยิ่งไปกวานั้น ส่ิงที่เราคิดวาไมมีปญญาจะไดมันมา

ในตอนนี้อาจเปนเรื่องชั่วคราว สักวันหนึ่งเราอาจมีปญญาก็ได ฉะนั้นไมพนที่เราตองกลับมาถาม

ตนเองอีกครั้งวา “ฉันตองการมันไหม?” อยูดี

คุณผูอานที่รัก ในตอนนี้ผมอยากขอรองใหคุณคิดเฉพาะสิ่งที่คุณตองการโดยไมตองสนใจวา

คุณจะมีปญญาหามันมาไดหรือไม ขอใหคุณเก็บความของใจวาคุณจะไดมันมาไดอยางไรไวกอน และ

มุงเนนถามตนเองอยูเสมอ ๆ วา “ฉันตองการอะไร?” มันเปนคําถามอันดับแรกที่จะไขเขาไปสูชีวิตที่

เปยมสุขและประสบความสําเร็จที่จริงแลว เราควรจะเรียกคําถามนี้วาเปน “กุญแจแหงชีวิต” ดวยซ้ําไป

สวนคําถามที่วา “ฉันจะไดมันมาไดอยางไร?” นั้น ส่ิงนี้เปนคําถามที่สอง คุณตองจําใหข้ึนใจวา... คุณ

จะตองถามคําถามที่หนึ่งกอนเสมอ กอนที่คุณจะถามคําถามที่สองและแนนอนวาคุณจะไดคําตอบแน

เมื่อคุณอานหนังสือเลมนี้จบลง แลวคุณจะพบเองวามันเรียบงายกวาที่คุณคิดไวเยอะ

7

Page 8: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 3 ขุมพลังทั้งสามภายในตัวเรา

เมื่อพูดถึงขุมพลังทั้งสามภายในตัวเรา มันจําเปนที่พวกเราจะตองรูวา พวกมันไดแก

1. พลังกาย หรือเรี่ยวแรงของเรา

ส่ิงนี้ยอมตองหมายถึงพลังที่ผลิตขึ้นจากรางกายของเราอยางแนนอน และเพราะวาเราตองกิน

ขาวดื่มน้ําทุกวัน เราจึงมีพลังกายในระดับหนึ่งอยูเสมอ รางกายของเรานั้นเปรียบไดกับรถสัก

คันหนึ่ง ยิ่งมันมีพลังมาก ทนทาน และสมรรถนะที่ดีมากเทาไหร มันก็ยิ่งรับใชเราไดยืนยาว

และคงทนเทานั้น นี่ก็คือคนที่อายุยืนและแข็งแรงหรือสุขภาพดีนั่นเอง

2. พลังสมอง หรือพลังแหงความคิด

สมองของเราถูกฝกฝนมาโดยตลอดตั้งแตเรายังเปนเด็กแบเบาะ คร้ันโตขึ้นหนอย เราก็ถูก

สงไปเรียนหนังสือนานแสนนาน วันแลววันเลา ที่สมองถูกฝกใหคิด จดจํา หาเหตุผล ไตรตรอง

ประเมินผล และออกคําส่ังกับระบบประสาทตาง ๆ มากมาย ดังนั้น หากใครก็ตามที่ไมได

พิการทางสมอง ผมกลาวไดวาพวกเขาหรือเราลวนแตมีพลังสมองหรือพลังแหงการคิดกันทุก

คน มันเปนพลังที่สําคัญอยางยิ่งยวด เปนเครื่องมือที่ยิ่งใหญเหลือเกิด แตถึงกระนั้นก็ตาม

สมองก็ยังไมใชชีวิตของเรา กลาวอีกอยางก็คือ เราไมใชความคิดของเรา แตเราสรางหรือผลิต

ความคิดไดโดยใชสมองสรางมันขึ้นมา สมองจึงเปนแคอวัยวะหนุงของเราที่สําคัญมาก ๆ แต

มันไมอาจยิ่งใหญไปกวา...

3. พลังแหงสภาวะจิต หรือพลังแหงอารมณ หรือพลังแหงความรูสึก

เพราะวาเราไมใชเคร่ืองจักรกล เราไมไดเปนแควัตถุธรรมดา ๆ แตเราเปนสิ่งมีชีวิตที่มีจิต

วิญญาณ ดังนั้นแมวารางกายของเราไมอาจะแยกออกจากจิตวิญญาณไดโดยเด็ดขาด แตเรา

ก็รูสักวาจิตวิญญาณเปนสิ่งที่แสดงถึงตัวชีวิตมากกวารางกายดั่งที่เรามักถูกสอนวา “ใจเปน

นาย กายเปนบาว” และสิ่งที่คุณอาจไมเคยพิจารณาใหถองแทก็คือ พลังแหงสภาวะจิต (หรือ

พลังแหงอารมณ) เปนพลังที่มีอานุภาพเหนือพลังทั้งปวง ถาใหเปรียบเทียบระหวาง “พลัง

สมอง (พลังแหงความคิด) กับ “พลังแหงสภาวะจิต (หรือพลังแหงอารมณ)” ละก็ ... ผมบอกได

เลยวา พลังแหงสภาวะจิต (หรือพลังแหงอารมณ) จะมีพลังเหนือกวาพลังสมองมากมายนัก

8

Page 9: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

อาจพูดอีกอยางไดวา เมื่อคุณอยูในสภาวะจิตที่มีพลังที่สุด คุณจะใชเครื่องมือที่เรียกวา “พลัง

สมอง” ไดอยางมีประสิทธิภาพมากขึ้น แตถาคุณอยูในสภาพวะจิตที่ออนแอที่สุดแลว ไมวา

คุณจะมีสมองที่ดีเลิศปานใดฏตาม คุณจะพบวามันไรประโยชนส้ินดี แลวผมจะคอย ๆ แสดง

ใหคุณเห็นวาพลังแหงสภาวะจิตที่เลอเลิศนั้น เปนพลังที่ยิ่งใหญที่สุดใหคุณทราบตอไป

9

Page 10: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 4 บันดาลโทสะ

ในบรรดานิทานสอนใจนั้น นิทานเรื่อง “กลองขาวนอยฆาแม” ถือวาเปนตัวอยางชั้นเยี่ยมที่เราจะตอง

เขาใจมัน ผมขอสรุปวา เด็กคนนั้นไมไดบาและไมมีความจําเปนใด ๆ ที่จะตองไปพบหมอเพื่อผาตัด

สมอง เด็กคนนั้นแค “บันดาลโทสะและพลั้งมือฆาแม” เทานั้นเอง เห็นชัดไดวาจะไปหาพลังแหงการ

ทําลายลางใดที่ยิ่งใหญกวาพลังแหงอารมณโกรธ (สภาวะจิตโกรธ) เปนไมมี ครั้นเมื่อเด็กคนนั้นหาย

โกรธแลว เขาจะทําอะไรไดนอกจากเสียใจตอการกระทําสิ่งที่เลวรายที่สุดลงไป คนโบราณจึงสอนวา

“จะทําอะไรก็ขอใหอยาใชอารมณ” ในที่นี้ละไวในฐานที่เขาใจวา... อยาใชอารมณโกรธ โลภ และหลง

ถึงกระนั้นก็ดี มันนาเสียดายที่คําสอนนี้สอนไวเพียงครึ่งเดียว โดยไดละความจริงที่ยิ่งใหญพอ

ๆ กันของอารมณในเชิงบวกไวจนหมดสิ้น คําสอนที่หายไปก็คือ “จะทําอะไรก็ใหใชอารมณเชิงบวกไว

มาก ๆ” อารมณประเภทนี้ไดแก ความรัก ความเมตตา ความปรารถนาดี ความเบิกบาน ความปติยินดี

ความราเริง ความสนุกสนาน ความกระปรี้กระเปรา ความมีชีวิตชีวา ความสงบสุข ความหรรษา ความ

เกษมแหงจิต ความกลาหาญ ความมีวินัย ความเพียร ความมุงมั่น และความปรารถนาอยางแรงกลา

ฯลฯ

เราไดเรียนรูอะไรบางจากหัวขอนี้ หนึ่ง นาสลดใจกับส่ิงที่เด็กคนนั้นไดทําลงไป และเรา

จําเปนตองเรียนรูที่จะเปนนายเหนืออารมณเชิงลบใหได และสอง เราตองเรียนรูที่จะสรางและเลือกใช

อารมณในเชิงบวกใหเหมาะสมกับแตละเหตุการณที่เราเผชิญอยู อีกไมนานนัก เราจะไดเรียนรูวา...เรา

สรางอารมณข้ึนมาไดอยางไร?

10

Page 11: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 5 ระหวางเหตุผล กับอารมณ

ผมถามชายคนหนึ่งที่ติดบุหร่ีวา “คุณรูไหมวาการสูบบุหร่ีไมดีตอสุขภาพ” “คุณรูไหมวามันสิ้นเปลือง

เงินทองที่ตองไปซื้อมา” “คุณรูไหมวาควันบุหร่ีรบกวนและอาจเปนอันตรายตอสุขภาพของคนที่อยูใกล

ตัวคุณ” “คุณรูไหมวาคุณมีความเสี่ยงที่อาจจะเปนมะเร็งปอด” “คุณรูไหมวาคุณอาจเปนโรคอื่น ๆ ได

งายขึ้น หรือคุณอาจอายุส้ันลงก็เปนได”

คุณผูอานที่รัก เขาตอบวา “รู” กับคําถามทุกขอที่ผมถามครั้นเมื่อผมถามคําถามสุดทายวา

“แลวคุณตัดสินใจวาจะทําอยางไรตอไป?” เขาบอกวา “สูบตอไป”

จะวาไปแลวผมไมแปลกใจกับคําตอบนั้นนัก เพราะวา... เขาสูบแลวอารมณดี กุญแจที่

สามารถไขเขาไ เขาใจเรื่องนี้ไดก็คืออารมณ เหตุดผลจะไมมีวันชนะตราบใดที่ชายคนนี้สูบบุหร่ีแลว

อารมณดี หรือสูบบุหรี่แลวเขารูสึกดีเชนลดความเครียดได สวนคนที่ไมสูบบุหร่ีก็เชนกัน ที่เขาไมสูบก็

เพราะวามันทําใหเขารูสึกไมดี

เพื่อความกระจาง ผมอยากใหพิจารณาเรื่องการกินผักดูบาง เมื่อคุณแมคนหนึ่งบอกเหตุผล

สาระพัดวาผักดีตอลูกของเธออยางไรแตเด็กนอยคนนั้นยังทําหนาเบและไมยอมกินผักอยูดี เพราะ

อะไรละ? มันไมใชเร่ืองของเหตุผลวาเด็กฟงคุณแมไมรูเร่ือง แตมันเปนเรื่องของความรูสึกที่เด็กไม

อยากกินตางหาก ลองคิดถึงอาหารชนิดใดก็ตามที่คุณไมกินดูสิ ประเด็นมักไมไดอยูที่มันมีคุณคาทาง

โภชนาการหรือไม แตเปนเพราะวาคุณไมชอบตางหาก มันจึงเกี่ยวกับสภาวะจิต เกี่ยวกับอารมณ

ความรูสึกนั่นเอง ไมไดเกี่ยวกับเหตุผลแมแตนิดเดียว

สมมติวามีชายคนหนึ่งทั้งหลอ รวย โสด จริงใจ และนิสัยดี หากอาศัยเหตุผลเพียงอยางเดียว

แลวสาวที่ไหนจะปฏิเสธละ แตมันก็เปนความจริงอยางนั้นหรือ ผมเกรงวาจะมีสุภาพสตรีนับไมถวนที่

ปฏิเสธชายคนนี้ดวยเหตุผลงาย ๆ วา “แตฉันไมไดรักไมไดรูสึกชอบผูชายคนนี้นี่” มันเปนเรื่องของ

อารมณความรูสึก ไมใชเหตุผล ผมถึงบอกวา พลังแหงอารมณอยูเหนือพลังสมองที่ชอบใชเหตุผล

มากมายนัก ดังนั้น หนทางเดียวที่ดีที่สุดที่จะเปลี่ยนแปลงจึงไมใชการใหเหตุผล แตตองเขาไปเปลี่ยนที่

ความรูสึกใหไดเสียกอน แลวคนเราจะเปลี่ยนการกระทําไปตามความรูสึกที่เปลี่ยนไปเองอยางเปน

ธรรมชาติ

11

Page 12: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 6 ขุมพลังทั้งสาม กับสิ่งที่เราตองการ

หลาย ๆ คร้ังที่เราไมไดส่ิงที่เราตองการ เราอาจสับสนวาทําไมละ เพื่อใหเขาใจมัน เราจําเปนตองรูวา

ขุมพลังทั้งสามของเราทัดเทียมกับส่ิงที่เราตองการหรือไม เชน

ถาคุณตองการที่จะวิ่งใหได 2 กิโลเมตรภายใน 5 นาทีส่ิงแรกที่คุณจะตองถามก็คือ ฉันมีพลัง

กายที่ทัดเทียมกับการทําสิ่งนี้หรือไม? เห็นไดชัดวาคุณจําเปนที่จะตองพัฒนาสมรรรถนะทางดาน

รางกายใหดีเลิศ เพราะตราบใดที่คุณยังแข็งแรงไมพอที่จะทําสิ่งนี้ละก็ ก็ไมตองสงสัยเลยวาคุณคงจะ

ไมสมหวังเปนแน

เอาละ บางทีคุณอาจมีขุมพลังทางรางกายที่ดีพอ แตวาคุณไดพัฒนาทักษะการวิ่งที่ถูกตอง

หรือยัง คุณไดเรียนรูจากผูเชี่ยวชาญในดานนี้หรือยัง เทคนิคของคุณฉลาดหรือไม ส่ิงเหลานี้ยิ่มตองใช

พลังสมองในการเรียนรูทฤษฏีที่ถูกตองพรอมกับการฝกฝนจนบรรลุถึงขีดความสามารถที่คุณตองการ

เพื่อพิชิตสิ่งที่คุณตองการ

และทายที่สุด คุณมีกําลังใจที่มากพอหรือไม สภาวะจิตหรืออารมณของคุณแข็งแกรงพอ

หรือไม ผมเคยพบคนใจเสาะที่หยุดกลางคัน ทั้ง ๆ ที่รางกายก็แข็งแรงและสมองก็เฉลียวฉลาด แตอาจ

ยอมแพเอางาย ๆ เพราะขุมพลังตัวที่สามไมแกรงพอ ฉะนั้น คุณจําเปนตองพัฒนาสภาวะจิตใหเข็ม

แข็งใหมาก ๆ เมื่อขุมพลังทั้งสามของคุณซึ่งไดแก กําลักาย กําลังสมอง และกําลังใจ ไดพัฒนาจน

ทัดเทียมกับส่ิงที่คุณตองการแลว มันยอมงายที่คุณจะสมหวังในสิ่งที่คุณตองการ คุณก็แคลงมือทําส่ิง

นั้นก็แคนั้นเอง

คุณผูอานที่รัก คําถามที่วา “ฉันตองการอะไร?” เปนคําถามที่ยิ่งใหญ และหลังจากนั้นใหถาม

ตอไปวา “ฉันตองพัฒนาขุมพลังตัวไหนเพิ่มเติม แลวศักยภาพของฉันจะทัดเทียมกับส่ิงที่ฉันตองการ”

ผมแนใจวาคุณจะคิดอะไรดี ๆ ออกมาไดอีกมากมาย ยิ่งไปกวานั้น คุณจะหายสงสัยวา...ทําไมนะ...ฉัน

ถึงไมไดส่ิงที่ฉันตองการ

12

Page 13: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 7 ผูเชี่ยวชาญดานความหดหูและความเครียด

เพราะวาเราไมไดส่ิงที่เราตองการพวกเราจึงเซ็ง เบื่อ หงุดหงิด คับของใจ วิตกกังวล ส้ินหวัง กลุมใจ หด

หูและไรความสุข ส่ิงนี้แมดูเหมือนวามีเหตุผลในตัวมันเองที่เราจะมีอาการเหลานั้นเมื่อเราไมไดส่ิงที่เรา

ตองการ แตเนื่องจากวาเราตกอยูในอาการเหลานั้นบอยครั้งเกินไป ในที่สุดมันกลายเปนนิสัยและ

รูปแบบของการดําเนินชีวิตไปเลย เมื่อเนิ่นนานไป เราเขาใจไปวา “การที่เราไรสุขเปนเรื่องปกติ และนั่น

แหละคือชีวิต” แตผมขอปฏิเสธอยางรุนแรงวาชิวิตไมใชแบบนั้นแน นาเศราใจที่พวกเราไดกลายเปน

“ผูเชี่ยวชาญดานความหดหูและความเครียด” พวกเราสามารถเขาถึงสภาวะไรสุขไดอยางงายดายใน

ชั่วพริบตา บางทีส่ิงที่เราเชื่ออาจมีปญหาในตัวมันเอง เชนพวกเราเชื่อวา...มันยุติธรรมดีไมใชหรือที่เรา

ควรหมดความสุขเมื่อเราไมไดส่ิงที่เราตองการ ผมไมรูวาถูกปลูกฝงความเชื่อนี้เขาไปในจิตใจของเรา

ตั้งแตเมื่อไหร แตส่ิงที่เกิดข้ึนลวนชี้ไปในลักษณะที่ผมอธิบาย เราพูดวา “ก็มันไมแฟร เลยนี่ที่ฉันตอง

เจอกับเร่ืองแบบนี้” แลวเราก็อยูในอารมณที่เนามาก ทุกวันนี้ ไมวาเราจะเผชิญกับเร่ืองอะไรก็ตาม

ลวนนําเราไปสูสภาพวะ “ไมสบอารมณ” ไดอยางงายดาย เรากลายเปนคนที่ใชอยูเพียงกลยุทธเดียว

นั่นคื “เซ็งไดงายในแทบทุกกรณี” แตขาวรายก็คือ...นอกจากโงเขลาแลว...มันยังเปนกลยุทธที่ไมมีวัน

ไดผลอีกดวย

13

Page 14: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 8 กลยุทธที่ไมมีวันไดผล

คนเยอะมากทั่วโลกกําลังหดหู เซ็ง และดําเนินชีวิตประจําวันแบบคนไรสุข ทวานั่นคือกลยุทธที่

ผิดพลาดมากที่สุดเทาที่จะมากได มันเปนกลยุทธที่แยที่สุดที่เรามักเลือกเสียดาย และที่สําคัญก็คือ มัน

เปนกลยุทธที่ใชแลวไมไดผล หากวาอาการเซ็ง เบื่อ บน ครํ่าครวญ ตําหนิ และหดหู สามารถทําใหเรา

ไดมาซึ่งสิ่งที่เราตองการ คุณผูอานที่รัก ผานนี้ คนหกพันลานคนทั่วโลกคงสมความปรารถนากันไป

หมดแลว แตเราไมมีทางไดอะไรมาดวยการกระทําเชนนั้นแน เรามามารถที่จะนั่งลงพื้น กระทืบเทา

รองไหแบบเด็กสองสามขวบ แลวโลกนี้ก็จะหันมาสนใจเราพรอมกับหยิบยื่นสิ่งที่เราตองการมาให ไม

เลย มันไมเปนเชนนั้นเลย ยิ่งไปกวานั้น ในฐานะที่เราเปนผูใหญกันแลว ควรหรือที่เราจะนั่งลง กระทืบ

เทา แลวก็รองไห โดยหวังวาเราจะไดในสิ่งที่เราตองการ และสมมติวาบังเอิญเราไดในสิ่งที่เราตองการ

ดวยวิธีนั้น งั้น ชาตินี้เรามิตองนั่งลง กระทืบเทา และรองไหไปชั่วชีวิตนับพันนับหมื่นครั้งเพื่อรองขอใน

ส่ิงที่เราตองการอยางนั้นหรือ! ในโลกแหงความเปนจริงเราทําเชนนั้นไมไดแน แตแลวมันตางกันสักแค

ไหนที่เรามักจะเซ็ง เบื่อ บน ตําหนิ คร่ําครวญ กลุมใจ และหดหู ในยามที่เราไมไดในสิ่งที่เราตองการ

รูปแบบของอาการเหลานี้

สภาวะจิตที่ไรพลังเหลานี้ อารมณความรูสึกที่แย ๆ เหลานี้ ผมขอถามหนอยวามันดีกวาเด็ก

เล็กที่รองไหนอนดิ้นอยูกับพื้น และกระทืบเทาเพื่อรองขอในสิ่งที่เขาตองการตรงไหน เราทําไดดีกวาเด็ก

เล็กแคไหนกัน จะวาไปแลวผมวาเราแยกวาเด็กเล็กดวยซ้ําไป เพราะวาเราอยูในสภาวะเซ็ง กันทั้งปทั้ง

ชาติ เราไรสุขไดทุกเมื่อเชื่อวัน ราวกับวาวิธีการเชนนี้จะนําเราไปสูส่ิงที่เราตองการไดสําเร็จ แตคุณก็รู

วามันไมจริงเลย มันไมไดผล มันเปนโทษมาก แตเราก็ยังคงหลับหูหลับตาใชกลยุทธที่ไมเคยไดผลกัน

ตอไป ราวกับวาความหดหูชางเปนเปาหมายที่ใหญโตเหลือเกินในการเกิดมาเปนมนุษย จนพวกเรา

พิชิตเปาหมายแหงความหดหูไดสําเร็จอยางสมบูรณแบบ...กลาวคือ...พวกเราเซ็งมันไดทุกวันและใน

ทุกโอกาสพวกเราเซ็งแบบไมมีวันหยุด เว็งจนกวาเราจะตายไปจากโลกนี้ แตนี่นะหรือชีวิต ชางนา

เสียดายอะไรเชนนั้น!

หนทางแกไขหนทางเดียวคือการเขาไปรูจักความนากลัว ที่แทจริงของความหดหูวามันไมจบ

แคตัวมันเอง แตมันจะดึงดูดชักนําพาเรื่องเลวรายสารพัดเขามาสูชีวิตของเราไดอยางไร นี่คือหนทาง

เดียวที่จะจะโบกมือลา “ความหดหู” ไดสําเร็จ แตกอนที่จะพูดถึงเรื่องนั้นตอไป เราตองไปรูจักกับเร่ือง

ของ “สสารและพลังงาน” กอน

14

Page 15: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 9 สสารและพลังงาน

ในจักรวาลอันไพศาลนี้ คุณคิดวามันมีอะไร ก็ดวงดาวกับที่วางไง นั่นอาจเปนคําตอบหนึ่งที่ถูกตอง อีก

คําตอบหนึ่งที่ยิ่งถูกตองใหญก็คือ สสารกับพลังงาน แมแตตัวเราที่เปนมนุษยก็อาจอธิบายไดวา อันตัว

เรานั้นไมไดเปนอะไรมากไปกวา “สสารและพลังงาน” โดยปกติแลวพวกเราเขาใจวัตถุในฐานะที่มัน

เปนสสารกันดีอยูแลว เพราะวาวัตถุมีรูปราง ขนาด มองเห็นได จับตองได สัมผัสได ฯลฯ เราจึงเขาใจ

มันไดงายชัดเจน อยางไรก็ตามเมื่อพูดถึงคําวา “พลังงาน” มันเขาใจยากกวามากเพราะวามันมองไม

เห็นดวยตา ไมมีรูปราง บอกขนาดไมได ยิ่งไปกวานั้น พลังงานยังมีหลายแบบอีกดวย เพื่อใหงาย

พอที่จะเขาใจได เราจึงตองหันไปสนใจในคุณสมบัติของพลังงานจะดีกวา เชน ผมไมเขาใจหรอกวา

“พลังงานความรอน” คืออะไร แตผมรูวามันมีคุณสมบัติที่เปลี่ยนแปลงวัตถุได เชน ถาผมใหพลังงาน

ความรอนที่มากพอกับกระดาษในที่สุดกระดาษก็จะไมสามารถดํารงความเปนกระดาษได เพราะวามนั

จะถูกเปาไหม เชนเดียวกับน้ําที่ไดรับพลังงานความรอนที่มากพอ ในที่สุดน้ําก็จะเปลี่ยนแปลงกลายไป

เปน “ไอ”

เห็นไดชัดวาผมรูจักพลังงานความารอนในลักษณะคุณสมบัติของมัน แตผมบอกคุณไมไดวา

พลังงานความรอนมีหนาตาอยางไร เพราะวาผมมองเห็นมันดวยตาไมได ในทํานองเดียวกัน ผมบอก

ไมไดวาพลังานเสียงมีรูปรางหนาตาอยางไร แตมันก็มีคุณสมบัติเฉพาะตัวของมัน โชคดีมากที่หูของเรา

สามารถรับเคลื่นเสียงจนทําใหเราไดยินเสียงสารพัดที่แตกตางกันได เราจึงรูวามันมีพลังงานนี้ แมวา

พลังงานเสียงไมมีคุณสมบัติในการเปากระดาษก็ตาม แตมันก็สามารถเปลี่ยนแปลงวัตถุได

เชนเดียวกัน เชน เสียงที่สูงมาก ๆ สามารถที่จะทําใหกระจกแตกได และเมื่อพูดถึงพลังงานไฟฟาทีไร

โอ..งใหตายเถอะโรบิ้น ผมยิ่งไมเขาใจมันเลย เพราะวาคุณสมบัติของมันดูจะมากลนแผไพศาลราวกับ

ไมมีที่ส้ินสุด หากขาดมัน เราคงไดสัมผัสโลกยามค่ําคืนดวยไฟจากตะเกียงดั่งเชนอดีตที่ผานมาเปนแน

แตเมื่อมีมัน โลกของเราก็เปลี่ยนไปตลอดกาล ดังนั้นพลังงานไฟฟาจึงเปฯการคนพบที่ยิ่งใหญมาก จะ

วาไปแลวสิ่งหนึ่งที่ผมยังไมเขาใจก็คือทําไมมนุษยตองตายดวยเมื่อผานกระแสไฟฟาที่มากพอเขาไปใน

ตัวเรา แตผมไมเดือดรอนหรอกที่ไมเขาใจ ผมเพียงรูวา... คุณสมบัติของมันสามารถฆาผมได ... การ

รูเทานี้ก็นับวาเพียงพอแลวที่เราจะตองใชมันดวยความระมัดระวัง และผมยอมสรุปไดวา พลังงาน

ไฟฟาก็เชนกัน เปนพลังงานที่มีคุณสมบัติเฉพาะตัวของมันและสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงวัตถุได (การ

จับปลาที่ช็อตใหตายดวยไฟฟาคือตัวอยางที่โหดสักหนอยที่มนุษยเปลี่ยนแปลงปลาเปน ๆ ใหตาย

อยางฉับพลันโดยอาศัยคุณสมบัติประการหนึ่งของพลังงานไฟฟา)

ก็แลวมันเกี่ยวอะไรกับเร่ืองความสุขและความสําเร็จละ...ผมถึงตองไปรายยาวถึงเรื่องสสาร

และพลังงาน มันเกี่ยวตรงที่ตัวเรานั่นแหละที่เปนสสาร และจิตวิญญาณของเรานั่นแหละที่เปน

15

Page 16: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

พลังงาน เพียงแตวาพวกเรายังรูนอยมากวาจิตวิญญาณของเราเปนพลังงานที่มีคุณสมบัติอะไรบาง

เมื่อผมยังเปนเด็กกวานี้ ผมกลัวผีก็เพราะวาวิญญาณหรือที่เด็กอยางผมเรียก “ผี” นั้นสามารถมี

คุณสมบัติพิเศษที่ลองลอยไปหลอกหลอนคนและปรากฏตนในรางที่โปรงแสงที่แสนจะนาเกลียดนา

กลัวได เด็กและผูใหญลวนเหมือนกัน พวกเรากลัวในสิ่งที่อธิบายไมได พอ ๆ กับที่คนโบราณกลัวฟา

รองฟาผา เรากลัวเพราะไมรูจะจัดการหรือรับมือกับมันอยางไร และเมื่อใดก็ตามที่เรามีสติปญญามาก

ข้ึน จนเราพอจะเขาใจปรากฏการณนั้น ๆ หรือคุณสมบัติของพลังงานตาง ๆ ไดแลวเราก็จะไมกลัว ยิ่ง

ไปกวานั้น เราจะคิดนําคุณสมบัติของพลังงานที่เราเขาใจแลวมาใชใหเปนประโยชนไดอีกดวย ส่ิงหนุง

ที่ยากตอการพิสูจนก็คือ เปนไปไดหรือไมวา คุณสมบัติประการหนึ่งของจิตวิญญาณก็คือ มันสามารถ

เก็บกักกรรม (ซึ่งอาจเปนทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว) ที่ยังไมสงผลไวไดอยางละเอียดแมนยํา และดวย

คุณสมบัติของมัน มันจะนําสิ่งที่เหมาะสมกับกรรมีที่ยังไมไดสงผลใหมาบังเกิดในชาติถัด ๆ ไป สวน

กรรม (ดีและชั่ว) ที่สงผลแลวในชาตินี้ ยอมจบลงอยางสมบูรณ ไปแลวดวยตัวมันเอง ในฐานะชาวพุทธ

คําสอนที่วา “ทําดีไดดี และทําชั่วไดชั่วนั้น” จึงเปนคําสอนที่ปลอดภัยที่สุด เพราะวาสิ่งที่ยังไมสงผลนั้น

อาจเก็บกักไวในคุณสมบัติของจิตวิญญาณเพื่อรอที่จะสงผลตอไปในกาลเวลาขางหนาอันเหมาสมก็ได

ส่ิงที่ผมไดกลาวนี้เปนความลี้ลับที่นักวิทยาศาสตรยังพิสูจนไมได แตผมรูสึกวามันปลอดภัยดีถาหากวา

กรรมที่ยังไมไดสงผลนั้น...ลวนแตเปนกรรมดี

เอาละ ผมจะเขาเรื่องเสียทีในบรรรดาสิ่งหนึ่งที่ทําใหเราไมวางไดมากที่สุดก็คือ “ความคิดของ

เรา” ผูเชี่ยวชาญดานสมองบอกเราวา มนุษยคิดกันอยูเร่ือยราววันละหาหมื่นเรื่องเห็นจะได อืมมมม...

อะไรมันจะมากขนาดนั้น! แตผมเห็นดวยเพราะวามันแคแวบเดียวอยูเร่ือย แลวเราก็กระโดดไปคิดอีก

เร่ืองหนึ่งแลวก็อีกเรื่องหนึ่งไปเรื่อย ๆ เราหยุดคิดไดที่ไหนกันเลา เอาละ... เพื่อใหตลก ใครที่หยุดคิดได

ยกมือข้ึน มันไมมีปุมเปดปดความคิดนี่คุณ แลวคุณจะหยุดคิดไดอยางไร คุณอาจคานวา “เฮ... แลว

พระที่จิตวางละ ทานตองหยุดคิดไดสิ” ถูกตองแลวครับวาพระที่ฝกเจริญสติจนอยูกับปจจุบันอยางเต็ม

รอยยอมอยูเหนือความคิดได แตวาผมไมนับครับ ผมนับเฉพาะคนอยางคุณกับผมและคนทั่วไปทั่วโลก

ตางหาก พวกเราจํานวนนับไมถวนลวนแตหยุดคิดกันไมไดทั้งนั้นแหละเชื่อผมเถอะ และผมก็ไมได

ขอรองใหพวกเราหยุดคิดดวย แตส่ิงที่ผมสนใจจริง ๆ ก็คือ... เจาความคิดนั่นแหละ...มันคืออะไรละ?

คําตอบก็คือ... มันเปนพลังงานชนิดหนึ่งเชนกัน! คุณคงไมตกใจเทาไหรสินะ... ผมคาดเดา แตผมสิ ผม

ทั้งตกใจและตื่นเตนเมื่อผมเร่ิมเขาใจมันในฐานะที่เปนพลังานชนิดหนึ่ง เมื่อกรอบความคิดของผมที่มี

ตอคําวา “ความคิดคืออะไร?” ไดรับความกระจางมากขึ้น ชีวิตของผมก็เปลี่ยนแปลงไปจนไม

เหมือนเดิมอีกเลย เรามาดูกันสิวาความคิดเปนพลังงานในลักษณะใด

16

Page 17: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 10 มนุษยแมเหล็กไฟฟา กับกฏแหงการดึงดูดชักนําพา

เมื่อราว 75 ปกอนนักวิทยาศาสตรชาวเอเชียสองทานไดทําการทดลองอันนาทึ่ง เขาทั้งสองไดตอ

สายไฟผานกําแพงเหล็กเขากับสมองมนุษย เมื่อชายคนที่ถูกทดลองเริ่มคิด สิบหกวินาทีตอมาพวกเขา

ทั้งสองจับภาพคลื่นแมเหล็กไฟฟาไดแตไมชัดเจน ในตอนนั้นเขาทั้งสองดีใจมากเพราะวามันทําใหพวก

เขารูวา...อยางนอยความคิดก็ไมใชส่ิงวางเปลาแตที่จริงมันคือพลังงานรูปหนึ่ง พวกเขาทั้งสองได

ปรับปรุงการทดลองไปเล็กนอยโดยไมเฉลียวใจเลยวากําลังจะคนพบปรากฏการณที่ยิ่งใหญซึ่งได

กลายเปนตนแบบใหนักวิทยาศาสตรทดลองซ้ํานับคร้ังไมถวนเพื่อยืนยันการคนพบในครั้งนั้น พวกเขา

ทั้งสองขอใหชายที่เขาทดลองคิดถึงอะไรก็ไดโดยที่เพิ่มความเซ็ง ความเบื่อ ความสลดใจ ความกลัด

กลุมใจ ความวิตกกังวล ความหดหูใจ ความรูสึกวาทนแทบไมไหว และอะไรก็ไดที่ร็สึกแยมาก ๆ เขาไป

ในความคิดที่เขากําลังคิด พวกเขาสามารถที่จะจับภาพพลังงานของคลื่นแมเหล็กไฟฟาความถี่ที่ต่ํา

มากได! ขอใหผมขัดจังหวะสักหนอยเถอะครับคุณรูไหมวานี่มันแปลวาอะไร มันแปลวา...ความคิดที่

ผสมดวยอารมณเชิงลบหรือสภาวะจิตยอดแยเขาไปก็คือ พลังงานแมเห็กไฟฟาชนิดความถี่ต่ํานั่นเอง

ในทางตรงกันขามเมื่อพวกเขาทั้งสองใหชายคนเดิมคิดถึงอะไรก็ไดโดยเติมความรูสึกที่ปติ

ยินดี ตื่นเตนเราใจ ความราเริง ความสุขใจ และอะไรก็ตามที่รูสึกดีลงไปในความคิดที่กําลังคิดอยู พวก

เขาทั้งสองจับภาพพลังงานแมเหล็กไฟฟาที่มีความถี่สูงมากได และเชนกัน นี่มันหมายความวา

ความคิดที่ผสมดวยอารมณเชิงบวกหรือสภาพวะจิตยอดเยี่ยมเขาไปก็คือ พลังงานแมเหล็กไฟฟาชนิด

ความถี่สูงนั่นเอง

และเพราะวาเรานั้นเปนคนที่คิดอยูตลอดเวลาและมีความแปรปรวนทางอารมณสูง เราไดสง

พลังงานแมเหล็กไฟฟาความถี่สูงบางต่ําบางออกไปสูอวกาศอยูตลอดเวลาโดยไมรูตัวเลย เรานี่แหละ

คือตัวผลิตพลังงานแมเหล็กไฟฟาชั้นเยี่ยมที่สงพลังงานรูปแบบนี้ออกไปอยูตลอดเวลาไมวาเราจะรูตัว

หรือไมก็ตามในแงนี้เราไดกลายเปนมนุษยแมเหล็กไฟฟาไปโดยปริยาย เพราะวาเราคือตนกําเนิดใน

การผลิตพลังงานแมเหล็กไฟฟาที่ถูกผลิตขึ้นจากความคิดที่ผสมอารมณและความรูสึกของเรา แลว

สงออกไปสูหวงอวกาศตลอดเวลา

ทวา พลังงานแมเหล็กไฟฟานั้น มีคุณสมบัติที่นาสนใจมากอีกประการหนึ่ง กลาวคือ คลื่น

แมเหล็กไฟฟาความถี่ เดียวกันจะดึงดูดกัน รวมตัวกัน และเสริมแรงกัน นี่หมายความวาคลื่น

แมเหล็กไฟฟาที่มีความถี่สูง ๆ จะดึงดูดคลื่นความถี่สูงอื่น ๆ เขาหากัน มันแปลความหมายไดอีกอยาง

หนึ่งวา คนที่กําลังสงคลื่นแมเหล็กไฟฟาความถี่สูง ๆ ซึ่งแนนอนวามันผลิตขึ้นมาไดก็เพราะวาเขากําลัง

คิดถึงอะไรบางอยางที่ผสมดวยความรูสึกที่ดี ยอมดึงดูดคลื่นแมเหล็กไฟฟาความถี่สูงของคนอื่น ๆ ที่

กําลังสงออกไปในอวกาศเชนเดียวกันขอใหผมสรุปใหงายขึ้นโดยไมตองกลาวถึงคลื่นแมเหล็กไฟฟาวา

17

Page 18: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

...เมื่อเราอารมณดี ราเริง ยิ้มแยมแจมใส ปติยินดี ตื่นเตนเราใจ และสุขใจอยางเหลือลน เรากําลัง

ดึงดูดชักนําพาใหคนดี ๆ สถานการณดี ๆ ความโชคดี และสิ่งดีสารพัด เขามาหาเราอยางมากมาย

มหาศาลนั่นเอง ในทางตรงกันขาม เมื่อเราเซ็ง บน ตําหนิ เบื่อหนาย ถอนหายใจมาก ๆ กลัดกลุมใจ

สลดใจ สมเพชตนเอง หดหูใจ และอะไรก็ตามที่รูสึกแยมาก ๆ เรากําลังดึงดูดชักนําพาใหคนเลว ๆ

สถานการณเลว ๆ โชคราย และส่ิงเลวรายสารพัดเขามาหาเราอยางมากมายมหาศาลเชนกัน

จะวาไปแลว คนโบราณเกงกวาที่ผมคิดไวมาก พวกเขาไดคนพบ “กฏแหงการดึงดูดชักนําพา”

มากวาสองพันปแลว อยางไรก็ตาม ในสมัยนั้น (ซึ่งสมัยนี้ก็ยังใชกันอยู) กฏนี้ไดกลาวไวส้ัน ๆ อยางทรง

พลังวา “ของที่เหมือนกันดึงดูดกัน” แตในฐานะที่ผมไดศึกษาเรื่องนี้มามาก ผมไดขยายกฏนี้ใหยาวขึ้น

และตอไปนี้คือกฏแหงการดึงดูดชักนําพาฉบับใหมลาสุดของผม กฏนี้กลาววา “ของที่เหมือนกันดึงดูด

กัน เราไดดึงดูดชักนําพา ผูคน สถานการณ ความประจวบเหมาะ ตลอดจนเงื่อนไขและสภาวะการณ

ตาง ๆ ที่ตรงกับความถี่ของคลื่นแมเหล็กไฟฟของเราที่สรางขึ้นจากความคิดจิตใจของเราที่สงออกไป

ในอวกาศทุกขณะอยางหลีกเลี่ยงไมได”

คุณผูอานที่รัก ดั่งที่ผมไดกลาวตั้งแตแรกแลววา พวกเราจํานวนมาไดทําตัวเปน “ผูเชี่ยวชาญ

ดานความหดหูและความเครียด” พวกเราลวนแลวแตดําเนินกลยุทธที่ผิดพลาด นอกจากจะไมไดผล

และไมไดส่ิงที่เราตองการแลว กลยุทธ เชนนั้นกลับกลายเปนสาเหตุที่แทจริงที่ชักนําแตเร่ืองที่เราไม

ตองการเขามาหาเราเปนขบวนพาเหรด เราตองหยุดมันโดยการฝกฝนตนเองใหเปนผูเชี่ยวชาญดาน

ความราเริงและผองใสกันเสียที สมัยกอน ผมไดยินคนบางคนสบถวา “ถึงผมจะเซ็ง จะเครียด จะหดหู

มันก็เร่ืองของผม แลวมันหนักหัวใคร!” ขอประทานโทษ ผมทราบดีวามันไมหนักหัวผม แตวาคนเลว ๆ

และสถานการณเลวรายอีกมากที่คนคนนี้กําลังไปดึงดูดเขามาหาตัวเขานั้น พวกมันไมสนใจหรอกวา

หนักหัวใคร เพราะวาพวกมันมาตามคําเชิญ แหงพลังดึงดูดชักนําพาที่สบัตรเชิญไปตามพวกมันดวย

คลื่นแมเหล็กไฟฟาความถี่ต่ํา ๆ ชนิดเดียวกัน ใหเขามาสรางปญหาอยางไมมีทางหลีกเลี่ยงได ขอให

ผมย้ําอีกครั้งเถอะวา...มันไปหนักหัวคนเลวและสถานการณเลว ๆ ที่เขาไปเชื้อเชิญดึงดูดเขามานั่นเอง

18

Page 19: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 11 ซวยซับซวยซอน เพราะสงจดหมายเชิญผิดใบ

อันที่จริงผมไมสนุกเลยที่จะร้ือฟนอดีตที่วา ผมโงขนาดไหนที่มักดําเนินชีวิตดวยการตอตานโลก ตําหนิ

ติเตียน บน เบื่อหนาย เซ็ง ข้ีกลัว วิตกกังวล สมเพชตนเอง สับสน วาวุนใจ หดหูและอาการไร

ความสุขออีกสารพัดรูปแบบ คุณคงประหลาดวาปมเปนอยางนั้นไดอยางไร แตเชื่อผมเถอะวา พวกเรา

จํานวนมากเหลือเกินลวนตกอยูในวังวนเชนนั้น แมวาความเปนไปของชีวิตหลาย ๆ แงมุมเปนเรื่องลี้

ลับและซับซอนจนยากที่จะเขาใจไดกระจางก็ตาม แตเมื่อหวนคิดถึงเหตุการณของผม ของสังคม ของ

ประเทศ หรือแมกระทั่งของโลก ผมพบวาพวกเราทั้งโลกไดชวยกันเซ็ง วาวุน สับสน วิตกกังวลและ

หวาดกลัวกันมากขนาดไหน คุณเคยไดยินภาษาแบบนี้บางไหม...โอนี่ไงสังคมแหงความราเริงกันทั้ง

บาง โอนี่ไง...ประเทศที่ไรความวิตกกังวล โอนี่ไง ดาวนพเคราะหโลกที่มนุษยรักใครกันเหลือเกิด แต

ความจริงก็คือ เรากําลังดําเนินชีวิตอยูทามกลางคลื่นความคิดของอารมณที่เต็มเปยมไปดวยความ

กลัวไมใชหรือ!

ไมตองสงสัยเลยวาผมไดดึงดูดเ ร่ืองไมดี เขาหาตนเองมากมายเพียงใด กับความ

รูเทาไมถึงการณของผม ผมเคยสูญเสียเงินทองกวาสิบลานบาท ลมเหลวว้ําซาก หวาดกลัว ตกอยู

ภายใตสภาวะไรความสุขที่เกิดจากความทอแทส้ินหวัง ผมมักคร่ําครวญ โกรธตนเอง บางครั้งผมตอง

น้ําตาไหลตามลําพังเงียบ ๆ และแวบหนึ่งแหงความคิดก็คือ...ผมอยากตายใหพนไปจากสิ่งที่ผมเผชิญ

อยู อีกเนิ่นนานใหหลัง ผมถึงไดคนพบความรูที่วา อาการซวยซ้ําซวยซอนเหลานี้ลวนเกิดขึ้นจากการสง

จดหมายเชิญผิดใบของผมเอง ผมไดลงมือทําใหตนเองกลายเปนเหยื่อเสียเองโดยไมรูตัว

คุณผูอานที่รักยิ่ง วันแลววันเลาที่ผมตกอยูในสภาพอันหดหูนั้น มันเปรียบไดกับวาผมไดสงจน

หมายเชิญผิดใบที่แนบติดไปกับคลื่นแมเหล็กไฟฟาความถี่ต่ํา ๆ ของผม ในจดหมายเชิญใบนั้นมี

ขอความวา “ฉันคือความโศกเศรา ขอใหโลกนี้สงความทุกขทรมานเขามาหาฉันมาก ๆ ไดเลย” เมื่อคุณ

ไดอานมาไกลถึงเพียงนี้ คุณคงพอเขาใจแลววา กฏแหงการดึงดูดชักนําพา ไดทํางานของมันอยางแข็ง

ขัน และชักนําแตเร่ืองเลว ๆ ที่ผมไมตองการเขามาเปนขบวนพาเหรด ขาวดีก็คือ หลายปมานี้ ผมไดใช

กลยุทธใหมผมฝกฝนตนเองจนกลายเปนคนที่ราเริงอยูเสมอเพื่อใหสอดคลองกับส่ิงที่ผมไดรูแลววา

อะไรเปนอะไร ผมเร่ิมสงจดหมายเชิญถูกใบที่กลาววา “ฉันคือความสุข ขอใหโลกนี้สงสิ่งดีงามเขามา

หาฉันมาก ๆ ไดเลย” แมบางครั้งผมอาจกลับไปกังวล แตผมก็มักมีอนุสติที่วองไวจนสามารถกลับมารา

เริงไดโดยงายและรวดเร็ว และแลวชีวิตใหมของผมก็ดําเนินไปในลักษณะที่ไดรับพร อยางนี้สิถึงจะสม

กับการไดเกิดมาเปนคน เพื่อใหคุณเกิดอนุสติเชนกัน คุณจําตอนตน ๆ ของหนังสือเลมนี้ไดไหม ผม

ขอรองใหคุณถามตนเองเสมอวา “ฉันตองการอะไร?” ผมเชื่อแนวาคุณตองการความสุข แลวมันไมบา

หรอกหรือหากเราดํารงชีวิตสวนใหญของเราโดยพากันไปอยูในสภาวะที่แสนเซ็ง ทําไมเราไมเฉลียวใจ

19

Page 20: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

กันเลยวา...นั่นมันผิดทางแลว มันไมใชส่ิงที่เราตองการสักหนอย แลวทําไมเรามักปลอยปละละเลยมัน

ละ บางทีเปนเพราะเราไมรูฤทธิ์เดชของการสงคลื่นแมเหล็กไฟฟาความถี่ต่ํามาก ๆ นั่นเอง และแนนอน

วาเราตองหยุดสงจดหมายเชิญผิดใบ และหันมาสงจดหมายเชิญถูกใบแบบเรงดวน บางที มันอาจชวย

เราไดมากขึ้น เมื่อเราไดรับบทเรียนจากกอนหินซะบาง

20

Page 21: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 12 บทเรียนจากกอนหิน

ใหเราจินตนาการวา ทั้งคุณและผมกําลังกํากอนหินกอนหนึ่งไวในมือซาย หนึ่งชั่วโมงผานไปแตเราก็ยัง

กําอยู เราคงเจ็บมือนาดูเลยในตอนนี้ แตขอใหเรากํามันตอไป จินตนาการวาขณะนี้รกําลังกินขาวอยู

เราใชมือขวาจับชอนตักอาหารเขาปาก แตมือซายของเราก็ยังคงกํากอนหินนั้นไว นี่มันลําบากไหม

แนนอนวาลําบาก นี่มันทรมานไหม แนนอนวามันทรมาน เอาละใหจินตนาการวาเราแตละคนกําลัง

อาบน้ําอยู แตเราก็ยังคงกํากอนหินไวในมือซายตอไป กระทั่งเราออกไปพบใครหรือพูดคุยกับใคร...ก็

ขอใหเรากํากอนหินนั้นไว นี่มันบาชัด ๆ ในโลกแหงความเปนจริง เราจะกํากอนหินโดยไมวางมันลงได

สักกี่ชั่วโมงกัน! เอาละ... พพอกันที ส่ิงที่เราจะทําก็คือ...แควางมันลง ความจริงงาย ๆ ก็คือ...กอนหิน

จะไมมีวันวางเรา เรานั่นแหละที่ตองวางมันลง ก็แคนั้นเอง และเราจะไดรับอิสรภาพ

ก็แลวจิตใจของเราที่กําความทุกข ความเซ็ง ความเบื่อหนาย ความกลัดกลุมใจ ความนอยอก

นอยใจ ความทอแท ความโกรธ ความอาฆาต ความหดหู ความรูสึกวาแบกรับไมไหวหรืออะไรก็ตามที่

แย ๆ ละ สภาวะจิตหรืออารมณเชิงลบเชนนั้นมิยิ่งยาวนานกวาและเลวรายกวาการกํากอนหินดวยมือ

ของเราหรอกหรือ? คุณเคยโกรธใครนานกวาหนึ่งวันไหมละ แนนอนวามันเปนไปได แตเคยไหมที่คุณ

กํากอนหินโดยไมปลอย นานถึงหนึ่งวัน ไมมีทาง! พวกเราไมยอมตื่นขึ้นมาจริง ๆ เพื่อรับรูวาอารมณลบ

จะไมยอมปลอยเรา มีแตเรานั่นแหละที่ตองปลอยวางพวกมันลงเสีย ดังนั้น เราจําเปนตองปลอยกอน

หินออกจามือของเราพอ ๆ กับที่เราตองปลอยวางเรื่องไมดีออกจากจิตใจของเราถาไมอยากทุกข

ทรมาน

แมวาผมจะไดอธิบายถึงขนาดนี้แลวก็ตาม หลาย ๆ คน ที่โทรศัพทถึงผมยังยืนยันที่จะจมอยู

ในกองทุกข พวกเขามักพูดในทํานองเดียวกันวา “ก็ชีวิตคุณไมไดลําบากเทาฉันนี่ คุณก็พูดไดสิวาให

ปลอยวางเสีย” เห็นทีผมตองอธิบายตอดังนี้...

21

Page 22: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 13 “ก็ชีวิตคุณไมไดลําบากเทาฉันนี่ คุณก็พูดไดสิวาใหปลอยวางเสีย”

หญิงสาวคนหนึ่งโทรศัพทถึงผม เธอปรับทุกขมากมายวาชีวิตของเธอชางลําบากเหลือเกินและไมมี

ความสุขแมแตนิดเดียว ผมอธิบายหลายหัวขอที่ผมไดเขียนผานมาแลวใหเธอฟง แตเธอคานวา “ก็

ตอนนี้ฉันไมมีเงิน แลวฉันจะมีความสุขไดอยางไร” ผมจึงเผยเคล็ดลับที่จะไขเขาสูชีวิตที่แสนวิเศษให

เธอทราบโดยบอกเธอวา “ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้คุณไมมีเงิน ใหตัดสินใจเสียที่จะมีความสุขในวันนี้และทุกวัน

ใหไดแลวสิ่งที่ดูเหมือนวาเปลี่ยนแปลงไมไดจะเปลี่ยนแปลงไปเอง” ผมรูดีวาสิ่งที่ผมบอกไปอาจปฏิบัติ

ไดยากหนอยในตอนแรก แตในเรื่องแบบนี้ผมไมไดหมายถึงความสมบูรณแบบ แตหมายถึงให

พยายามหนอย แมนิดหนึ่งก็ถือวามีความกาวหนาแลว มันหมายถึงการฝกตนเองแบบใหมที่จะไมยอม

ตกอยูในสภาพเดิมที่เราโคตรคุนเคย (ขออภัยในความไมสุภาพเล็กนอย) เราไมเบื่อกันหรือไงกับความ

แหงแลงแหงชีวิตเชนนั้น ทําไมละ การฝนยิ้มสักเดี๋ยวจะตองใชจายหรือไง! การกระโดดโลดเตนที่ราเริง

สักนิดหนอยจะทําใหเธอคนนั้นเสียเงินเพิ่มหรือไง! เอาละ สมมติวาทั้งความหดหูและความราเริงไม

สามารถทําใหการเงินของเธอดีข้ึนมาได ก็แลวอยางไหนดีกวากันละระหวางความหดหูกับความราเริง

ดั่งที่ผมไดเลาแลว ในตอนที่เธอกลาววา “ก็ชีวิตคุณไมไดลําบากเทาฉันนี่ คุณก็พูดไดสิวาให

ปลอยวางเสีย” สมมติวาผมแนะนําเธอวา “คุณตองรองไหใหมาก ๆ ใหพยายามทุกขทรมานใหมาก

ที่สุดเทาที่คุณจะทําไหว เอาเลย คุณชินแลวนี่กับพฤติกรรมเหลานั้น ประชดชีวิตมันเขาไปใหเต็มที่ ให

สมกับที่โลกนี้มันหวยแตกสิ้นดี เอาเลยลุยเขาไปเลย” คุณผูอานที่รัก เรารูดีวาคําแนะนําที่บาบอคอ

แตกเชนนั้นชวยหญิงสาวคนนี้ไมได ในเมื่อวิธีเกาที่มุงเนนความหดหูแลวมันไมเวิรค มันไมไดผล มัน

ไมไดส่ิงที่เธอตองการ งั้นทําไมไมลองวิธีตรงกันขามละ มันจะทําใหเธอเสียหายอะไรหรือถาเธอหันมา

ใชกลยุทธใหมที่ราเริงสุดขีด พฤติกรรมนี้จะทําใหเธอเสียหายมากกวาเดิมไดอีกหรือไง! แนนอนวาเธอ

ไมมีอะไรจะตองสูญเสีย แลวทําไมไมลองละ

แตขาวดีก็คือ เมื่อเธอคนนั้นตั้งหนาตั้งตาราเริงกันทั้งวัน มันเวิรค!!! ใชแลววามันจะไดผล มัน

จะคอย ๆ คลี่คลายปญหาในทุกรูปแบบใหเธอได แนนอนวาผมไมไดบอกวาเธอไมตองทําอะไรเลย แต

ผมหมายความวาใหทําทุกอยางที่ตองทําตอไปแตเพิ่มอีกนิดตรงที่ใหราเริงเขาไว ปติยินดีเขาไว ยิ้ม

แยมแจมใสเขาไว แลวพลังงานคลื่นแมเหล็กไฟฟาความถี่สูงที่เธอสงออกไปในอวกาศทุกวันซึ่งเปรียบ

ไดกับการสงบัตรเชิญถูกใบของเธอ ตลอดจนกฏแหงการดึงดูดชักนําพาก็จะเร่ิมไปตามผูคน

สถานการณและความประจวบเหมาะอันดีงามที่ถูกที่ถูกเวลา เขามาหาเธออยางนาพิศวง เธอกําลัง

กวักมือเรียกสิ่งดี ๆ ที่มีพลังงานความถี่สูงแบบเดียวกับคลื่นของเธอเขามาพัวพันในวงจรชีวิตของเธอ

นั่นเอง แลวชีวิตของเธอก็คอย ๆ ดีข้ึนและเปลี่ยนแปลงไป

22

Page 23: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

ฉะนั้นถาตอนนี้คุณยังไมมีแฟน แตคุณอยากมีแฟน แลวคุณจะมีความสุขไดอยางไร? คําตอบ

ก็คือ “ทั้ง ๆ ที่คุณยังไมมีแฟน ใหตัดสินใจเสียที่จะทําตัวใหมีความสุข แลวคุณจะดึงดูดสิ่งที่คุณ

ตองการ”

ถาตอนนี้คุณสุขภาพไมดีนักจนคุณลําบากลําบน แลวคุณจะมีความสุขไดอยางไร? คําตอบก็

คือ “ทั้ง ๆ ที่คุณสุขภาพไมดีนักจนคุณลําบากลําบน ใหตัดสินใจเสียทีจะทําตัวใหมีความสุข แลวคุณ

จะมีสุขภาพที่ดีข้ึน

อาจกลาวสรุปไดวา ไมวาเราจะอยูในสภาวะเงื่อนไขใด ๆ ก็ตาม ใหตัดสินใจเสียที่จะมี

ความสุขโดยทําตัวใหราเริงและมีควมสุขแลวเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงสภาวะเงื่อนไขที่เราไมชอบใจ

ไดโดยไมยากเย็น ถามจริง การตัดสินใจที่จะมีความสุขนะ...มันนารังเกียจนักหรือไง พวกเราถึงไดลังเล

กันนัก!!!

23

Page 24: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 14 กฏแหงการมุงเนน

เทาที่ผานมา ผมไดอธิบายวาความคิดที่เจืออารมณของเรานั้น เปนพลังงานรูปหนึ่งในรูปของคลื่น

แมเหล็กไฟฟาที่มีความถี่แปรปรวนไปตามอารมณหรือสภาวะจิตของเรา นอกจากนี้ผมยังไดกลาวถึง

กฏแหงการดึงดูดชักนําพา และแนะนําใหพวกเราราเริงเขาไวเพราะนั่นคือการสงจดหมายเชิญถูกใบ

และยังเปนการกวักมือเรียกสิ่งที่ดแสนดีตาง ๆ นานาเขามาพัวพันในชีวิตของเราเปนชุดชุด มากมาย

กายกองจนเปนขบวนพาเหรด อยางไรก็ตาม ผมทราบดีวาเรื่องที่ผมบอกไปนี้เปนเรื่องที่ใหมมาก

สําหรับคนจํานวนมาก หลายคนจึงทําใจไมไดวาจะเชื่อดีหรือไม สวนผมนั้นแนนอนวาเชื่อมั่นใจสิ่งทีผ่ม

กลาวไวทุกประการ ผมคิดวาถาเราไดพิจารณาเรื่องนี้ในอีกหนทางหนึ่ง บางทีเราอาจจะไดคําตอบที่

ชัดเจนและสอดคลองตองกันไดโดยงาย ส่ิงที่ผม จะกลาวถึงก็คือ กฏแหงการมุงเนน

กฏแหงการมุงเนนกลาววา “อะไรก็ตามที่ความคิดจิตใจของมนุษยมุงเนนหรือมุงมอง ก็มี

แนวโนมวาเขาหรือเธอคนนั้นจะไดส่ิงนั้นมาครองมาก ๆ”

เพื่อที่จะใหงายในการพิสูจนกฏนี้ ผมจึงขอใหพวกเราหงายฝามือขวาขึ้นมาตรงหนา จากนั้นก็

ใหล็อกสายตาไวที่ฝามือนี้ตลอดไปหนึ่งชั่วโมง เดาสิวาเราเห็นอะไร... ก็ลายมือของเรานะสิ! แลวทําไม

เราถึงจะไดเห็นสิ่งอื่นบางละ งายจะตาย...ก็เลิกมองฝามือแลวหันหนาไปมองอยางอื่นเสียทีสิ ส่ิงนี้จะ

แตกตางอะไรกับจิตใจของเรา เมื่อจิตใจของเรามุงเนนหรือมุงมองแตความเซ็ง ความหดหู และความ

กลัดกลุมใจอยูเกือบตลอดเวลา เดาสิวาเราจะไดครอบครองอะไรไวมาก ๆ ก็ความทุกขทรมานไงละ

แลวเราจะทําไงดี ก็หันไปคิดไปจินตนาการเรื่องดี ๆ บางสิพวกเรา คราวนี้พวกเราจะไดครอบครองอะไร

ไวมาก ๆ ก็ความสุขไง

คุณผูอานที่รัก อันวากฏแหงการมุงเนนนั้น ไมวาผมจะพิจารณามันอยางไร ผมรูสึกวามันชาง

เหมือนกับกฏแหงการดึงดูดชักนําพาเหลือเกิน ผมคิดวาเจาสองกฏนี้ตองเปนพี่นองฝาแฝดกันอยาง

แนนอน ผมเช่ือวาคุณคงไดไอเดียพอสมควรแลว ฉะนั้นมันถึงเวลาแลวที่เราจะตองหันมาใชกลยุทธ

ใหมดวยการสรางอารมณที่มันราเริงมาก ๆ ยิ้มแยมแจมใสมาก ๆ ณ บัดนี้ มันถึงเวลาแลวที่เราจะตอง

รูกันอยางจริงจังกันเสียทีวา พลังแหงความรูสึก หรือพลังแหงอารมณ หรือพลังแหงสภาวะจิต เปนพลัง

ที่ยิ่งใหญกวาพลังแหงความคิดมากมายนัก

24

Page 25: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 15 ระหวางความคิด กับความรูสึก

นานมาแลวที่ผมมักหลงใหลวาพลังแหงความคิดคือส่ิงที่ยอดเยี่ยมที่สุดจะวาไปแลวก็ไมผิดนัก แตวา...

ความจริงที่นาตกใจสําหรับผมก็คือ ชีวิตผมไดเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาลเมื่อวันที่ผมไดตระหนักวาพลัง

แหงอารมณ (หรือพลังแหงสภาวะจิต หรือพลังแหงความรูสึก) เปนพลังที่มีอานุภาพและทรงพลังเหนือ

พลังทั้งมวล พลังนี้อธิบายพฤติกรรมของเรา ส่ิงที่กําลังเกิดขึ้นกับตัวเรา และพฤติกรรมของคนในโลกนี้

ไดดีเอามาก ๆ

การเปลี่ยนกรอบความคิดในเรื่องนี้เพียงเรื่องเดียวไดกระทบตอการดําเนินชีวิตประจําวันของ

ผมเปนอยางมาก ซึ่งผมจะคอย ๆ อธิบายตอไป

เพื่อที่จะชี้ใหเห็นถึงความแตกตางใหจงได ผมจําเปนตองลดความสําคัญของสมองลงมาเสีย

หนอย เชน ถาผมบอกวากระเพราะอาหารก็เปนแคอวัยวะชิ้นหนึ่งที่มีหนาที่ยอยอาหารเทานั้น มันยอม

งายมากที่ผมจะพูดวา “เราทุกคนไมใชกระเพาะอาหาร” ในทํานองเดียวกัน สมองก็เปนแคอวัยวะชิ้น

หนึ่งเหมือนกัน ผมยอมพูดไดวา “เราทุกคนไมใชสมอง” ยอมแนนอนอยูแลววาเราตองเปนอะไรที่มัน

มากกวาการเปนแคสมอง แตวาสมองมีความสามารถในการคิด วิเคราะห ประเมินผล ตั้งคําถาม ตอบ

คําถาม แปลความหมาย และควบคุมการทํางานของอวัยวะอื่น ๆ อีกเปนจํานวนมาก ความสําคัญของ

สมองจึงโดดเดนเหนือส่ิงอื่นใด ถึงกระนั้นก็ตาม เพียงเพราะวาสมองของเราคิดได ผมไมสามารถพูดได

วา “เราคือความคิดของเรา” ก็เราจะกลายเปนสิ่งที่เราผลิตมันออกมาไดอยางไร ก็เรานั่นแหละที่สราง

หรือผลิตความคิดออกมาจากสมอง เรายอมเปนเรา เราที่ยิ่งใหญกวาความคิด และสมมติวาเราไมได

สรางความคิดใด ๆ ข้ึนมา เราก็ยังคงเปนเราอยูดี เราไมไดกลายเปนศูนย ณ ขณะที่สมองของเราไมได

คิดอะไรเลย ผมอยากใหเรามองวาสมองเปนแคเครื่องมือชิ้นหนึ่งที่มีประโยชนของเรา ดวยวิธีนี้เทานั้น

ที่เราจะตระหนักรูไดวา เราเปนอะไรที่เหนือช้ันกวาความคิด (สมอง) ของเรามาก

คําวาสภาวะจิตหรือสภาวะอารมณ หรือความรูสึก เปนคําสามคําที่แมไมเหมือนกันเปะ แตมี

บทบาทที่สําคัญกวาพลังความคิดหรือพลังสมองมาก เมื่อผมพูดวา “ตอนนี้พวกเรารูสึกกลาหาญ”

ความกลาหาญเปนนามธรรม เปนสภาวจิตหรืออารมณความรูสึกอยางหนึ่ง เปนคุณสมบัติชนิดหนึ่ง

ผมบอกไมไดวาตรงไหนของตัวพวกเราบางที่กลาหาญ ตรงที่ขอศอกขวารึ ไมใชแน ตรงที่หัวเขารึที่กลา

หาญ ไมใชอีกนั่นแหละ เมื่อพวกเรารูสึกกลาหาญตั้งแตหัวจรดเทาตลอดจนทั้งภายในและภายนอก

ของเรานั่นแหละที่อยูในสภาวะกลาหาญ ยามที่เราอยูในสภาวะจิตที่หวาดกลัว ตรงไหนของเราละที่

กลัว ก็ตั้งแตหัวจรดเทาตลอดจนทั้งภายในและภายนอกของเรานั่นแหละที่อยูในสภาวะหวาดกลัว เมื่อ

เราขนลุกซู...มันไมเลือกที่เกิดหรอก มันก็ขนลุกไปทั้งรางนั่นแหละ ผมมักชอบพูดวา “ความคิดอยูที่

สมองที่บรรจุอยูในกะโหลกของเรา แตความรูสึกอยูในรางของเรา” เมื่อเราเหยียบตะปูเราคิดที่สมองแต

25

Page 26: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

เราเจ็บที่ไหน ของกลวย ๆ ... ก็ที่ฝาเทานะสิ ยามที่เรากินอาหารเปนพิษแลวจะเปนไง อีกครั้งที่เราคิดที่

สมองแตเราปวดที่ทอง ผมถึงพยายามพูดอยูเสมอวา...ความรูสึกอยูในรางของเรา เราจึงตองสนใจ

ความรูสึกใหมาก ๆ

เมื่อผมถามวา “ตอนนี้พวกเราคิดอะไรอยู?” มันตอบยากเพราะวาเรามักไมคิดเรื่องไหนนาน

เมื่อผมถามวา “ตอนนี้พวกเรารูสึกอยางไร?” คราวนี้พอบอกไดเพราะวาความรูสึกมักคางอยูในตัวเรา

ไดนานพอสมควรจนเรารูวาเราอยูในอารมณไหน ณ ตอนนี้ มาดูตัวอยางใกลตัวอีกเพียบ เชน

จิตรกรคนไหนก็ไดอาจเลือกไมวาดภาพในวันนี้ถาเขารูสึกวาไมมีอารมณ สมองของเขาไมได

เสีย ความสามารถในการวาดภาพของเขาไมไดหมดไป แตมันไมมีอารมณ เขารูสึกวาแมฝนทําก็คงได

ผลงานออกมาไมดี

นักเขียนบทประพันธ คนเขียนดนตรีหรือบทเพลง คนที่ชอบเขียนบทกลอน คนเหลานี้แมน

ปราศจากซึ่งอารมณแลวไซร โอกาสก็คือ พวกเขาจะไมทํากิจกรรมเหลานั้น และเชนกัน คนเหลานี้ลวน

ไมไดสมองเสีย ไมตองไปผาตัดสมอง พวกเขาแคไมอยากทําในตอนนี้เราพบวามันไมมีอารมณ

นักกอลฟอาชีพและมือสมัครเลน ในบางคราวที่เลนไดแยเอามาก ๆ ไมมีใครพูดแบบนั้นแน

พวกเขามักอธิบายวา “วันนี้จับความรูสึกไมไดเลย” แลวความรูสึกคืออะไรละ ก็คือสภาวะจิตหรือ

อารมณนั่นเอง นักกีฬาในวงการอื่นก็เชนกัน ปจจัยสําคัญอยูที่ความรูสึกมากกวาปจจัยอื่น ที่เปน

ตัวกําหนดวาพวกเขาจะทําไดดีมากหรือดีนอยแคไหน

“ไปดูหนังกันมั้ย?” ผมโทรศัพทไปชวนเพื่อน “ไมมีอารมณเลยวะ” เพื่อนบอก เดาสิวาเขา

ตัดสินใจวาไง “มึงไปเถอะ กูไมมีอารมณวะ” ฉะนั้น ในกรณีอ่ืนก็เชนกัน ไมวาจะเปนการไปกินขาว ไป

ภูเขา ไปทะเล ไปขับรถเลน ไปโยนโบวล่ิง ไปวายน้ํา ฯลฯ มันตองดูกอนวามีอารมณไหม ถาไมมีแมแต

นิดเดียว ขอใหเชื่อเถอะวา มันยากเอามาก ๆ ที่มนุษยจะยอมทําอะไรก็ตามในขณะที่ไมมีอารมณเลย

และตอใหทําตาม มันจะเปนการกระทําที่ไมคอยไดเร่ืองเสมอ โปรดจําไววา อารมณคือตัวชี้หลักวา

พวกเราเต็มใจแคไหนที่จะทําหรือไมทําอะไร

เพื่อที่จะปูทางใหเราเขาใจวา สภาวะจิต หรืออารมณความรูสึกของเรานั้นสําคัญอยางยิ่งยวด

ผมอยากใหเรามองมันในลักษณะคุณสมบัติ ตอไปนี้เรามาพิจารณานามธรรมตอไปนี้ดู ความรักความ

อบอุน ความกลา ความเชื่อมั่น ความเมตตากรุณา ความเอื้อเฟอเผื่อแผ ความเปนผูให ความเพียร

ความพยายาม ความมุงมั่น ความยุติธรรม ความซื่อสัตย ความอดทน ความมีวินัย ฯลฯ ส่ิงเหลานี้คือ

อะไรกันแน พวกมันลวนจับตองไมได ไมมีรูปรางที่พวกมันมีลักษณะเปนคุณสมบัติ เปนสภาวะจิต เปน

สภาวะอารมณหรือความรูสึก เชน ความเชื่อมันเปนความรูสึกอยางหนึ่ง ผมไมบาพอที่จะพูดวา “ความ

เชื่อมั่นเปนความคิด” อยางแนนอน เห็นไดชัดวาสิ่งเหลานี้ลวนเปนสิ่งที่นักปราชญสอนเราวา เราตองมี

ส่ิงเหลานั้นเพื่อชีวิตที่เปยมสุขและประสบความสําเร็จ สรุปงาย ๆ ก็คือ คุณสมบัติเหลานั้นหรือสภาวะ

26

Page 27: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

จิตเหลานั้น เปนอีกชื่อหนึ่งของอารมณในเชิงบวกทุกชนิด และเราตองหันมาใสใจวาเราสามารถสราง

อารมณเชิงบวกขึ้นมาไดอยางไร

ในทางตรงกันขาม อารมณเชิงลบทั้งหลายแหลก็เชนกัน เปนคุณสมบัติที่มีพลังในการทําลาย

ลางสูงสุด พวกมันจึงเปนสิ่งที่เราไมตองการอยางแนนอน สวนขาวดีก็คือ ในขณะที่อารมณเชิงลบทรง

พลังที่สุดในการทําลายลาง แตอารมณเชิงบวกก็ทรงพลังที่สุดเชนกันในการสรางสรรคทุกสิ่งที่ใหบัง

เกิดขึ้น ไมมีพลังอะไรหมัดหนักเทากับพลังแหงอารมณ และตอนนี้เราไดรูแลวดวยวา เราตองเลือกพลัง

ฝงไหน ถูกตอง...พลังแหงอารมณเชิงบวกเทานั้น

อนึ่ง การฝกสติถือวาเปนหลักปฏิบัติที่สําคัญยิ่งที่ในพุทธศาสนาของเราและสําคัญยิ่งตอทุก

ศาสนาทั่วโลก (ของดีขนาดนี้มันตองเปนสากล) พวกเราลวนยอมรับวาการมีสตินั้นเปนสิ่งที่ดียิ่ง ก็แลว

การมีสติคืออะไรเลา? การมีสติก็คือการที่เราฝกตนใหรูสึกตัวมาก ๆ นั่นเอง การมีสติเปนเรื่องของ

ความรูสึก การมีสติคือการที่เราอยูกับที่นี่และปจจุบันไดอยางมีประสิทธิภาพและไดรับประสบการณ

อะไรก็ตามที่กําลังเกิดข้ึนอยางเต็มสวนหรือเต็มที่ การรูสึกตัวนี้ไมใช “ความคิด”อยางแนนอน แตมัน

เปนสภาวะแหงอารมณที่รูสึกตัวหรือคุณภาพของจิตที่ฝกไวดีแลวจนไวมากในการรับรูถึงขนาดนี้แลว

เรายังจะไมเชื่ออีกหรือวา “ความรูสึก” ชางสําคัญยิ่งตอชีวิตของเรา

27

Page 28: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 16 ตลาดหุน กับตลาดอารมณ

ในวงการคาหุนนั้น ผมขอใหสังเกตวามันเกี่ยวของกับอารมณของมหาชน มีกี่คร้ังที่เราทําตามเหตุผล...

เชื่อเถอะวานอยมาก เราไดยินแตคําศัพททางอารมณกันบอยมาก “โอ ตอนนี้ตลาดเกิดการแพนิค(ตื่น

ตกใจ) ผูคนกําลังเทขายแลวหนีออกจากตลาด” “ตอนนี้มูด (อารมณ) ตลาดไมดี ขอให wait and see

(รอและเฝาดูไปกอน)” เห็นไดชัดวาแทบไมมีใครออกมาตะโกนเลยวา “เฮ ทุกคน มีเหตุผลกันหนอย

พวกเราตองใชพลังสมองกันใหมาก ๆ เพราะวาเรามีสมองที่ฉลาดเหนือส่ิงใด เฮ วิเคราะหซิ อยาใช

อารมณสิ” แตคุณผูอานครับ ความกลัวของมนุษยเปนพลังแหงอารมณที่หมัดหนักมาก มันทําใหสมอง

เปนอัมพาต ฉะนั้น ถาหวังจะใชสมองละก็ เราตองหันมาคุมอารมณใหอยูเสียกอน คนจํานวนมากที่

หมดตัวเพราะหุน...หมดตัวเพราะคุมอารมณไมได พวกเขาทุกคนลวนแตสมอง ไมไดเสีย ผมเคย

เสียหายกับวงการหุนมาแลว ทุกวันนี้ ผมไมเลนหุนแตผมไมรังเกียจหรือเกลียดหุน ผมรูสึกขอบคุณมัน

ดวยซ้ําที่สอนผมหลายอยาง ในสมัยนั้นผมเสียหายเพราะวาผมเปนนายเหนืออารมณไมได ผมจึง

ตัดสินใจผิดพลาดหลายครั้ง ผมตัดสินใจผิดทั้ง ๆ ที่ผมเปนบุคคลหนึ่งที่มีพลังสมองดีเยี่ยม ผมบอก

แลว มันไมเกี่ยวเทาไหรกับสมอง แตมันเกี่ยวกับสภาวะจิต สภาวะอารมณ และสภาวะความรูสึก ถา

เราอยากชนะตลาดหุน...ผมขอแนะนําใหฝกฝนสภาวะอารมณใหหนักแนนเยือกเย็น แลวเราจะยืนโดด

เดนเหนือตลาดแหงอารมณของคนทั้งปวงโอกาสที่เราจะตัดสินใจทําสิ่งที่ถูกตองจะเพิ่มสูงขึ้นมาก

พูดแลวจะตกใจ กองทุนใหญ ๆ ในตางประเทศนั้น แมพวกเขาจะวิเคราะหกันมากก็ตาม ใช

เหตุผลกันมากก็ตาม แตคนที่เกงที่สุดนั้นจะติดสภานการณจากลางสังหรณแหงความรูสึกที่แรงกลา

มาก ๆ (ซึ่งไมสามารถคนหาไดจากพลังสมอง) ที่ผุดออกมาจากสภาวะจิตที่ฝกฝนสัญชาติญาณหยั่งรู

มาอยางดี มันเปนคุณสมบัติที่เหนือกวาการคิดทางเหตุผลมาก สวนขอมูลวิเคราะหที่เปนหลักฐานบน

กระดาษนั้นเปนปจจัยรอง ตราบใดที่มนุษยมีจิตใจ ตราบนั้น มนุษยตองมีอารมณมนุษยจึงตองใช

อารมณใหเกง ๆ หนอย สุดยอดแหงการใชอารมณก็คือ “คนตาย” ถาดาวนพเคราะหโลกไมมีผูคนราว

หกพันกวาลานคนอาศัยอยูละก็ โลกใบนี้จะเปนโลกที่ไรอารมณแตเพราะวาโลกนี้มันเต็มเปยมไปดวย

อารมณ จะสูกับตลาดหุนมันก็ตองสูดวยการเขาใจอารมณตลาด เขาใจอารมณตนเอง แลวเราจะ

ตัดสินใจไดถูกตองเพิ่มข้ึนอีกเปนอันมาก

28

Page 29: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 17 เราสรางอารมณขึ้นมาไดอยางไร

พวกเราลวนมีอารมณอยูตลอดเวลาตราบใดที่เรายังตื่นอยู คําถามคือ เราสรางหรือผลิตอารมณข้ึนมา

ไดอยางไร คําตอบคือ เราประกอบหรือสรางหรือผลิตอารมณข้ึนมาจากแหลงที่สรางอารมณทั้งสาม

แหลงภายในตัวเราไดแก

1. การเคลื่อนไหว 2. ภาษาที่เราใช 3. ภาพในใจที่เรามุงมองอยู

คุณผูอานที่รัก ผมกําลังจะพูดถึงเรื่องที่สําคัญเหลือเกินเปนความรูที่ทําใหชีวิตของผมไมเหมือนเดิมไป

ตลอดกาล ผมหวังและเชื่อวา มันจะสรางผลลัพธที่ยิ่งใหญใหกับคุณผูอานเชนกัน เราไปสํารวจเรื่องนี้

กันเลยเถอะ

29

Page 30: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 18 อารมณถูกสรางขึ้นจากการเคลื่อนไหว

อารมณถูกสรางขึ้นจากการเคลื่อนไหวของเรา ยิ่งเคลื่อนไหวมาและรวดเร็วมาก เราก็ยิ่งสรางอารมณที่

เรียกวา “รูสึกดี” ไดมาก ถาเราเคลื่อนไหวนอยและชาเอามาก ๆ เราก็จะมีอารมณนอยตามไปดวย ใน

กรณีนี้เรามักจะอยูในสภาวะที่เรียกวา “รูสึกแย” นั่นเอง ยกตัวอยางเชน

ตอนนี้ผมขอใหพวกเราปรบมืออยางชา ๆ เรารูสึกอยางไร อืมมมม... ก็สุดแสนจะธรรมดา เอา

ละ ไหนลองปรบมือเขาหากันแรงขึ้นแลวกระชากออกจากกันอยางเร็วที่สุดซิ ทําสักสี่หาครั้งดูคราวนี้

พวกเรารูสึกอยางไร รูสึกดี ใชไหม? คราวนี้ลองแบบใหม ใหเอาหลังมือซายปะทะเขากับฝามือขวา

อยางรวดเร็วแลวกระชากออกจากกันอยางรวดเร็วที่สุดโดยใหมือทั้งสองแยกออกจากกันใหกวางถึง

หัวไหล ลองทําดูสักสี่หาครั้ง เปนอยางไรบาง พวกเรารูสึกวาไดอารมณและรูสึกดีไหม? สําหรับผมแลว

...การทําแบบนี้มันทําใหผมรูสึกวาเยี่ยมมาก

ใหลองจิตนตนาการวาพวกเรากําลังอยูในสนามเพื่อเชียรฟุตบอลนัดโปรดของเรา เอาละ มอง

ไปเชียรลีดเดอรหนอย สมมติวาเธอกําลังสั่นขอมือดวยลีลาที่ชาเอามาก ๆ นั่นจะเปนยังไง...โอ.อะไรจะ

ไรอารมณถึงเพียงนั้น ผมบอกไดเลยวาควรเอาเธอคนนี้ไปเก็บซะ ในโลกแหงการเชียรที่แทจริงนั้นเปน

อยางไรกันแน บรรดาเชียรลีดเดอรทั้งหลายลวนเคลื่อนไหวคลองแคลววองไว ส่ันมือไวถึงไวมาก แลว

เกิดผลอยางไรละ โอ... ชางไดอารมณเสียจริง

สมมติวาตอนนี้พวกเรากําลังเพลงชนิดเราใจและดิ้นกันอยูการดิ้นคือการเคลื่อนไหวที่คอนขาง

เร็วในตัวมันเอง ฉะนั้นไมตองสงสัยเลยวามันไดอารมณ ปจจุบันนี้ผมไมพูดวา “อารมณจา ลอยมาหา

ผมหนอย” ชางไรสาระสิ้นดี แทนที่จะเปนเชนนั้น ผมจะเปดเพลงสนุก ๆ และดิ้นไปสักพัก ทันใดนั้นเอง

ผมไดผลิตอารมณเชิงบวกขึ้นมาแลว ยิ่งไปกวานั้น ผมนิยมเตนแอโรบิคทีตอเนื่องยาวนานถึงวันละ 45

นาที โอสวรรค! มันไดอารมณอยางแทจริง นอกจากนี้ถาใครก็ตามชอบออกไปวิ่ง...เอาเลย..งนั่นแหละ

วิธีผลิตอารมณอันยอดเยี่ยมอยางนึ่ง

เห็นไดชัดวา การออกกําลังกายทุกชนิดสรางอารมณ (ดี) เพราะวาการออกกําลังกายตอง

เคลื่อนไหว เพราะฉะนั้นเราตองออกกําลังกายกันบอย ๆ หนอย ถาเราอยากสรางอารมณ ผมมีเร่ือง

ตลกจะเลาใหคุณฟง คุณเคยเห็นผีจีนเคลื่อนไหวไหม มันยกมือสองขางออกไปขางหนา และกระโดด

ดวยขาสองขางพรอมกันไปขางหนา คุณเห็นภาพที่ผมอธิบายไหม ผมบอกไดเลยวา พวกผีจีนชาง

เคลื่อนไหวไดไรอารมณเหลือเกิน พวกมันเคลื่อนไหวดวยทาทางที่เชื่องชามาก ฉะนั้นในคราวหนาถา

พวกเราเจอกับพวกมัน (ผมพูดยังกับวามีผีไดจริง ๆ งั้นแหละ) ผมขอแนะใหพวกเราแคผละออกจาก

เสนทางการเคลื่อนที่ของพวกมันสักเล็กนอย เจาผีหนาโงพวกนั้นไมมีทางตามเราพบหรอก ตราบใดที่

พวกมันยังเคลื่อนไหวดวยอาการที่โง ๆ เชนนั้น! และที่ตลกไมแพกันก็คือพวกซอมบี้หรือกซากศพเดิน

30

Page 31: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

ไดของหนังฝร่ังก็โงพอกัน บรรดากองทัพซอมบี้จะเคลื่อนไหวแบบเดินโงนเงนไปมา แถมมันยังเชื่องชา

แบบชนิดที่วา ตอใหเด็กสามขวบที่ยังอมมือวิ่งหนีพวกมันพวกมันก็ไมมีวันตามทันไดหรอก ถึงกระนั้นก็

ตาม พวกฝรั่งกลับสรางหนังชนิดนี้ออกมาตั้งหลายเรื่อง ชางสมจริงสมจังอะไรขนาดนั้น... ที่พวกมัน

เหลาซอมบี้สามารถทํารายผูคนในหนังไดสําเร็จ (ผมประชดนะ)

ใหสังเกตคนซึมเศราที่เรารูจัก พวกเขาอยูในสภาวะเบื่อหนาย เซ็ง และหดหู ผูคนที่ตกอยูใน

สภาวะไรอารมณเชิงบวกนั้นมีอะไรที่เมือนกันมากประการหนึ่งละ คําตอบคือการใชกายที่เคลื่อนไหว

นอย ๆ และเชื่องชาเสมอ เราเคยพบใครบางที่สลดหดหูแลวกระโดดโลดเตน...ไมมีทาง ที่เราพบอยู

เสมอคืออาการที่เคลื่อนไหวชาดุจรางที่ไรชีวิตจิตใจ เซื่องซึม นัยนตาตก สีหนาหมนหมอง ชอบกมหนา

กมตา นั่งกอดหัวเขา เอาหนาซบฝามื ไหลงุม คอตก ฯลฯ ส่ิงเหลานี้ลวนบงชี้วาไมไดอยูในสภาวะที่จะ

เคลื่อนไหวไดวองไวและรวดเร็ว หากเราเจอใครในลักษณะที่กลาวมา โดยที่เราไมตองไปเรียนเรื่องโหง

วเฮงใหเสียเวลา เราสามารถอานคนนั้นออกไดเลยวา เขาไรอารมณ (บวก) ซึ่งมีโอกาสที่เราจะมองออก

ไดอยางถูกตองมากกวาดูผิด ดวยเหตุนี้เอง ผมมักชอบอานคนโดยดูวาพวกเขาเคลื่อนไหวอยางไร พวก

เขาใชรางกายอยางไร ยิ่งไปกวานั้น เพราะวาผมไดรูแลววา อารมณถูกสรางขึ้นจากการเคลื่อนไหว

ยามใดก็ตามที่ผมจับไดวาตนเองกําลังอารมณไมดี ผมจะรีบแกไขดวยการออกกําลังกายทันทีถามี

โอกาสอํานวย ผมเปล่ียนอารมณไดเร็วมาก เมื่อผมเปลี่ยนไปเคลื่อนไหวรางกายใหเฉียบขาด ให

รวดเร็ว นี่คือประโยชนอันเหลือเชื่อที่มีคนรูนอยมาก ยิ่งไปกวานั้น เมื่อเราไดออกกําลังกายไปสัก 25

นาที โอกาสที่สารเอนดอรฟนในสมองจะหลั่งนั้นมีมาก มันเปนมอรฟนตามธรรมชาติที่ออกฤทธ

ตอตานความเจ็บปวดและความหดหู ดังนั้นเราจึงอยูสภาวะสมองปลอดโปรงและจิตใจเบิกบาน ใน

ยามนั้นเราจะรูสึกดีเอามาก ๆ

คราวนี้ใหคิดถึงอะไรที่มันเร็ว ๆ เชน การเลนสกีน้ํา สเก็ตลูกลอ สเก็ตน้ําแข็ง กีฬาโตคลื่น การ

แลนเรือใบ การลองแกง ข้ึนรถไฟเหาะตีลังกา การโดดบันจี้จั้มป และการโดดรามดิ่งพสุธา กิจกรรม

เหลานี้ มีอะไรที่เหมือนหรือคลายกัน ความรวดเร็วไง เอาละ เราเคยเห็นใครที่กําลังทําสิ่งเหลานีแ้ลวหด

หูบาง...ไมมีทาง

สมมติวาเรากําลังตีกลองใหญดวยจังหวะที่รวดเร็วรอนแรงสมมติวาเรารัวกลองโดยใส

เร่ียวแรงลงไปอยางเต็มที่และหนักหนวงแลวเราจะอยูในอาการอยางไร เรายอมรูสึกตื่นเตนเราใจ ราเรงิ

ปติ ยินดี สนุกสนาน หรรษา เกษมสําราญ ฯลฯ ความหดหูนะหรือ...มันดํารงอยูไมไดหรอกในการ

เคลื่อนไหวที่ทรงพลังเชนนี้

เอาละพวกเรามาทําการเคลื่อนไหวที่ทรงพลังกัน ขอใหเรายืนขึ้นและกํามือขวาใหแนน ชูมัน

ข้ึนไปที่เหนือศรีษะจนสุดแขนแลวตะโกนวา “เยส” โปรดทําสักสองสามครั้งในทุก ๆ เชา เราไดสราง

อารมณที่มั่นใจขึ้นมาแลว อารมณแบบนี้ก็เชนกัน มันถูกสรางขึ้นจากการเคลื่อนไหวที่เฉียบขาดและ

รวดเร็ว คราวนี้เอาใหมใหเรากํามือใหหลวมสักหนอย ชูมือข้ึนไปใหชาและขี้เกียจที่สุดเทาที่เราจะทําได

31

Page 32: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

จากนั้นก็ใหกระซิบอยางแผวเบาวา “เยส” ดวยเสียงสั่น ๆ เปนไงบาง...โอใหตายสิโรบิ้น... มันชางไร

อารมณจริง ๆ

32

Page 33: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 19 อารมณถูกสรางขึ้นจากภาษาที่เราใช

นอกจากวาเราตองเคลื่อนไหวแลว เรายังทําอะไรอีกที่บอยมาก เราตองคุยกับตนเองหรือไมก็คุยกับคน

อ่ืน ตอนนี้ผมขอใหพวกเราหยุดคุยกับตัวเองจะไดไหม...ไมมีทาง พวกเราไมคุยกับคนอื่นเลยจะไดไหม

...ไมมีทาง ผมสรุปไดวา เราตองคุยทั้งกับตนเองและผูอ่ืนอยูเสมอ ๆ ตราบใดที่เรายังอยูบนโลกใบนี้

แตเร่ืองมันไมจบแคนั้น 95 % ของถอยคําที่เราใชเพื่อส่ือความกับตนเองและผูอ่ืนนั้น...มันสรางอารมณ

คําพูดที่เราใชเปนแหลงที่สองในการสรางอารมณ ยกตัวอยางเชน “ฉันมันไมไดเรื่อง”

เปนไง... พูดกับตนเองอยางนี้เซ็งมั้ย...แหงอยูแลว แลวเซ็งคืออะไรละมันก็คืออารมณ

“ในโลกนี้ไมมีใครรักฉันสักคน” เปนไง...พูดกับตนเองอยางนี้ เซ็งมั้ย... เซ็งยกกําลังสองไปเลย

“นายมันหวยแตก ไปตายซะ” พูดอยางนี้กับคนอ่ืนแลวเขาโกรธมั้ย เขาเจ็บใจมั้ยเขาเซ็งมั้ยของตายอยูแลว

“ฉันหมดหนทางแลว ฉันจบแลว ชีวิตฉันพังแลว” แลวพูดอยางนี้กับตนเองละเซ็งมั้ย คุณพนันไดเลย “ทําไมแมไมเคยเขาใจฉันเลย ฉันคิดแลวมันนานอยใจจริง ๆ” แลวอยางนี้ละ...หดหูมั้ย แยมั้ย มันแนนอนอยูแลว

คุณผูอานที่รัก คําพูดนั้นสรางอารมณไดงายเอามาก ๆ สุภาษิตไทย บอกวา “ปากเปนเอก เลข

เปนโท” ยอมหมายถึงใหพูดจาดีใหไพเราะพูดใหเหมาะพูดใหควร และพูดใหชาญฉลาด สมัยกอนผม

นึกวาการพูดจาดี ๆ กับตนเองเปนเรื่องธรรมดา แตผมเขาใจผิดไป ที่จริงแลว การพูดจาดี ๆ กับตนเอง

นั้น คือการสรางปาฏิหาริยใหกับตนเองทุกวัน หากวาจะรอใหคนอื่นมาพูดดีกับเรา เพื่อที่วาเราจะได

ชอบใจและอารมณดีใครจะรับประกันวามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหรและบอยขนาดไหน แตกับตัวเองซิ เราทํา

ไดเองทุกเมื่อเชื่อวันอยูแลวโดยไมตองพึ่งใคร เราตองพูดจาภาษาดอกไมกับตนเองใหมาก ๆ เพราะวา

มันสรางอารมณเชิงบวกไดอยางมาหศาล ผมมีเทคนิคที่สําคัญมากในการพูดเพื่อสรางอารมณ เทคนิค

นี้คือ การพูดถอยคําที่คัดสรรแลวดัง ๆ ดุจวาเปนคาถาวิเศษ ตอไปนี้เปนตัวอยางการพูดที่ผมชอบใช

ผมขอใหพวกเราสวมวิญญาณโดยพูดแบบตะโกนดัง ๆ และใสความรูสึกเขาไปใหเต็มที่ เมื่อเราทํา

33

Page 34: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

เชนนั้น รางกายของเราจะเริ่มตอบสนองไปตามอารมณที่เราสราง และกอใหเกิดความรูสึกที่ดีมากตอ

ตนเอง เราไดสรางสภาวะจิตที่ทรงพลังขึ้นมาในพริบตา อาจกลาวอีกอยางไดวา นี่เปนวิธีที่เราปลอย

คลื่นแมเหล็กไฟฟาความถี่สูง ๆ ออกไปสูอวกาศ และดวยกฏแหงการดึงดูดชักนําพา เรากําลังกวักมือ

เรียกสิ่งที่ดีที่มีคลื่นความถี่สูง ๆ ตรงกันเขามาหาเรานั่นเอง เอาละตอไปนี้คือ “คาถาวิเศษ” ที่เราตอง

ตะโกนดัง ๆ

ทุก ๆ วัน และในทุกหนทาง ฉันรูสึกดีข้ึน ดีข้ึน และดีข้ึน

ทุก ๆ วัน และในทุกหนทาง ฉันรูสึกเข็มแข็งมากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้น

ทุก ๆ วัน และในทุกหนทางฉันรูสึกมีความสุขมากขึ้น มากขึ้นและมากขึ้น

ฉันเปนมนุษยแมเหล็กคลื่นความถี่สูง ฉันดึงดูดแตส่ิงที่ดี ๆ เขามาหาตลดเวลา

ส่ิงที่หยุดยังฉันไวคือความกลัว ส่ิงที่ปลดปลอยฉันคือความกลา

การตัดสินใจคือบิดาแหงการกระทํา และดวยการลงมือทําคือการเริ่มตนที่แทจริง

ฉันเกิดมาเพื่อมีชัย เพื่อความสุข และความสําเร็จ

ฉันแข็งแรงยิ่งกวาวัวกระทิง ฉันแข็งแรงยิ่งกวามาแขง

ความฉลาด คือการหลีกเลี่ยงความคิดใด ๆ ที่ทําใหออนแอ

ฉันยอดเยี่ยม ฉันยิ่งใหญ ฉันทําได ฉันมีพลัง

ฉันจะฝกตนเองใหมีความสามารถตามที่ฉันตองการ

คุณผูอานที่รัก คุณตองเร่ิมตนเสียทีดวยการฝกตะโกนดัง ๆ นี่คือวิธีสรางอารมณอันยอดเยี่ยมและ

งายดาย ขอใหสวมบทบาทดั่งดาราตุกตาทองที่ตองแสดงบทคนที่จะตะโกนดัง ๆ ดวยการใสความรูสึก

ลงไปใหเต็มที่ และใชน้ําเสียงที่เฉียบขาดฉาดฉาน

ผมนั้นไดตะโกนดัง ๆ ในรถมานับคร้ังไมถวน มันวิเศษมาก เพียงทําวันละสัก 5 นาทีก็เพียงพอ

มันชางรวดเร็วเหลือเกินกับการเปลี่ยนแปลงที่ฉับพลันราวกับพลิกฝามือ ยังมีอะไรที่ลงทุนนอยขนาดนี้

แตใหผลลัพธที่ยิ่งใหญเชนนี้ไดอีกหรือ...ไมมีทาง

34

Page 35: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 20 ผมกลายเปนสายลม

การพูดดี ๆ กับตนเองสําคัญจริง ๆ หรือ? คุณพนันไดเลยวาใชและคุณจะยิ่งแนใจเมื่อคุณอานหัวขอนี้

จบ สมมติวาผมกับคุณรูจักกันและทุกครั้งที่ผมเจอคุณผมก็จะดาคุณ แลวคุณจะร็สึกอยางไร แนนอน

วาคุณยอมเกลียดชังผม เราอาจะถึงขั้นทะเลาะกัน ดากัน ชกตอยกัน และเหม็นหนากันมาก ทุกอยาง

ลวนเปนไปได แตตนตอของปญหามันอยูที่ตรงผมพูดจาไมดีกับคุณเสมอ ผมวาคุณดาสารพัดแลวใคร

ละจะทนได คุณตองเกลียดโกรผมแน นี่มันแสนจะปกติธรรมดา คราวนี้ผมขอสมมติเพิ่มเติมอีกหนอย

ผมขอสมมติวาผมกลายเปนสายลมที่ลอยเขาไปในตัวคุณ ตั้งแตนี้ไปผมอยูภายในจิตใจของคุณ และ

ผมก็เร่ิมพูดดวยเสียงในใจที่เหมือนของคุณโดยดาและดูถูกคุณสารพัดแตคุณไมรูวาผมเปนสายลมที่

ส่ิงอยูภายในจิตใจของคุณ คุณนึกวาเสียงที่ไดยินในใจมันคือเสียงของคุณ คุณนึกวาคุณกําลังคุยกับ

ตนเองโดยดาตนเองอยู คําถามคือ...คราวนี้คุณโกรธตัวเองไหมที่ดาวาตนเอง? พวกเราลวนไมโกรธ

ตนเองไมใชหรือเมื่อเราดาตนเองหรือพูดจาไมดีกับตนเอง เราไมรูเลยวานี่แหละคือตนตอที่ทําใหเราเซ็ง

หรือหดหูเมื่อเราชอบดาวาตนเอง แตเรารูวาเราทําอะไรกับเสียงในใจนั่นไมได เราจึงไมไปชกมันใน

ฐานะที่ปากเสียเหลือเกินเพราะวามันเปนไปไมได หากวาเราลากคอเสียงนั่นเอกมาได เราก็คงเอาเรื่อง

โดยชกปากมันไปแลวจริงไหมละ แตคุณผูอานที่รัก เราไมจําเปนตองไปพยายามทําสิ่งที่เปนไปไมได

หรอกครับ เรามีวิธีที่งายกวานั้นแน

คราวนี้สมมติใหมวา ทุกครั้งที่ผมพบคุณ ผมจะสรรเสริญคุณเสมอวาคุณยอดเยี่ยมและเกง

เหลือเกิน คุณคือฮีโรของผม คุณคือคนที่ผมแสนปลื้ม แลวมันจะเปนไง คุณตองชอบผมนะสิ คุณจะ

เกลียดผมลงคอเชียวหรือในเมื่อผมพูดกับคุณดวยภาษาดอกไมอยางจริงใจทั้งตอหนาและลับหลัง คุณ

ตองรักผมนะสิ และอีกครั้ง ผมขอสมมติวาผมกลายเปนสายลมที่ลอยเขาไปในตัวคุณ ตั้งแตบัดนี้ไป

ผมอยูภายในจิตใจของคุณ และผมก็เร่ิมพูดดวยเสียงในใจที่เหมือนกับของคุณโดยชืนชมและสรรเสริญ

คุณสารพัด แตคุณไมรูวาผมเปนสายลมที่ส่ิงอยูภายในจิตใจของคุณ คุณนึกวาเสียงทีไดยินในใจมนัคอื

เสียงของคุณ คุณนึกวาคุณกําลังคุยกับตนเองโดยชื่นชมตนเองอยู คําถามคือ...คราวนี้คุณจะรูสึกดีกับ

ตัวเองไหมที่ไดยินคําพูดอันแสนไพเราะนั้นอยูเสมอ ๆ อืมมมม...มันของแนอยูแลวนี่

คําถามสุดทาย มันจําเปนไหมที่คุณตองรอใหใครสักคนกลายเปนสายลมที่เขาไปสิงอยูใน

ภายในจิตใจของคุณและบังเอิญวาหมอนั่นชอบคุณเอามาก ๆ จนพูดภาษาดอกไมดวยน้ําเสียงที่

เหมือนกับของคุณเปยบเลย ก็แลวมีใครในโลกนี้ที่กลายเปนสายลมไดละ ฉะนั้น ทําไมคุณไมทําใหมัน

งายดวยการจัดสินใจวา ตอไปนี้คุณจะฝกฝนการพูดจากับตนเองบอย ๆ จนกวาเสียงในใจจะกลายเปน

การสื่อสารกับตนเองที่ดี ๆ อยางอัตโนมัติ และวิธีหนึ่งที่ไดผลงายดายคือการฝกตะโกนดัง ๆ ตามที่ได

กลาวมาแลว เมื่อคุณทําไดแลว คุณจะรูสึกวาคุณไมทํารายตนเองอีกตอไปแลว ไมมีเหยื่ออีกแลว โปรด

35

Page 36: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

จําไววา 95 % เต็มของคําพูดของคุณสรางอารมณเสมอ และคุณคือผูเลือกถอยคําไมใชถอยคําที่เลือก

ตัวมันเอง

36

Page 37: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 21 คุณภาพชีวิต คือคุณภาพของการสื่อสาร

ผมไดกลาวมาแลววาพวกเราลวนตองสื่อสารกับตนเองและผูอ่ืนอยูเกือบตลอดเวลา คุณภาพชีวิตของ

เรายอมตองขึ้นกับความสามารถในดานนี้ของเราอยางแนนอน คําถามคือ เราสื่อสารไปเพื่ออะไร

คําตอบอาจมีมากมาย แตโดยรวมก็คือเพื่อใหไดในสิ่งที่เราตองการไมวาสิ่งนั้นจะคืออะไร ฉะนั้นสาม

คําถามตอไปนี้คือหัวใจสูงสุดแหงการสื่อสารนั่นคือ

1. ที่ฉันพูดหรือแสดงออกกับตนเองอยางนี้ ฉันตองการอะไร? 2. ที่ฉันพูดหรือแสดงออกกับเขาอยางนี้ ฉันตองการอะไร? 3. ที่เขาพูดหรือแสดงออกกับฉันอยางนี้ เขาตองการอะไร?

คุณผูอานที่รัก กี่ปแลวที่พวกเราไมเคยฉุดคิดหรือเกิดอนุสติข้ึนมาไดวา พวกเราตองการอะไร

กันแนจากการพูดจากัน ผมมักพบวาคนเราจํานวนมากพูดกันไมรูเร่ือง โดยตางฝายก็อางวาอีกฝายนั่น

แหละที่พูดไมรูเร่ืองมันจะมีโอกาสเขาใจหรือรูเร่ืองมากขึ้นเมื่อคนเราหันมาตั้งคําถามทั้งสามนี้บอยมาก

ที่สุดเทาที่จะทําได ลองดูตัวอยางตอไปนี้

เมื่อแมของเรางอนใสเรา ถามตนเองซิวา “ที่คุณแมงอนใสฉันอยางนี้ คุณแมตองการอะไร?”

ถาเราคิดออก เราจะมีวิธีตอบสนองไดตรงกับความตองการของทานได และปญหาการงอนก็จะยุติลง

เหลือไวแตความสุขและความเขาใจอันดีตอกัน โปรดจําไววา การงอนมักหมายถึง “นี่เธอชวยอธิบาย

บางเรื่องที่ฉันไมชอบหรือไมเขาใจใหชัดเจนหนอยสิ เพื่อวาฉันจะไดรูสึกดีข้ึน” ดังนั้นเราตองคิดหนอย

วา “เราทําอะไรไดบางแลวคุณแมจะรูสึกดีข้ึน” แลวการงอนจะหายเปนปลิดทิ้ง

หลายครั้งที่เราพบคนพูดจาโออวดตนเองหรือพวกขี้โมนั่นแหละเปนไปไดวาเราอาจรูสึก

หมั่นไส แตเมื่อเราเร่ิมถามตนเองวา “ที่เขาพูดหรือแสดงออกอยางนี้ เขาตองการอะไร?” เราอาจรูได

ทันทีวาเขาตองการการยอมรับ หรืออยากใหตนเองมีความสําคัญดังนั้นถานั่นไมเหลือบากวาแรง เรา

ยอมหาตอบสนองไดอยางพอเหมาะมากขึ้น เมื่อเราเขาใจเขาได เราจะหมั่นไสนอยลง

ในกรณีที่เราตองเจรจาตอรองทางธุรกิจ เรายิ่งตองถามคําถามทั้งสามขอนั้นใหมาก ๆ บางครั้ง

การถามถึงความตองการตรง ๆ อยางสุภาพก็มักใชไดผลดี อาจทําใหประหยัดเวลาและเลิกพูดจาออม

คอมไดเปนอันมาก มันคือเคล็ดลับแหงความสําเร็จทีเดียว

ยิ่งคนรักกันยิ่งตองเกงในการตั้งคําถามทั้งสามขอใหได ผมกับภรรยาดูละครไทยดวยกัน

บอย ๆ โดยมากแลวพระเอกกับนางเอกจะงอนกันไปงอนกันมา มันตลกมากที่ตัวละครที่รักกันแท ๆ

37

Page 38: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

สามารถสื่อสารใหอีกฝายเขาใจผิดไดอยูเรื่อย ๆ แนนอนวานั่นคือละคร แตมันสะทอนวามนุษย

ไรประสิทธิภาพขนาดไหนในการสื่อสารถึงสิ่งที่พวกเขาตองการ

การทะเลาะเบาะแวงภายในครอบครัวนั้น สวนมากเกิดจากสาเหตุเล็ก ๆ แลวคอย ๆ ลุกลาม

ใหญโตขึ้น จนควบคุมไมได ส่ิงนี้คือขอพิสูจนวาคนเราขาดทักษะขนาดไหนในการพูดจาสื่อสารกัน ส่ิง

ที่ตามมาก็คือ การทํารายซึ่งกันและกัน การฟองรองกัน การฆาตัวตาย หรือแมกระทั่งการวาจางใหฆา

กัน หนทางแกไขคือการขจัดสาเหตุของการสื่อสารที่ไรประสิทธิภาพออกไปเสียตั้งแตตอนแรก คําถาม

ที่สําคัญทั้งสามนั้นชวยไดอยางแทจริง

ความขัดแยงระหวางคนในองคกรเดียวกัน ความขัดแยงระหวางบริษัท หรือแมกระทั่งประเทศ

ที่เปนคูอริกัน เชื่อเถอะวาเกิดจากการที่พูดกันไมรูเร่ือง กรณีที่อเมริกาถลมอิรักนั้น เปนตัวอยางหนึ่ง

ของความลมเหลวในการพูดจากันอยางชัดเจน อันที่จริงนั้น ความขัดแยงทั้งปวงลวนมีสาหุตมาจาก

การพูดจากันไมรูเร่ืองทั้งสิ้น พวกเขาจะเพิ่มโอกาสแหงสันติภาพและความปรองดองกันไดมากข้ึนเมื่อ

หันมาถามคําถามที่สําคัญทั้งสามขอนั้น

คุณผูอานที่รัก กอนที่คุณจะพูดอะไรออกไป กอนที่จะตัดสินใจอะไรลงไป โปรดถามตนเองวา

“ฉันตองการอะไร?” เสียกอน เมื่อคุณเจอกับสถานการณบางอยางหรือใครบางคนที่ทําใหคุณสับสนวา

ควรจะทําอยางไรดีใหถามวา “ตอนนี้ฉันตองการอะไร และที่เขาพูดหรือทํากับฉันอยางนี้ เขาตองการ

อะไร?” เมื่อคุณไดถามคําถามที่สําคัญนี้แลว ผมมั่นใจวา...คุณจะรูดวยตนเองวา...คุณจะทําอะไร

ตอไปที่เหมาะสมไดเอง

38

Page 39: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 22 องคประกอบทั้งสามของการพูดจากัน

บางทีเมื่อเราไดรูเร่ืองตอไปน้ีรวมกับหัวขอที่แลว เราจะกลายเปนผูเชี่ยวชาญดานการพูดจากันไดไม

ยาก การพูดจากันนั้นมีองคประกอบทั้งสามไดแก

1. “เนื้อหาหรือคําพูด” ที่ใชในการสื่อความ 2. น้ําเสียงที่ใช 3. ภาษาทาทาง

เดาสิวา “คําพูดที่เราใช” ในการพูดจากันสรางความรูสึกหรือผลกระทบตอผูฟงสักเทาไหร แค 7% เทา

นั้นเอง แลวน้ําสียงที่ใชพูดละจะมีผลกระทบตอผูฟงสักเทาไหร มันมีผลถึง 38 % สวนภาษาทาทางใน

การพูดนั้นจะไดคะแนนมากที่สุด เพราะวามันสงผลกระทบกับผูฟงถึง 55 % องคประกอบทั้งสามนี้

บอกอะไรกับเราบาง

ตอใหเราพูดกับเพื่อวา “เธอเปนคนที่ใชไมไดเลย” ก็ตามถอยคํานี้จะสงผลกระทบตอความรูสึก

ของเพื่อนเราเพียง 7 % หรือนิดเดียวเทานั้นเองถาเราใชน้ําเสียงที่ไมจริงจัง ฟงดูตลก เชนเสียงแหลม

เหนือนเสียงหนูในการตูน และทาทางของเราก็แสดงออกอยางเต็มที่วาเราลอเลน เห็นไดชัดวาอีก 93

% ของน้ําเสียงและภาษาทาทางจะกระทบตอผูฟงมากกวาวา...การสื่อความครั้งนี้ไมไดมีความหมาย

ตามถอยคําที่ใช ผลคือเพื่อจะไมโกรธและจะหัวเราะเสียมากกวา

ในทางตรงกันขาม เมื่อเราพูดกับเพื่อนวา “เธอเปนคนที่ใชไมไดเลย” ถึงแมถอยคํานี้จะสงผล

กระทบตอความรูสึกของเพื่อนเราเพียง 7 % หรือนิดเดียวเทานั้นเองก็ตามแตถาเราใชน้ําเสียงที่

เด็ดขาดจริงจัง เสียงดังฟงชัด และทาทางของเราตลอดจนสีหนาก็แสดงออกอยางเต็มที่วาเราพูดจริง

คราวนี้อีก 93 % ของน้ําเสียงและภาษาทาทางจะกระทบตอผูฟงวา...การสื่อความครั้งนี้มีความหมาย

ตรงตามถอยคําที่ใชเปะเลย ผลคือเรากําลังบอกขเดวยคะแนน 100 % เต็มวา “เธอเปนคนที่ใชไมได

เลย” และแนนอนวาจะมีผลกระทบตอเพื่อนคนนี้ถึง 100 % เต็มเชนกัน เธอยอมตองโกรธแนที่รูสึกวา

...นี่ฉันกําลังถูกดาอยูชัด ๆ เลย

บางครั้งแมเราพูดกับใครบางคนวา “นี่ฉันไมไดโกหกแมแตคําเดียวนะจะบอกให” คนฟงจะเชื่อ

ตามคําพูดนี้เพียง 7 % เทานั้นเอง ที่เหลือก็ตองมาดูวาน้ําเสียงที่ใชเปนอยางไร สมควรจะเชื่อเพิ่มอีก

38% หรือไม และทาทางในตอนที่พูดละเปนอยางไร สมควรจะเชื่อ เพิ่มอีก 55% หรือไม นี่คือเหตุผลวา

บางครั้งเราพูดจริงทุกถอยคําแตบางคนกลับไมเชื่อเรา และในบางครั้ง ทั้ง ๆ ที่เรากําลังโกหก แตคนที่

39

Page 40: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

ฟงอาจเชื่อก็ได มันขึ้นกับองคประกอบที่เหลือของน้ําเสียงและภาษาทาทางวาเราใชพวกมันใน

ลักษณะใด เห็นไดชัดวา ถอยคําในตัวของมันเองนั้น สงผลนอยมาก

ลองคิดถึงตอนที่เราสําออยไมยอมไปโรงเรียนดูสิ จําไดไหมวาตอนที่เราพูดวา “วันนี้ผมไป

โรงเรียนไมไหวครับ” พวกเราทําเสียงออยหรือส่ัน และทาทางก็ประดุจวาหมดเรี่ยวแรง สวนหนาตา

ตลอดจนแววตาก็แสดงออกใหนาสงสารที่สุด ในทายที่สุด เราก็ไดรับอนุญาตใหหยุดพักไดหนึ่งวัน ผม

ขอถามวา...อะไรกันแนที่ทําใหพอแมเราเชื่อวาเราไปไมไหว มันคือถอยคําอยางนั้นหรือ ไมใชแน แตมนั

คือน้ําเสียงและทาทางของเรานั่นเองที่กวาดคะแนนไปถึง 93 % ที่บอกวาเราไมไดโกหก ดังนั้นเราจึงได

อีก 7 % ของถอยคํานั้นรวมเขาไปอีกดวย เร่ืองแบบนี้ใครบางไมเคยทํา พนันกันไหมละวาผมเคยทํา

มาแลว

40

Page 41: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 23 อารมณถูกสรางขึ้นจากภาพในใจและลักษณะของภาพ

นอกจากการเคลื่อนไหวหรือการใชกาย และภาษาที่เราใชจะเปนแหลงทั้งสองในการสรางอารมณของ

เราขึ้นมาแลว แหลงในการสรางอารมณแหลงที่สามคือ ภายในใจของเรา ณ ขณะใดขณะหนึ่ง เมื่อพูด

ถึงภาพในใจหรือส่ิงที่จิตใจของเรากําลังสนใจอยูหรือมุงมั่นอยูนั้น มันมีสองส่ิงที่ตองพิจารณาไดแก

1. ภาพในใจนั้นคือภาพเกี่ยวกับอะไร 2. ลักษณะของภาพเปนอยางไร

เมื่อผมพูดถึงภาพในใจ มันอาจะเปนอะไรก็ได เชน คน (อาจหมายถึงคนอื่นหรือตนเองก็ได) สัตว

ส่ิงของ สถานการณ สถานที่ ความทรงจํากับเร่ืองราวในอดีต หรือแมแตการจิตนาการถึงอนาคตก็ได

ทุกวันนี้คนสวนใหญไมไดกังวลกับเร่ืองอดีตมากนัก ถึงแมวาเปนไปไดเชนการกังวลกับอดีตที่เคยทํา

เร่ืองไมดีไวเปนตน อยางไรก็ตามผมพบวาคนเรามักกังวลกับเร่ืองที่ยังไมเกิดขึ้นมากกวา ในเมื่อมันยัง

ไมเกิดขึ้น ภาพจริงจึงยังไมปรากฏ มองดูดวยตาจริงไมได แตถามันดันไปปรากฏตัวเปนภาพเชิงลบอยู

ในใจของเรา เราก็แยได นี่แหละคือส่ิงที่รบกวนเราอยู ลองพิจารณาเรื่องตอไปนี้ดูเพื่อวาเราจะไดเขาใจ

ชัดถึงภาพในใจวามันสรางอารมณไดอยางไร

สมมติวาตอนนี้ผมอยูที่บาน และลูกของผมอยูที่โรงเรียนเปนไมไดที่ผมจะเห็นลูกดวยตาของ

ผมไดในขณะนี้แตผมอาจนึกคิดถึงพวกเขาได ฉะนั้นสิ่งที่ผมนึกคิดหรือภาพในใจของผมในตอนนี้ก็คือ

ลูก คําถามคือ ลักษณะของภาพนี้เปนอยางไร ถาผมนึกไปวา ตอนนี้ลูกกําลังสนุก ยิ้ม หัวเราะ และมี

ความสุข ผมไดสรางอารมณความรูสึกที่สบายใจขึ้นมาแลว สภาวะจิตของผมรูสึกวาดีมาก ในทาง

ตรงกันขาม ถาผมนึกไปวาลูกอาจไมปลอดภัย อาจหกลมหัวเขาแตก ถาเดินขามทางมาลายจะ

ปลอดภัยหรือไม เห็นไดชัดวาลักษณะของภาพในใจแบบนี้ไดสรางอารมณแหงความวิตกกังวลขึ้นมา

แลว ผมอาจรูสึกวาไมสบายใจ อยากติดตอกับลูกไว ๆ ถาเปนไปไดหรืออยากใหพวกเขากลับถึงบาน

เสียทีเพื่อที่ผมจะไดหมดหวง และถาหากวาผมมุงเนนแตภาพอยางนี้มาก ๆ และนาน ๆ แนนอนวาผม

คงไรพลัง ลมปวย และประสาทรับประทานได

เมื่อพวกเรานัดกับใครที่มาไมทันคิด เราจะมีอารมณอยางไร? นั่นก็ตองขึ้นกับวาเรากําลังมี

ภาพในใจเกี่ยวกับบุคคลที่มาไมทันนี้อยางไร ถาเรานึกวาเขาคงจะวาวุนใจมากที่มาไมทันและตอนนี้

คงจะพยายามอยางที่สุดที่จะรีบมาที่ที่เราอยู เราอาจสงแรงใจไปชวยลุนวาขอใหเขาอยาไดกลุมใจไป

เลย ไมเปนไรหรอกเพราะวาเราเขาใจและยังคงรออยูโดยไมไดโกรธเลยแมแตนอย ในทางตรงกันขาม

ถาเรานึกไปวา เจาหมอนี่ไมเคยที่จะใหความสําคัญกับเวลาของฉันเลย ชางเห็นแกตัวและนารังเกียจ

41

Page 42: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

จริง ๆ และคอยดูเถอะวา “ฉันจะไมมีวันนัดกับคนแบบนี้อีกแลว” แนนอนวาลักษณะของภาพในใจ

เชนนี้จะทําใหเรามีอารมณฉันจัด โมโห โกรธ เกลียดชัง เบื่อหนาย และเซ็งมาก การตีความของเรานั้น

ข้ึนอยูกับภาพในใจและลักษณะของภาพเปนอันมาก มันเปนสิ่งที่สามารถสรางอารมณทั้งหลายของรา

ทั้งที่รูสึกดีและรูสึกแยข้ึนมาได

ภาพในใจไมใชส่ิงที่จะลอเลนไดโดยเฉพาะถาเราไปเรียนรูการสรางภาพในใจที่ทําใหเรารูสึก

แย หลายคนไมร็วาที่ชีวิตยังแยก็เพราะวาวัน ๆ เอาแตจินตนาการถึงสิ่งที่เลวรายบอยครั้งมาเกิดนไปนี่

คือส่ิงเดียวกับที่ผมเคยกลาวมาแลววา...เทากับทําใหตนเองกลายเปนเหยื่อเสียเอง พวกเราอาจสงสัย

วาภาพในใจเชิงลบนั้นรายกาจจริงหรือ เอาละ ใหพวกเราหลับตาแลวนึกไปวาเรากําลังปกเข็มหมุด

หนึ่งเลมไวในปาก แลวเราจะรูสึกอยางไร...ก็แยเอามาก ๆ นะสิ ถามได ก็เชนกัน เมื่อเราจินตนาการถึง

เหตุการณที่ไมพึงประสงคทั้งหลาย พวกมันลวนไมแตกตางจากเข็มหมุดเลมนั้นเลยสักนิด ในโลกแหง

ความเปนจริงนั้น พวกเราไมนึกคิดไปวาจะมีเข็มหมุดมาปกในปากของเราหรอก แตพวกเราทําไดแย

กวานั้นอีกดวยการจินตนาการถึงสิ่งราย ๆ วาจะเกิดขึ้นกับเราสักวันหนึ่งอยูเร่ือย ดวยเหตุนั้นเราไดใช

พลังแหงการจินตนาการที่เที่ยวมุงเนนแตส่ิงที่ทําใหรูสึกแย หงุดหงิดรําคาญ วาวุนใจ เซ็ง เบื่อหนาย

กลัดกลุมใจ และอาการที่ไรสุขสารพัด

แลวเราทําอะไรไดบางละ นอกจากวาเราจะตองหยุดสรางภาพในใจที่ไมพึงประสงคแลว เรา

ตองการรูวาการทําในส่ิงตรงกันขามนั้น จะนําเราไปสูพลังจิตที่เข็มแข็งหรือสภาวะอารมณที่เชื่อมั่น

อยางยิ่ง ดังนั้น เรามาฝกกันดีกวาเราจะใชพลังแหงจินตนาการหรือการสรางภาพในใจ เพื่อสราง

ปาฏิหาริยใหเกิดขึ้นในชีวิตของเราไดอยางไร

42

Page 43: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 24 การสรางพลังแหงจินตนาการ (การสรางภาพในใจ)

มีพลังอยางหนึ่งที่จะวาไปแลวมีไดแตกับมนุษยเทานั้น เปนพลังที่เราใชอยูทุกเมื่อเชื่อวัน โทษของมัน

นั้น มหันตเมื่อเราใชมันอยางผิดวิธี แตมันใหคุณอนันตเมื่อเราใชมันอยางชาญฉลาด พลังนี้อาจเรียก

ไดหลายชื่อ เชน พลังแหงจินตนาการ หรือพลังแหงจินตภาพ หรือพลังแหงการสรางภาพในใจ ไม

สําคัญวาเราจะเรียกมันวาอะไร ที่สําคัญคือเราตองหันมาฝกฝนพลังนี้ใหเปน แลวเราจะกลายเปนคนที่

ไรขีดจํากัด พลังนี้เปนพลังทันใจกลาวคือ เมื่อเราสรางจินตภาพวาตอนนี้เราอยูที่สยามสแควร ณ ขณะ

นั้นเองก็ประหนึ่งวาเราอยูนั่น เราไมตองใชเวลาในการเดินทาง หรือกลาววาไรกาลเวลาก็ได ยิ่งไปกวา

นั้น ถาเราจินตนาการวาตอนนี้เรายืนอยูที่ดวงจันทร เราก็อยูนั่นในดวงจิตแลว เห็นไหมวามันไร

ขอบเขตในเรื่องของสถานที่และกาลเวลา แคจินตนาการแลวเราก็ไปอยูที่นั่นแลวในบัดดล อันที่จริงนั้น

มันไรขอบเขตจํากัดอยางสิ้นเชิง เราอาจจินตนาการวาเราเปนหยดน้ําก็ได เปนสายลมก็ได หรือเปน

อะไรก็ได โอ...อะไรหนอจะไรกอบไรขอบเขต ไรกาลเวลามากถึงเพียงนี้ มีแตการจินตนาการเทานั้นที่

คือความเปนไปไดอยางแทจริง เอาละ เรามาฝกสรางจินตภาพ อยางงาย ๆ กันเถอะ

43

Page 44: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 25 การสรางพลังแหงจินตนาการขั้นที่ 1

ในขั้นตอนที่หนึ่งนี้ จะมาฝกสรางภาพในใจของสัตวเลี้ยงและสัตวปากัน อาจเปนอะไรก็ได เชนสุนัข

กระตาย ชาง มา วัว ควาย นก ปลา แมลง ฯลฯ ขอใหเรานั่งในอิริยาบถที่ผอนคลาย หลับตาลงเสีย

หายใจลึกและแผวเบา เร่ิมนับถอยหลังจากเกาถึงนึ่งอยางชามาก ๆ ใหรูสึกถึงความผอนคลาย สบาย

และเบา ใหบอกกับตนเองวา “กลามเนื้อทุกสวนผอนคลายและสบาย” จากนั้นใหนึกถึงสัตวที่นารักสัก

ตัว สมมติวามันคือกระตาย แมในยามหลับตาเชนนี้ก็ตาม พวกเราไดเห็นเคาโครงรางของกระตาย

หรือไม มันมีสีขาวใชไหม มันขยับตัวไดใชไหม หรือวามันกําลังวิ่งอยู และมันมีหูยาวอีกดวยใชไหม เหน็

ไดชัดวาการหลับตามันจําเปนตองมืดแตประการเดียว แตเมื่อเรานึกคิด เราสามารถสรางภาพกระตาย

ไวภายในใจได คราวนี้ลองสรางจินตภาพถึงชางสักเชือกหนึ่ง มันตัวใหญ แข็งแรง หูใหญ มาสขีาว และ

วงยาว ๆ คุณอาจจินตนาการถึงเสียงของมันในใจดวยก็ได เมื่อลองทําดู ขอใหตั้งใจและสนุก แลวเรา

จะพบวามันไมยากเลย

44

Page 45: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 26 การสรางพลังแหงจินตนาการขั้นที่ 2

ข้ันตอไปคือการสรางภาพในใจเกี่ยวกับทิวทัศนหรือสถานที่ที่เราเคยไป เชนภูเขา น้ําตก ทะเล และ

สถานที่หรือเมืองที่เราประทับใจเปนตน ข้ันตอนนั้นเหมือนเดิมคือตองหลับตาและผอนคลาย จากนั้น

ใหนึกถึงขั้นตอไปคือการสรางภาพในใจเกี่ยวกับทิวทัศนหรือสถานที่ที่เราเคยไป เชนภูเขา น้ําตก ทะเล

และสถานที่หรือเมืองที่เราประทับใจเปนตน ข้ันตอนนั้นเหมือนเดิมคือตองหลับตาและผอนคลาย

จากนั้นใหนึกถึงภาพเปาหมายที่ตองการ และรูสึกดั่งวาเราอยูในเหตุการณนั้น เชนตอนนี้เราอาจเห็น

ตนเองเดินอยูที่ชายทะเลหัวหิน ขอใหเราเห็นคลื่นทะเลตลอดจนไดยินเสียงคลื้นลมใหสมจริงที่สุด ให

ดื่มด่ําสักครูและลืมตาขึ้น จงซอมสรางภาพในใจบอย ๆ จนภาพนั้นคมชัดยิ่งขึ้นในบางขณะเราจะ

พบวาภาพที่เห็นนั้นมีสีดวยซ้ําไป การที่เราทําเชนนี้ไดจะยิ่งเพิ่มความเชื่อมั่นวาเรามีพลังแหง

จินตนาการไดจริง ๆ ตอไปลองนึกถึงหอไฟเฟลที่ปารีสดูบางแมไมเคยไปก็ลองเอารูปภาพของมันมา

ดูกอนก็ได ในการจินตนาการนั้น ไมไดจํากัดวาตองเคยมีประสบการณมาแลว ถึงแมไมมีก็ยังสราง

ภาพนั้นไดอยูดี การสรางจินตภาพนั้นไรขอจํากัดอยางสิ้นเชิง คุณอาจสงสัยวาในสองขั้นตอนแรกของ

การนึกภาพสัตวและทิวทัศนในใจนั้นทําไปทําไม คําตอบคือ มันงายที่จะฝกสองขั้นตอนนี้กอนที่เราจะ

กาวขามไปฝกการสรางภาพในใจที่ยากยิ่งขึ้นไปอีก

45

Page 46: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 27 การสรางพลังแหงจินตนาการขั้นที่ 3

เมื่อเรากาวมาถึงขั้นตอนที่ 3 เรากําลังจะฝกการสรางภาพของผูคนในใจ เมื่อเราหลับตาเราสรางภาพ

คนที่เราตองการนึกไดชัดไหม มีรายละเอียดแคไหน และเรากําหนดลักษณะของภาพไดดั่งใจของเรา

หรือไม ผมรูวามันยากทีเดียว แตก็ใหฝกทําตอไป ตอนที่ผมฝกสรางภาพในใจใหม ๆ นั้น หลายครั้งที่

ผมไมเห็นอะไรเลยนอกจากความมืดแมวาจะไดพยายามนึกอยูตั้งนานแลวก็ตามแตผมยังไมยอมแพ

ผมฝกตอไป เพราะผมรูดีวา แมเห็นแตความมืดก็ยังตองถือวาเปนความกวาหนา เมื่อเปรียบเทียบกับ

การไมยอมลงมือทําอะไรเลย เมื่อเรามุงมั่นจริงจัง อีกไมนานภาพในใจก็จะผุดขึ้นทามกลางความมืด

เอง ข้ันตอนนี้มีประโยชนมาก เพราะวาเราประยุกตใชมหาศาล เชน

สมมติวาเราตองการขอบคุณใครสักคนหนึ่ง การซอมทําในใจวาไดขอบคุณเขาในใจสักสอง

สามนาทีจะสรางอารมณที่ทรงพลังและปติยินดีไดอยางเหลือเชื่อ เปนไปไดวาเราจะรูสึกดีมากที่ไดฝก

ทําเชนนี้ ที่นาทึ่งก็คือเมื่อเราไดพบคนที่เราสรรเสริญหรือขอบคุณเขาในใจจริง ๆ เราจะพบวาเขามี

ทาทางเปนมิตรกับเราอยางนาอัศจรรย อาจอธิบายไดวา เราไดสงพลังงานแหงคลื่นแมเหล็กไฟฟา

ความถี่สูงออกไป เมื่อเราไดสรางจินตภาพที่ดีงามหรือใหพรตอคนอื่น ในเมื่อเรากลายเปนความสุขเสีย

เอง ความเปลงปลั่งสดใสนี้ยอมปกปดไมมิด และคนที่พบเรายอมมองออกวาเรามีความสุข ส่ิงนั้น

เหนี่ยวนําใหเขาสายและมีความสุขไปดวยเมื่อเขาใกลเรา ทุกอยางจึงดูดีไปหมด

ในทํานองเดียวกัน การซอมสรางภาพในใจเกี่ยวกับเหตุการณที่ตองเขาไปเกี่ยวของกับผูคน

ยอมสรางความเชื่อมั่นใหเราไดอยางแทจริง ในเหตุการณจริง เราอาจทําอะไรบางอยางไดแคหนเดียว

เชน การกลาวคําขอโทษใครสักคน หรือการขอใหซื้อสินคา หรือการชวนใครไปดูหนัง หรือการขอให

ชวยอะไรสักอยาง ในโลกแงจินตนาการนั้น เราจะซอมสักรอยเที่ยวก็ยังได ในเมื่อเราไดซอมทําในใจ

หลายครั้งเหลือเกิน เราจะทําสิ่งนั้นไดดี เมื่อเราทํามันกับโลกภายนอกจริง ๆ ในการจัดสัมมนาของผม

นั้น ผมมักจินตนาการเห็นตนเองยืนอยูหนาเวทีและกลาวกับคนนับพัน ผมฝกซอมทํามันในใจวาผมพดู

ชาลงดวยความเชื่อมั่น เมื่อถึงวีนจริง ผมก็ทําไดตามนั้น เหมือนกับที่ไดสรางภาพในใจลงหนาไวไมมี

ผิด มันทําใหผมรูสึกมั่นใจ พลังอยางนี้พวกเราฝกกันไดทุกคน

เมื่อตอนที่แมผมปวย ผมจินตนาการเห็นคุณแมไมไอ และนอนหลับไดสบาย ผมเห็นภาพของ

ทานยิ้มได และราเริง วิธีนี้สรางอารมณใหผมมั่นคงและไมฟุงซาน นี่คือการใหพรแมในใจแทนการแชง

ในใจที่คนจํานวนมากเผอลทําโดยนึกคิดไปวา “คุณแมของฉันก็แกแลว ตอนนี้คงทรมานมาก และเปน

หวงจังเลยวาคืนนี้จะนอนหลับไดหรือไม?” นี่คือลักษณะของคนทั่วไปที่ไมประสีประสากับพลังของ

จินตนาการ พวกเราเผลอแชงแมโดยไมตั้งใจ เผลอทําไปโดยรูเทาไมไมประสีประสากับพลังของ

จินตนาการ พวกเราเผลอแชงแมโดยไมตั้งใจ เผลอทําไปโดยรูเทาไมถึงการณ โปรดจําไววา การมุงเนน

46

Page 47: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

แตส่ิงที่เราตองการเทานั้นคือการสรางภาพในใจที่ถูกตอง สวนการเผลอไปนึกคิดถึงสิ่งที่ไมตองการ

ยอมทําใหเราไรพลังและไรความสุขเทาที่ควร นี่แหละคือฤทธิ์เดชของภาพในใจเชิงลบที่ตามเลนงาน

มนุษยไมหยุดหยอน มันเปนยาพิษที่เราเผลอดื่มกินมากที่สุด ปกติแลวเหตุการณจริงทําอะไรเราไม

คอยได แตจินตนาการเชิงลบที่สะสมในดวงจิตอยางไมหยุดหยอนอาจทําใหเราบา เสียหายทั้งชีวิต

สวนตัวและหนาที่การงาน ประสาทแดก และถึงตายได!

47

Page 48: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 28 การสรางพลังแหงจินตนาการขั้นที่ 4

บางทีเราอาจไดเดินทางมาถึงขั้นตอนที่สําคัญที่สุดแลวในขณะนี้ นั่นคือการสรางภาพในใจของตัวเรา

เองวามีลักษณะใด หรือมีคุณสมบัติอะไรบางเมื่อเรามีภาพลักษณเกี่ยวกับตนเองในจิตใจแลว มันยาก

นักที่โลกภายนอกของเราจะวิ่งหนีพนภาพลักษณของตัวเราในใจไปได เรานั้นเปนไปตามภาพที่เรา

กําหนดไวกอนในใจวา อะไรที่เราเปนและอะไรที่เราไมไดเปนสิ่งนี้จึงกําหนดวาอะไรบางที่เปนไปได

สําหรับเราและอะไรบางเปนไปไมไดสําหรับเรา ลองพิจารณาเรื่องตอไปนี้ดู

ผมเองนั้นตั้งแตเด็กเล็กยันยี่สิบสามผมมีภาพลักษณของตนเองวาผมดิ้นหรือเตนรําไมได ผล

คือผมไดทําใหโลกภายนอกเปนเชนนั้นตลอดมานึกถึงงานที่โรงเรียนตอนมัธยมปลาย ผมแยเอามาก ๆ

เมื่อตองดิ้นและถูกเพื่อนนักเรียนทั้งชั้นหัวเราะเยาะถึงความเปนและทึ่มกับทาทางที่แข็งกระดางเปน

หินของการเคลื่อนไหว และผมรูสึกอยูตลอดเวลาวาผมไมไดเร่ืองในเรื่องแบบนี้ แตราวสามปมานี้เองที่

ผมเปลี่ยนไปเมื่อผมจินตนาการวาผมเปนคนที่มีความสามารถแบบไรขีดจํากัด ผลที่ตามมานั้น

เหลือเชื่อ ในการสัมมนาของผมนั้นบอยมากที่ผมตองเปนผูนําคนนับรอยนับพันดิ้นตามผม แลวรูไหม

วาเปนอยางไร ทุกคนทึ่งวาผมเคลื่อนไหวคลองแคลวและสั่นสะเทือนไดมากมายเชนนั้นไดไง หนําซ้ํา

ชมวาผมดิ้นไดนารักอยาบอกใคร เชื่อเถอะเพื่อนเอย วานี่ไมไดโม แตเปนความจริงที่ผมไดเปลี่ยนโลก

ภายนอกไปตามโลกภายใน เมื่อผมสรางจินตภาพวาผมเปนคนที่ดิ้นไดอยางมีศิลปะ ทันใดนั้น โลก

ทั้งหมดก็พยักหนาใหผมราวกับวาผมเปนผูเชี่ยวชาญก็ไมปาน ยิ่งไปกวานั้น ผมสามารถเตนแอโรบคิได

อยางดีเลิศ ส่ิงนี้ชวยผมไดมากในการเคลื่อนไหวที่ไมมีขอจํากัด ทุกวันนี้ ผมมักบอกภรรยาอยูเร่ือยวา...

ผมอยากไปฝกเลนยิมนาสติกทั้ง ๆ ที่ผมเลยวัยมามากแลว แตผมรูสึกจริง ๆ วา มันมีหนทางเสมอที่

อาจเปนไปไดเมื่อเราไดขยายภาพลักษณของตนเองภายในใจของเราดวยการสรางจินตภาพถึง

ภาพลักษณของตัวเราในแบบที่เราตองการ ในไมชาเราจะเชื่อและเชื่อมั่นในภาพลักษณใหมไดอยาง

แนนอน อันที่จริงนั้น มันเปนวิธีที่มีประสิทธิภาพที่ทรงพลังมาก เสียดายเพียงวานอยคนนักที่ไดรู

การที่เราเชื่อวามีหลายสิ่งหลายอยางที่เราทําไมไดนั้น หารูไมวานั่นเทากับเราไดสราง

ภาพลักษณแหงความเปนไปไมไดบางประการไวในดวงจิต เราไมเคยรูเลยวาเราหนีภาพลักษณเหลานี้

ไมพน แลวเราก็กายเปนคนแบบนั้น บางคนที่เชื่ออยางผิด ๆ วา “ฉันไมมีปญญาร่ํารวยได” เขาไดสราง

ภาพลักษณแหงความไมสามารถนี้สถิตไวในดวงจิต ภาพในใจเกี่ยวกับตนเองเชนนี้คือภาพของความ

ไมสามารถ ขาดแคลน และ ยากจน ฉะนั้น ทางแกที่ดีกวาสําหรับพวกเราคือการเขาไปเลนกับจิตใจ

ของเราใหมดวยการสรางภาพของตนเองในใจแบบใหมที่ดีกวาเดิม การฝกซอมทําในใจบอย ๆ ถึง

ตัวตนที่เราตองการอยางแทจริงคือวิธีแกปญหาที่งายกวาวิธีอ่ืนเปนอันมาก

48

Page 49: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

ภาพลักษณของตนเองในใจเชิงลบที่ตองระวังใหดีนั้นมีเยอะ แตที่แสบมากไดแก “ฉันมันไอข้ี

แพ” “คนอยางฉันเกิดมาเพื่อใชกรรม” “อันวาตัวฉันนั้นไมสําคัญ” “ชางปะไร ไอเรามันเปนคนไมดีอยู

แลวนี่” และอ่ืน ๆ อีกมากมาย ที่ทํารายจิตใจของตัวเราเองอยางแรงกลา แมวาพวกเรายังคงออกไป

ทํางานและตอสูดิ้นรนกับชีวิตตามปกติก็ตาม แตถาเรามีภาพลักษณของตนเองเหลานี้อยูในใจ แลวเรา

จะไปคาดหวังแบบไหนไดนอกจากความหวยแตกเสมอ แนวโนมจึงเปนเชนที่ไดคาดวา คือ แย แย แย

และแย หนทางเดียวที่จะวิ่งหนีภาพในใจเชิงลบพวกนี้ไดคือวิธีหนามยอกใหเอาหนามบง เราตองกลับ

เขาไปในจิตใจของเราอีกครั้ง หลับตาลงเสีย แลวใชจินตนาการวาดภาพตัวเราขึ้นมาใหม ใหเราใส

ลักษณะหรือคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมตาง ๆ นานา เขาไป ใหดื่มดํ่ากับภาพใหมอันไฉไลนี้ใหมาก ๆ เมื่อ

เราฝกซอมในใจจนมันอยูตัว และภาพที่เห็นในใจก็คมชัดยิ่งแลว หลังจากนั้น เราจะกลายไปเปนคนใน

ลักษณะใหมไดเอง เราไมมีทางเลือกหรอกเพราะวาเราไดเลือกไปแลวเมื่อเราฝกใชพลังแหงจินตนาการ

นั่นวาเรายอดเยี่ยมอยางไร และเราก็จะกลายเปนคนเชนนั้นจริง ๆ

คุณผูอานที่รัก คํานจํานวนมากไมไดฝกสรางภาพตนเองในใจที่ดีมาก ๆ แบบจงใจและรูตวั ผม

ใครขอรองใหพวกเราหันมาฝกใชพลังแหงจินตนาการในดานนี้ใหมากขึ้น วันละ 15 นาทีก็ยังดี จงทําสิง่

นี้เพื่อตัวเราเอง ยังจะมีอะไรอีกหรือที่สําคัญไปกวาการหลอหลอมตัวเองขึ้นมาใหม แถมเต็มเปยมดวย

คุณลักษณะที่ดีสารพัดเพราะวาในโลกแหงการนึกคิด...ส่ิงใด ๆ ลวนเปนไปได ไมมีอะไรจะสูงคาแต

ราคาแสนต่ําอยางนี้อีกแลว พวกเราลงทุนแคเวลานิดหนอยกับพลังงานอีกเล็กนอยในการนึกคิดหรือ

จินตนาการ นี่คือเครื่องมือที่ทรงพลังยิ่งตัวหนึ่งที่ อัลเบิรต อสไตน สรรเสริญวา มีอานุภาพเหนือกวา

กระทั่งความรู ไอนสไตนกําลังบอกวา แมความรูจะยิ่งใหญแตวาความรูที่ยิ่งใหญมาก ๆ นั้น ไดมาจาก

ไหนละถาไมใชอาศัยพลังแหงจินตนาการเขาชวย หากวาไรซึ่งพลังแหงจินตนาการอันแสนบรรเจิดและ

พิสดารแลวไซร มันเปนไปไมไดที่ไอนสไตนจะคนพบทฤษฏีสัมพันทธภาพอันเหลือเชื่อ หากวาคนเชน

ไอนสไตนยังชอบสรางจินตภาพ ก็แลวทําไมพวกเราถึงจะไมละ!

49

Page 50: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 29 การสรางพลังแหงจินตนาการขั้นที่ 5

เมื่อไดวาดภาพในใจวาตัวตนของเราสวยงามและยอดเยี่ยมอยางไรแลว สุดทายเราจะมาฝกการสราง

ภาพในใจเกี่ยวกับส่ิงของ การเงิน ธุรกิจการงาน การที่เราสรางจินตภาพเกี่ยวกับอะไรก็ตามเราจะเกิด

อารมณที่สอดคลองเสมอมันทําใหเรารูสึกมั่นคงหรือมั่นใจเกี่ยวกับเร่ืองเฉพาะที่เราไดฝกฝนสรางจินต

ภาพ เอาละ ถึงตรงนี้ ขอใหเราหลับตาลง นั่งใหสบายและผอนคลาย ตอนนี้ใหจินตนาการวาเรากําลัง

หยิบสมุดธนาคารของพวกเราขึ้นมา เปดหนาแรกออก ตอนนี้เราเห็นชื่อและนามสกุลของเรา พลิกไปที่

รายการสุดทาย เราเห็นตัวเลขเงินที่เราเปนเจาของหรือไม มันอาจมากแคไหนก็ได สมมติวามันคือสิบ

ลานบาท พวกเราเห็นเลขหนึ่งและศูนยอีกเจ็ดตัวชัดไหม ขอใหเราคอย ๆ ฝกสรางภาพในใจถึงสิ่งที่เรา

ตองการ ใสความรูสึกดีใจลงไปและทั้ง ๆ ที่ยังหลับตา ใหขอบคุณในใจตอจํานวนเงินนั้นที่เราได

ครอบครองใหสมจริง ยิ่งเราเชื่อและสรงภาพไดชัดเจนเทาไหร พลังแหงจินตภาพก็ยิ่งทรงพลังมากขึ้น

เทานั้น ยิ่งนานวันออกไป เราจะรูสึกแนใจวาสิ่งนี้จะเปนไปไดจริง ๆ เราจะไมคิดถึงความยากจนและ

หวาดกลัวไปเองวาเราจะลําบาก แนนอนวาพวกเราไมไดนั่งงอมืองอเทา พวกเราก็ยังออกไปทํางาน

ออกไปทําธุรกิจ แตที่เพิ่มข้ึนอีกอยางในชีวิตคือ พวกเราไดฝกสรางจินตนาการที่สรางสรรค

หลายคนสงสัยวา นั่นจะเปนการหลอกตนเองหรือเปลา เพอเจอหรือฝนลม ๆ แลงไป หรือเปลา

เหตุผลที่ถามอยางนี้มักเปนเพราะพวกเขาเขาใจผิดไปวา คนที่ชอบวาดภาพในใจคงไมไดลงมือทํา

อะไรเลยนอกจากหลับตานึกเทานั้น แตมันไมใชเลย พวกเราที่ฝกสรางจินตภาพใชเวลานอยมากกับ

การนั่งหลับตาเพื่อสรางจินตนาการ พวกเราตางหากที่กระตือรือรนในการลงมื่อทํามาก ๆ ดั่งเชนที่

มนุษยเคยฝนหรือสรางภาพในใจวา สักวันเราจะไปย่ําดวงจันทร และแลวมันก็เกิดขึ้นริง ๆ เห็นไดชัดวา

มันตองผานการคิดคนหาวิธีที่จะไปที่นั่นอยางทุมเท และใชพลังแหงจินตนาการเขาชวยจนกลายเปน

ความจริงในที่สุด จะวาไปแลว มีตรงไหนของหนังสือเลมนี้บางไหมที่ระบุวาการใชเทคนิคใด ๆ ก็ตาม

ในหนังสือเลมนี้สามารถทําเพียงเทานั้น แลวก็ใหนั่ง ๆ นอน ๆ โดยไมตองทําอะไรอีกเลย แนนอนวามัน

ไมมีการบงชี้เชนนั้นแน ตรงกันขาม มันหมายถึงการใหนําเทคนิคตาง ๆ ในหนังสือเลมนี้เพิ่มเขาไปใน

ชีวิตประจําวันของเราตางหาก แลวเราจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีข้ึน

ไมวาสิ่งที่เราตองการจะคืออะไรก็ตาม เราตองฝกสรางภาพในใจประหนึ่งวาเราไดมันมา และ

ครอบครองมันไวแลว ในเมื่อผมเพิ่งใชคําวา “ไดมันมาและครอบครอง” ดังนั้นเราตองมุงเนนไปที่

ความรูสึกที่สมจริงวาไดมันมาแลวจริง ๆ เราจะรูสึกอยางไร ตื่นเตนดีใจอยางไร และมีความสุขอยางไร

การมุงเนนที่ผิดพลาดคือการไมยอมแสดงบทบาทที่แทจริงของการใชจินตนาการ เชน รูสึกแยงในใจอยู

ตลอดเวลาวา “แตฉันยังไมมีมันนี่หวา” “แตฉันยังไมไดมันมานี่หวา” ผมอดสงสัยไมไดวาหากใครชอบ

แยงเชนนี้ในใจ งั้นเขาจะมานั่งหลับตานึกภาพถึงสิ่งที่เขาตองการไปทําไม จะมานั่งหลับตาเพื่อตอกย้ํา

50

Page 51: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

และมุงเนนในส่ิงที่ไมมีไปทําไม นั่นจะยิ่งทําใหรูสึกแย และดึงดูดความไมมีใหเขามามาก ๆ กันเขาไป

ใหญ โปรดจําไววาการหลับตาสรางจินตภาพ ไมใชเวลาที่จะนึกคิดถึงสิ่งที่เรายังไมมีหรือยังไมไดมา

แตมันเปนเวลาสําหรับการจินตนาการวาถาเรามีมันแลวในขณะนี้ แลวเราจะรูสึกดีอยางไร ใหเราสราง

ความรูสึกดี ๆ เชนนั้นใหมาก ๆ แลวเราจะมีโอกาสเพิ่มข้ึนที่จะดึงดูดสิ่งที่เราไดวาดภาพไว

และทายที่สุดของเรื่องการฝกจินตนาการ ความสําเร็จของพลังแหงการสรางจินตภาพหรือ

ภาพในใจจะขึ้นกับองคประกอบ 4 ประการคือ

1. ภาพในใจนั้นชัดเจนมากหรือนอย

ยิ่งชัดเจนมากก็ยิ่งมีพลังมาก แตไมตองหวง เมื่อช่ัวโมงบินในการฝกของเรามากขึ้น ภาพจะ

ชัดเจนมากขึ้นอยางเปนธรรมชาติและงายดวย

2. ความยาวนานในการเห็นภาพที่ตองการ

ยิ่งเห็นภาพนั้นไดนานกวา พลังก็ยิ่งมากตามไปดวย

3. ความถี่ในการสรางจินตภาพ

การทําวันละ 2 คร้ังยอมดีกวา 1 คร้ัง ผมคิดวาวันละ 2 คร้ังกําลังดี

4. ความเขมขนทางอารมณที่รูสึกอยูในการสรางภาพในใจ อารมณยิ่งเขมขนรุนแรงเมากเทาไหร พลังก็ยิ่งมากขึ้นเทานั้น ในกรณีที่ไมมีอารมณเลย ให

ตายสิโรบิ้น...พวกเราตองพยายามกลั่นอารมณออกมาใหได สวมวิญญาณเขาไปหนอย ชวยตี

บทใหแตกหนอย หาไมแลวก็กรุณาหยุดทําเสียเถิด!

51

Page 52: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 30 การต่ืนขึ้นครั้งใหญของผม T x E = R

เทาที่ผานมา ผมไดอธิบายวาพวกเราสรางหรือผลิตหรือประกอบอารมณข้ึนมาจากแหลงใหญทั้งสาม

ซึ่งไดแก การเคลื่อนไหวหรือการใชรางกายของเรา ภาษาหรือคําพูดที่เราใช และภาพในใจวาปนอยาง

ไร ความรูเหลานี้ทําใหผมตื่นขึ้นจากการหลับไหลมานาน ยิ่งไปกวานั้น เมื่อผมไดเขาใจแลววา

ความคิดที่เจืออารมณนั้น คือพลังงานแมเหล็กไฟฟาความถี่ตาง ๆ ที่สงออกไปในอวกาศตลอดเวลา

และจะไปตามพลังงานที่อยูในคลื่นแบบเดียวกันเขามาหาตามกฏแหงการดึงดูดชักนําพา พฤติกรรม

ของผมก็เปลี่ยนไปตลอดกาล ภารกิจใหญของผมคือความราเริง ปติยินดี และการทําจิตใจใหผองแผว

ดูเหมือนวากฏแหงการดึงดูดจะดึงดูดของที่เหมือนกันมาใหผมจริง ๆ เพราะวามันไดดึงดูดความรูที่ลํ้า

ลึกที่สุดอีกประการหนึ่งมาใหผม นั่นก็คือ T x E = R ซึ่งเปนสูตรที่ทําใหตื่นขึ้นเมื่อผมไดรูแจงอยาง

ฉับพลันถึงสิ่งที่จะชวยอธิบายปริศนาลี้ลับมากมายวา ทําไมมนุษยถึงเปนอยางที่พวกเขาเปน ทําไม

มนุษยเลือกทําบางสิ่งแตไมเลือกทําบางสิ่ง คําถามนี้เหมือนงายแตยากมาก มันเขาขายเสนผมบังภูเขา

แตแลวสูตรพิเศษนี้ก็เขามาในสถานการณที่สุกงอมพอดิบพอดี แลวชวยใหผมเปลี่ยนแปลงกรอบ

ความคิดครั้งใหญ เอาละ ในเมื่อผมไดโมไวมากวามันดีแบบสุดยอด เราไปศึกษากันเถะวามันคืออะไร

กันแน

T = Thought หมายถึงความคิด ไอเดีย เปาหมายหรืออะไรก็ได

E= Emotion หมายถึงอารมณความรูสึกที่มีตอ ตัว T

R= Reality หมายถึงความเปนจริงที่จะเกิดขึ้นได

สูตรนี้อธิบายวา ลําพังความคิดใด ๆ หรือเปาหมายใด ๆ นั้นยังมีพลังไมพอที่จะขับเคลื่อนให

ความคิดใด ๆ กลายเปนรูปธรรมทางโลกภายนอกได จําเปนที่เราจะตองใสอารมณอันเขมขนหรือแรง

กลาที่เห็นชอบ อนุมัติ สนับสนุน และเห็นดวยกับความคิดนั้น ๆ แลวเราถึงจะกระตือรือรนที่จะลงมือ

ทําหลาย ๆ ส่ิงเพื่อใหความเปนจริงบังเกิดขึ้น หลายครั้งที่เราสงสัยวา ความคิดหลาย ๆ อยางก็มีแลว

เปาหมายหลาย ๆ ประการก็ตั้งแลว แตจนแลวจนรอดเราก็ยังไมกระดิกกระเดี้ยที่จะทําอะไรเสียทีเพื่อ

ความคิดหรือเปาหมายของเรา ทําไม และทําไมละ? อะไรคือสวนผสมที่หายไป อะไรคือจิ๊กซอวที่

หายไป อะไรคือกุญแจที่เราทําหลนหายไป ผมคิดวาพวกเราคงเดาไดแลวใชไหม อารมณไงที่หายไป

พวกเรามักจะ “ไมมีอารมณเลย” กับเร่ืองราวหลายเรื่อง แตเราก็งงแลวสับสนวา “ ทําไมนะฉันถึงไมทํา

ส่ิงที่ควรทํา นี่ฉันเปนอะไรไปนี่!” เราไมไดเฉลียวใจเลยวาเราไดใชอารมณในลักษณะที่ไมสงเสริมการ

กระทําของเรานั่นเอง ตราบใดที่เรายังคงถอนหายใจใหกับความคิดหรือเปาหมายใดก็ตาม เราก็จะ

52

Page 53: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

ผลักใสมันไปอยูไกลลิบโลก และเชื่อไดเลยวา…มันจะไมเปนความจริงขึ้นมาหรอก ตราบใดที่เราใส

ความรูสึกแย ๆ กับความคิดหรือเปาหมายใด ๆ ก็ตามดวยภาษาที่ทอแทเจืออารมณเชิงลบวา “ ก็มัน

เปนไปไมไดนี่” “ก็มันหนักหนาเกินไปนี่” “ก็มันคงไมคุมหรอก” “ก็มันขี้เกียจนี่หวา” “ก็มันยากจะตาย

โหง” ”ก็มันคงไมไดผล แลวจะพยายามไปทําไม “ ฯลฯ งั้นก็ชัวรอยูแลวที่เราจะไมลงมือทําตาม

ความคิดนั้นแน ผมถึงบอกวาสูตรนี้มันอธิบายพฤติกรรมของคนไดเยอะ

ดังนั้น ถาเราอยากแนใจวาเราจะลงมือทําอะไรหรือไม เราตองสรางตัว E หรือสรางอารมณที่

มันตื่นเตนเราใจใหกับตัว T หรือความคิดอยางใดอยางหนึ่งใหมาก ๆ แลวเราจะลงมือดวยความเต็ม

ใจอยางเปนธรรมชาติ เราจะกลายเปนคนแบบ “ฉันรักที่จะทํา” แทน “ฉันเกลียดที่จะทํา” จะวาไปแลว

เนื้อหาจํานวนมากในหนังสือเลมนี้ ลวนปูทางไปสูการสรางตัว E ที่อยูในสูตรนี้ จําไดไหมที่เราไดเรียนรู

ผานมาแลววา พลังที่ยิ่งใหญที่สุดไดแก “ พลังแหงอารมณหรือพลังแหงสภาวะจิต” เราไดรูมาแลววา

เราสรางอารมณไดจากแหลงทั้งสามคือ การเคลื่อนไหว คําพูด และการสรางภาพในใจดังนั้น เรายอม

ประยุกตใชสูตรนี้ไดงายมาก หากวาผมตองพูดถึงสูตรนี้ดวยประโยคเดียว ผมจะสรุปวา “ใหหาหนทาง

หนึ่งเสมอ…ที่จะรูสึกดีกับเปาหมายและชีวิตของเรา” นี่คือกฏทองที่จะไขเขาไปในการใชชีวิตที่มี

ความสุขและประสบความสําเร็จอยางแทจริง

เทาที่ผานมา ผมไดพูดถึงการสงจดหมายผิดใบ การที่เราเผลอกลายเปนผูเชี่ยวชาญดานความ

หดหูและความเคลียด เราเผลอไปใชกลยุทธที่ไมมีวันไดผลซ่ึงไดแกการเซ็ง เบื่อ บน ตําหนิ กังวล กลัด

กลุม และการรองให ผมขอเรียกพวกมันรวมกันวา “รูสึกแย” คําวา “รูสึกแย” ก็คืออารมณเชิงลบทั้งปวง

หรือถาตองพูดอีกอยางก็คือการใสเครื่องหมายลบ (-) ใหกับตัว E เอาละ แลวมันจะเกิดอะไรขึ้นกบัสูตร

ของเรา

สูตรเดิมมีอยูวา T x E = R โดยที่

T = Thought หมายถึงความคิด ไอเดีย เปาหมายหรืออะไรก็ได

E= Emotion หมายถึงอารมณความรูสึกที่มีตอ ตัว T

R= Reality หมายถึงความเปนจริงที่จะเกิดขึ้นได

แตเมื่อใสเครื่องหมายลบใหกับตัว E สูตรใหมกลายเปน T x (-E) = -R

ผมหมายความวาเมื่อเราใสอารมณเชิงลบที่เนาบูดใหกับตัว T การคูณกันของตัว T กับตัว –E

จะไดผลลัพธออกมากลายเปน –R หรือกลาวใหมไดวาเมื่อเรามีสภาวะจิตหรืออารมณเชิงลบตอส่ิงใด

เราจะไมทําเรื่องนั้น ซึ่งเทากับวามันจะไมมีอะไรเกิดขึ้นมาหรอกเมื่อไรการกระทํา และนั่นเทากับวาเรา

ไดผลักใสใหส่ิงนั้นไปอยูไกลลิบโลกนั้นเอง เพื่อน ๆ ที่รัก พวกเราเห็นความสําคัญของตัว E ในสูตรนี้

53

Page 54: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

หรือยังครับ ขอใหคิดถึงเรื่องราวตาง ๆ ในชีวิตที่ผานมาสูตรนี้ไดอธิบายพฤติกรรมของเราไดมากใชไหม

ผมหวังเหลือเกินวาพวกเราจะไดตื่นขึ้นกับความรูที่ลํ้าลึกนี้ สําหรับตัวผมนั้น ผมไดไตรตรองถึงชีวิตที่

ผานมา และนึกขอบคุณวามันยังไมสายที่ผมจะเปลี่ยนแปลงไดอยางมหาศาลเมื่อผมรูวาไดควาสูตรนี้

ไวในมือแลวพวกเราทุกคนก็ตองทําใหไดเชนกัน นํามันไปปรับใชกับตนเองวันนี้เลย และส่ิงหนึ่งที่ควร

คาแกการจดจําก็คือ “ ใหหนทางใดหนทางหนึ่งเสมอ…ที่จะรูสึกดีกับเปาหมายและชีวิตของเรา”

54

Page 55: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 31 อารมณเสีย …เปลี่ยนมันซะ เมื่อเราอารมณเสีย มันไมดีตอตัวเราเอง มันไมดีตอสุขภาพของเรา มันไมดีตอสภาวะจิตของ

เรา มันไมดีตอครอบครัวของเรา มันไมดีตอธุรกิจหรือบริษัทของเรา มันไมดีตอเมืองที่อยู มันไมดีตอ

ประเทศนี้หรือประเทศไหน มันไมดีตอโลกใบนี้ มันไมดีตอจักรวาลแหงนี้ และมันไมดีตอใครหรืออะไร

ทั้งนั้น ลองคิดดูสิถาผมจะเชื้อเชิญพวกเราไปเที่ยวครอบครัวแหงความหดหู สังคมแหงความหดหู

ประเทศแหงความหดหู หรือดินแดนใด ๆ แหงความหดหู จะมีใครบางที่อยากไป เห็นไดชัดวาไมใคร

เอาดวยแน ถึงขนาดนี้แลว เราตองอึ้งเมื่อโลกนี้เต็มไปดวยผูคนที่หดหู โอพระเจา โอเซียน โอเทวดา..

ความสุขมันนารังเกียจนักหรือไร มนุษยถึงไดฝกใฝกับความหดหูกันอยางบาคลั่งถึงเพียงนี้!

เมื่อเราอารมณเสีย จงตะโกนดัง ๆ เลย “เปลี่ยนมันซะ” เพราะวาไมชาก็เร็วมันก็ตองเปลี่ยน

ไมมีใครหรอกที่รองใหไปเร่ือย ๆ จนกวาจะตาย ในทํานองเดียวกัน พวกเราไมสามารถเซ็ง เบื่อ บน หด

หู แลวอยูในอารมณเชนนั้นไปเรื่อย ๆ ตลอดไปไดหรอก ผมถึงบอกวายังไงเราก็ตองเปลี่ยน แตการ

เปลี่ยนชาเกินไปนั้นแหละที่เปนปญหาและมีอันตราย เราตองรีบหลุดออกมาใหได ยิ่งเร็วยิ่งดี และจะ

วาไปแลว…เราจะรอไปนาน ๆ โดยรูสึกแยไปทําไมละ ทําไมไมเปลี่ยนเดี๋ยวนี้เลยละ ขอใหเราใชความรู

ที่ไดกลาวมาแลว เชน ออกไปวิ่ง เปดเพลงดิ้น กระโดดโลดเตน ยืนฝนยิ้มที่หนากระจกนานหนึ่งนาที

ตะโกนคาถาวิเศษดัง ๆ เชน “เปลี่ยนมันซะ”

หรือไมก็นั่งลงเสีย แลวฝกสรางภาพในใจโดยเปลี่ยนเรื่องที่กําลังสนใจอยู หลักการมีอยูวาถา

ไมอยากคิดถึงอะไร ก็จงอยาพูดถึงมันซะ ในทํานองเดียวกัน ถาเราอยากมุงเนนหรือสนใจอะไรก็ตาม ก็

ใหพูดถึงสิ่งนั้นใหมาก ๆ และบอย ๆ นี่แหละคือเหตุผลวาทําไมตําราที่วาดวยความสําเร็จแทบทุกเลม

จึงสอนใหคิด พูด และจินตนาการถึงแตความสําเร็จ อยาไดวอกแวกไปพูดและนึกคิดเรื่องความ

ลมเหลวเปนอันขาด ทวาโชครายที่คนจํานวนมากเหลือเกินมันวอกแวกมากเกินไป พวกเขาเอาแตพูด

และใชศัพทแหงความลมเหลว ผลคือพวกเขาเห็นแตภาพความลมเหลวและไดพวกมันเขามาแบบไม

เคยขาด ดังนั้นเราตองหัดพูดในใจเฉพาะแตเร่ืองที่เขาทาถาเราอยากมุงเนนเรื่องที่มันเขาที ถาเรามัว

แตพูดหรือนึกคิดในใจถึงเรื่องที่ไมเขาทา เราก็หนี้ไมพนที่จะตองสรางและเห็นภาพเชนนั้นตอไปอยาง

ไมหยุดหยอน เพราะวาเราไดมุงเนนมันนั้นเอง

เพื่อน ๆ ที่รัก ทุกครั้งที่อารมณเสีย จงฝกใหไวที่จะพลิกกลับมาสูอารมณที่ราเริงใหเร็วที่สุดให

ไดไมวาเราจะใชวิธีไหนก็ตาม โปรดจําไววา อยางอื่นเปลี่ยนชาไมเปนไร แตอารมณเนาบูดนั้นหาก

เปลี่ยนชาเกินไป เราอาจถึงตายได

อนึ่ง บางทีเราอาจไมรูวา บทเพลงเศรา หนังสือเศรา หรือภาพยนตเศรา ลวนแลวแตทําใหเรา

หดหู ฉะนั้น แมเราอาจเขาไปของแวะกับส่ิงเหลานี้ได แตจงอยาถลําลึกจนกลายเปนรสนิยมชมชอบ

55

Page 56: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

แบบคลั่งไคล หลายครั้งที่ผมตองแปลกใจเมื่อพวกเรามีความสุขกับส่ิงที่เศรา มันขัดแยงเกินไป และ

แนนอนวานี่คือหนึ่งในกลยุทธที่ไมมีวันไดผลดีกับชีวิตพวกเราแลย แตหลายคนอาจเถียงวา “ก็ฉันไมได

คิดวานั้นเปนกลยุทธนี่คุณ”มันก็จริง แตส่ิงใดก็ตามที่เราใชมันบอยในการดําเนินชีวิตจนกลายเปน

รูปแบบหรือนิสัย มันไดกลายเปนกลยุทธของการใชชีวิตชนิดที่เราไมรูตัว และรูปแบบหรือกลยุทธใน

การเขาถึงความสุขดวยเรื่องราวเชิงทุกขอันแสนรันทดใจนั้น.. คือส่ิงที่ตองระมัดระวังเปนอยางยื่ง มัน

ราวกับวาไมนาเสียหายอะไร หรืออาจเรียกมันวาคือ “ความมืดสีขาว” หลายคนไมไดดีหรือผลิกผันไปสู

ความเศราก็เพราะวาจิตใจฝกใฝความทุกขโดยไมรูตัว นี่คือการปรับจิตจนกลมกลืนกับความเศราและ

เห็นวามันคือความปกติแตผมยืนยันวาไมปกติ เมื่อเราของแวะกับมัน อานมัน ฟงมัน และดูมันเปน

ประจํา เทากับวาเราไดราดยาพิษเหลานี้ลงในความรูสึกนึกคิดของเราดวยน้ํามือของเราเอง พวกเราได

กลายเปนเยื่ออยางไมรูตัว ผมเลิกฟงเพลงเศราก็ดวยเหตุที่ตระหนักรูถึงผลที่จะตามมาของมันหากเปน

บทเพลงชนิดซาบซึ้งใจยังพอรับได แตบทเพลงเศราผมไมเอาเลย…. อยางนอยผมก็ลดโอกาสที่จะ

ปลอยพลังงานคลื่นแมเหล็กไฟฟาความถี่ต่ํา ๆ ออกไปสูอวกาศที่จะไปกวักมือตามเรื่องราย ๆ เขามา

ในชีวิตของผมไดเยอะแลว แตคนสวนใหญไมเคยรูเร่ืองการสงคลื่นนี้เลยแมแตนิดเดียว พวกเขาไมรูวา

มีความสัมพันธกันระหวางพลังงานของสภาวะอารมณกับส่ิงที่จะดึงดูด ดังนั้นเมื่อเราอารมณเสียจง

เปลี่ยนมันซะ…จงเปลี่ยนมันซะ

56

Page 57: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 32 ทําจิตใจใหผองแผว คําสอนที่ยิ่งใหญที่สุดของพระพุทธองคเร่ืองหนึ่งก็คือ “ละชั่ว ทําดีทําจิตใจใหผองแผว” คํา

สอนนี้มีความลึกซึ้งและสําคัญอยางยิ่ง ถึงกระนั้นก็ตาม พวกเราชาวพุทธทําตามไดนอยมาก การละชัว่

นั้น เห็นไดชัดวา… ถาไมละแลวชั่วชานัก ยอมถูกจับไปลงโทษดวยกฏหมายของบานเมืองไมชาก็เร็ว

การทําความดีนั้นดีในตัวมันเองจนไมตองอธิบายดวยซ้ําไป แตพวกโงเงาเตาตุนบางคนกลับเห็นวา

“ทําดีไดดี มีที่ไหน ทําชั่วไดดีมีถมไป” จริงอยูวาอาจเปนคําพูดเสียดสี แตมันไรสาระและถาจะไมพูด

เสียเลยยอมประเสริฐกวา พวกเราตองไมเพี้ยนขนาดนั้น ไมงั้นอาจเปนภัยมหันตไดเพราะวาทุกสิ่งมัก

เร่ิมตนจากจุดเล็ก ๆ กอนเสมอ คนบางคนทีแรกก็พูดเลน คร้ันนานไปจิตใจเริ่มเห็นดวย หนัก ๆ เขาเลย

ทําชั่วมันซะเลยเพราะเห็นวาสูทําดีมาตั้งนานทําไมไมไดรับการตอบสนอง ลักษณะนี้คือการมองสั้น

เกินไปและแถมมองไมรอบดาน คนทําชั่วจํานวนมากกําลังแยและคนทําดีจํานวนมากกําลังเจริญ…

ทําไมไมไปมองบาง ! จําไดไหมวา จิตวิญญาณเปนพลังงานที่ผมเชื่อวามีคุณสมบัติในการเก็บกักกรรม

หรือการกระทําที่ยังไมไดสงผล ฉะนั้น กรรมทั้งดีและไมดีทั้งหลายจะสงผลแนไมชาตินี้ก็ชาติตอ ๆ ไป

ผมพูดถึงความเปนไปไดของมัน ไมไดพูดวาเราตองกลัวหรืองมงาย และผมไมชอบเลยถาใครจะพูด

แบบขาดความเขาใจวา “ฉันเกิดมาเพื่อกมหนากมตาชดใชกรรม” อยางนี้มันเขาใจแคบเกินไปจนอาจ

ลืมไปวาการกระทําใหม ๆ ในตอนนี้สิที่ยิ่งสําคัญกวาและตองสนใจใหมาก ๆ แตการพูดอยางนั้นมัน

“กํากวม”จนอาจดําเนินชีวิตไปอยางไรความสุขได อยางไรก็ตาม เทาที่ผมวิจารณมาตั้งยาวก็ยังไมใช

ประเด็นที่ผมอยากบอกหรอก ประเด็นจริง ๆ อยูที่ขอความสุดทายของคําสอนพระพุทธองค… การทํา

จิตใจใหผองแผว

ผูคนในโลกนี้ บางคนรวยมาก มีเงินมาก มีธุรกิจมาก มีครอบครัวมีทายาท มีเพื่อน มีลูกนอง มี

ขาวของเครื่องใชมากมาย ทํางานเพื่อสังคม ทําบุญสรางวัด ฯลฯ แตถึงขนาดนี้แลว พวกเขาอาจกลาว

ไดวา “แตไมรูเปนไร ลึกลงไปภายในตัวฉัน ฉันไมมีความสุขเลย ฉันรูสึกถึงความวางเปลา” อะไรละที่

ทําใหคนเรารูสึกเชนนั้น งั้นผมตองถามใหม “ความรูสึกอะไรละที่หายไปจากชีวิต” คําตอบ “ก็

ความรูสึกที่มีความสุขไงที่หายไป” ทางแกนั้นงายมาก ทางแกคือ “จงฝกที่จะทําจิตใจใหผองแผว” และ

การที่จะฝกไดนั้น พวกเราตองมาทําความเขาใจกันกอนดังนี้

ประการแรก ความรูสึกวาผองแผวนั้นไมไดจู ๆ ก็ลอยมาหาเรา (แมวานั่นก็อาจเปนไปไดใน

ยามที่มันเกิดขึ้นเอง) แตจะงายกวาถาจะฝกสรางความรูสึกดีกับส่ิงตาง ๆ เพราะนั่นแหละคือหนทาง

ทําใหเกิดความปติ ราเริง และมีความสุข ทั้งหมดนี้อาจเรียกใหมไดวา “จิตใจที่ผองแผว” และพวกเรา

ตางไดเรียนรูกันมาแลววาเราสรางความรูสึกหรืออารมณหรือสภาวะจิตขึ้นมาไดอยางไร

57

Page 58: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

ประการที่สอง ในคําสอนที่วา “จงทําจิตใจใหผองแผว”เห็นไหมวามันไมไดระบุวาตองมีเงื่อนไข

ใด ๆ ที่ดีหรือแย และมันไมไดระบุการเวลาเอาไว ฉะนั้น ผมจึงตีความวา “จงทําจิตใจใหผองแผว ในทุก

กาลเวลา ทุกสถานที่ และทุกสภาวะเงื่อนไข” เชน

ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้เรายังไมรํ่ารวยแตเราอยากมีเงินทองเยอะ ๆ จงฝกใหตนเองมีจิตใจที่ผองแผว

ราเริง และ ปติยินดีเขาไว แลวเราจะมีชีวิตที่เปยมสุขไดงายแมอยูในสภาวะเงื่อนไขเชนนั้น

ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้เรายังไมมีแฟนแตอยากมี หรือวาเราอยากแตงงานแตยังไมพบเนื้อคู จงฝกให

ตนเองมีจิตใจที่ผองแผว ราเริง และปติยินดีเขาไว แลวเราจะมีชีวิตที่เปยมสุขไดงายแมอยูในสภาวะ

เงื่อนไขเชนนั้น จงฝกใหตนเองยิ้มแยมแจมใสอยูเสมอ

ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้เรามีครอบครัวแลว แตเรายังไมมีทายาทและเราอยากมี จงฝกใหตนเองมีจิตใจ

ที่ผองแผว ราเริง และปติยินดีเขาไว แลวเราจะมีชีวิตที่เปยมสุขไดงายแมอยูในสภาวะเงื่อนไขเชนนั้น

ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้เราเจ็บปวยแตเราอยากหายปวย จงฝกใหตนเองมีจิตใจที่ผองแผว ราเรงิ และปติ

ยินดีเขาไว แลวเราจะมีชีวิตที่เปยมสุขไดงายแมอยูในสภาวะเงื่อนไขเชนนั้น

ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้คุณแมของเราไมสบายแตเราอยากเอาใจชวยทานใหหายปวย จงฝกใหตนเองมี

จิตใจที่ผองแผว ราเริง และปติยินดีเขาใว แลวเราจะมีชีวิตที่เปยมสุขไดงายแมอยูในสภาวะเงื่อนไข

เชนนั้น

ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้เราพบกับปญหาและอุปสรรคหลาย ๆ อยางที่ตองแกไข จงฝกใหตนเองมีจิตใจ

ที่ผองแผว ราเริง และปติยินดีเขาไว แลวเราจะมีชีวิตที่เปยมสุขไดงายแมอยูในสภาวะเงื่อนไขเชนนั้น

ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้เราอวนแตอยากผอมและดูดี จงฝกใหตนเองมีจิตใจที่ผองแผว ราเริง และปติ

ยินดีเขาไว แลวเราจะมีชีวิตที่เปยมสุขไดงายแมอยูในสภาวะเงื่อนไขเชนนั้น

ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้เรายังไมไดในสิ่งที่เราตองการหลายสิ่งที่เราอยากได จงฝกใหตนเองมีจิตใจที่

ผองแผว ราเริง และปติยินดีเขาไว แลวเราจะมีความสุขไดงายแมอยูในสภาวะเงื่อนไขเชนนั้น

และไมวาเรากําลังเผชิญอยูกับอะไร ณ ขณะไหน และสถานที่ไดก็ตาม จงฝกใหตนเองมีจิตใจ

ที่ผองแผว ราเริง และปติยินดีเขาไว แลวเราจะมีชีวิตที่เปยมสุขไดงายแมอยูในสภาวะเงื่อนไขเหลานั้น

คุณผูอานที่รัก เมื่อผมยังเล็กนัก ผมตองเรียนวิชา “หนาที่พลเมือง และศิลธรรม” ผมไดรับคํา

สอนที่ดีที่สุดและผมทองมันไดข้ึนใจเพราะวาผมตองสอบ กระนั้นผมไมไดตระหนักรูถึงความสําคัญ

ของมันวา “การทําจิตใจใหผองแผว” คือหัวใจในการดําเนินชีวิต อีกเนิ่นนานใหหลังผมก็ไมไดใสใจ

และ ใชชีวิตที่ตรงขามกับคําสอนนี้ คนจํานวนมากลวนเหมือนผม พวกเรา เซ็ง เบื่อ บน และหดหู ได

งายจริง ๆ ส่ิงที่เกิดขึ้นก็อยางที่เราเดาได พวกเราไรสุขและไมเห็นคุณคาของชีวิต เพราะวาเราตีความ

ใหเร่ืองแทบทุกเรื่องที่เราเจอกลายเปนเรื่องขุนใจ รบกวนหรือหงุดหงิดนารําคาญ เราจึงรูสึกแยเอามาก

ๆ คําวา “เกษมสําราญ” นั้นเหมือนเปนคําศัพทประหลาดที่มีแตคนรุนกอนใชแตไมใชเรา ฉะนั้น

ในขณะที่เราตื่นอยู…เราตองตื่นขึ้นจริง ๆ เสียทีวาการทําตัวแบบไหนกันแนที่ดีกวา เขาทากวา และ

58

Page 59: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

ไดผลดีแน แคกําหนดจิตวาตอไปนี้จะมุงเนนชีวิตที่ผองแผวและเริ่มเสียเดียวนี้เลย แลวพวกเราจะตื่น

ข้ึนจริง ๆ เสียทีจากการหลับไหลที่ยาวนาน และเราจะไมรูสึกอีกตอไปวา… ทําไมนะ ชีวิตของฉันถึง

วางเปลาเสียจริง

59

Page 60: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

ภาค 2 ระบบใหญในตัวเรา

60

Page 61: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 1 เมื่อเปลี่ยนความคิด ชีวิตก็เปลี่ยนตาม

ในภาคแรก ผมไดมุงเนนถึงความสําคัญของสภาวะจิต อารมณ และความรูสึกเปนอยางมาก

โดยไมไสใจตอความคิดมากนัก และผมไดชี้วาพลังแหงอารมณความรูสึกหรือสภาวะจิตเปนพลังแหง

ความคิด แตถึงกระนั้นก็ตาม พลังแหงความคิดก็ยังคงเปนพลังที่ยิ่งใหญที่สุดอีกประการหนึง่ทีม่นษุยมี

อยางมหาศาล และบัดนี้มันถึงเวลาแลวที่พวกเราจะไดเจาะลึกในเรื่องนี้ใหมากขึ้น เมื่อเราปราดเปรื่อง

ในเรื่องนี้แลว บางที เราอาจไดกาวเดินไปขางหนาอีกกาวใหญที่จะเขาใจวา ความคิดกับอารมณ

ความรูสึกนั้นมีผลกระทบสะทอนกลับไปมาซึ่งกันและกันอยางใกลชิด

นานแสนนานมาแลวที่ผมไดติดตามศึกษาเรื่องความคิดและกรอบความคิด แรก ๆ นั้นผมได

ศึกษาเรื่องกฏแหงเหตุและผล กฏนี้กลาววา “ทุกสิ่งหรือผลลัพธตาง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ยอมมีตนเหตุหรือ

สาเหตุใดสาเหตุหนึ่งหรือหลาย ๆ สาเหตุรวมกันที่ทําใหมันเกิดขึ้น” และพวกเรามักใชกฏนี้โดยกลาว

วา “ปลูกอะไรไว ยอมไดส่ิงนั้น” เราเขาใจดีเมื่อเรากลาววา “เมื่อเราปลูกมะมวง เรายอมตองไดมะมวง”

กฏนี้จึงถือวาเปนกฏสากลที่ไมแตกดับไปตามกาลเวลา มันคงทนตอการทดสอบและพิสูจน อยางไรก็

ตาม กฏนี้ยิ่งล้ําลึกเมื่อเรานํามันมาใชกับความคิดของเรา ดวยการประยุกตใชกฏนี้ เรากลาวไดวา

“ความคิดของเรานั่นแหละคือตนเหตุแรก และนั่นอาจกอใหเกิดการกระทําที่สงผลตามมาที่สอดคลอง

กับวิธีคิด” แตเนื่องจากวาเราคิดอยูตลอดเวลาหรือเกือบตลอดเวลา เราไดทําตัวไปตามควมคิดของเรา

กลาวอีกอยางวา “ประดุจวาเราไดกลายเปนคนในแบบที่เราครุนคิดอยูตลอดเวลา” “ประดุจวาเราได

เปลี่ยนแปลงไปจะมากหรือนอยก็ตามไปในลักษณะที่เราคิดอยูตลอดเวลา” ดังนั้น มันจึงเปนเรื่องที่เรา

ตองใครครวญใหดีวา…

พวกเราไดดําเนินชีวิตไปตามความคิดหรือวิธีคิดของเราหรือไม จะวาไปแลว นี่เปนเรื่องที่ลึกซึ้ง

และยากเรื่องหนึ่งในการสรุป ผมเองนั้นแมหลงไหลกับความรูนี้ก็ตาม แตผมตองระมัดระวังในการใช

ถอยคําเปนอันมาก ยกตัวอยางเชน ในอดีตนั้นผมจะอธิบายวา “เราไดกลายเปนคนในแบบที่เรา

ครุนคิดอยูตลอดเวลา” แตปจจุบันผมเปลี่ยนเปน “ประดุจวาเรากลายเปนคนในแบบที่เราครุนคิดอยู

ตลอดเวลา” เหตุผลที่ผมเพิ่มคําวา “ประดุจ” ลงไปก็เพราะวาผมตองการชี้วา “เราไมใชความคิดของ

เรา” แตเรา “เปนผูสรางหรือผลิตความคิดขึ้นมา” ฉะนั้นเราจึงเปนอะไรที่มากกวาความคิดของเรา แต

โชครายที่เรามักทําตัวไปตามความคิดจนประดุจวาเรากลายเปนตัวความคิดเสียเอง ฉะนัน้ถาเราไปพบ

หนังสือเลมไหนเขียนวา “คุณคือความคิดถึงคุณ” หรือ “คุณเปนความคิดของคุณ” ก็ขอใหเชื่อเถอะ

วา… นั่นคือการสอนที่ผิด ผมขอสรุปวา “เราไมใชความคิดของเรา” แตเปนไปไดวา เรามักจะดําเนิน

ชีวิตไปตามที่เราคิดจนประดุจวาเราไดกลายเปนคนในแบบที่เราครุนคิดอยูตลอดเวลา (ผมหวังวาคุณ

ผูอานคงไมสับสนนะครับ) และเพราะวาเรามักจะดําเนินชีวิตไปตามที่เราคิดจนประดุจวาเรากลายเปน

61

Page 62: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

คนในแบบที่เราครุนคิดอยูตลอดเวลา เราจึงปฏิเสธความสําคัญของความคิดเรา แตเรานั่นแหละที่

สรางความคิดและใชมัน ตลอดจนเปนนายของมันอีกดวย

เอาละ ผมรูสึกสบายใจมากที่ไดอธิบายสิ่งที่เขาใจยากผานไปแลว ตอนนี้ เรามาดูผลที่จะ

ตามมาเปนลูกโซที่เกี่ยวกับความคิดไดเลย

เมื่อเราเปลี่ยนความคิด เราจะเปลี่ยนความเชื่อ

เมื่อเราเปลี่ยนความเชื่อ เราจะเปลี่ยนการคาดหวัง

เมื่อเราเปลี่ยนการคาดหวัง เราจะเปลี่ยนทัศนคติ

เมื่อเราเปลี่ยนทัศนคติ เราจะเปลี่ยนความรูสึก

เมื่อเราเปลี่ยนความรูสึก เราจะเปลี่ยนการกระทํา

เมื่อเราเปลี่ยนการกระทํา เราจะเปลี่ยนผลลัพธที่ได

เมื่อเราเปลี่ยนผลลัพธที่ได ประดุจวาเราไดเปลี่ยนชีวิตของเราไป

คุณผูอานที่รัก หากพูดสั้น ๆ เราอาจพูดวา “เมื่อเปลี่ยนความคิดประดุจวาเราไดเปลี่ยนชีวิตของเรา

ไป” พวกเราสังเกตไหมวามีคําศัพท ที่สําคัญอีกหลายคําที่อยูระหวางกลางของกระบวนการไดแก

“ความเชื่อ” “การคาดหวัง” “ทัศนคติ” “ความรูสึก” “การกระทํา” และ”ผลลัพธ ที่ได” ส่ิงเหลานี้พวกเรา

ไดยินไดฟงกันมาก็มาก เชน ตําราบางเลม (และเยอะดวย) ตางก็บอกวา ‘ความเชื่อสําคัญมาก’ และ

ตําราที่เนนความเชื่อก็จะรายยาวเกี่ยวกับความเชื่อไปทั้งเลมวามันจะกระทบและเปลี่ยนแปลงชีวิตเรา

ได บางตําราก็อางวา “ทัศนคติตางหากที่สําคัญเหนือส่ิงอื่นใด” และมุงเนนแตเร่ืองทัศนคติวาเปนใหญ

เหนือสิ่งอ่ืน ตําราอีกจํานวนมากเนนที่ความรูสึก (มันนาสนใจมากเพราะวาพวกเราสังเกตไหมวา

ความรูสึกอยูติดกับการกระทําในกระบวนการที่ผมกลาวถึง) ตําราที่เนนเรื่องความรูสึกเห็นวา… เรา

สรางสิ่งตาง ๆ ขึ้นมาจากความรูสึก เราลงลงมือทําหรือไมทําก็เพราะความรูสึก และเราดึงดูดสิ่งตาง ๆ

ไปตามความรูสึก เห็นไดชัดวาผมคอนขางจะฝกใฝความคิดเห็นของฝายนิยมความรูสึกวามีพลังเหนือ

พลังทั้งมวล (แถมผมยังนิยมชมชอบกฏแหงการดึงดูดชักนําพา และการปลอยพลังงานของคลื่น

แมเหล็กไฟฟาที่มีความถี่สูงต่ําไปตามอารมณความรูสึกอีกดวย ดังนั้น ผมยอมตองชอบและเชื่อมั่นใน

พลังแหงความรูสึกเอามาก ๆ ขนาดวาคลั่งไคลไดเลยอยางแนนอน) แตถึงกระนั้นก็ตาม ผมกย็งัเหน็วา

ลําพังเพียงความรูสึกอยางเดียว (แมวาจะโดดเดนและทรงพลังที่สุด) ยอมไมเพียงพอในการอธิบาย

พฤติกรรมทั้งหมดของมนุษยได ดังนั้น ผมจึงตัดสินใจที่จะฝกใฝทั้งสองทฤษฎีคือ ทฤษฎีที่เนนเรื่อง

ความคิดเปนใหญ และทฤษฎีที่เนนเรื่องความรูสึกเปนใหญไปพรอม ๆ กัน สวนพวกที่เนนอยางอื่นนั้น

ผมเห็นวาเปนองคประกอบเสริม… ไมใชองคประกอบหลัก

62

Page 63: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

อยูมาวันหนึ่ง ชีวิตของผมไดเปลี่ยนไปอีกขั้นหนึ่งเมื่อผม ๆ ไดตั้งคําถามที่สําคัญมากกับตนเองขอหนึ่ง

วา ‘’ก็แลวมนุษยเปลี่ยนความคิดไดอยางไรละ” ทันไดนั้นเอง ผมราวกับวาไดเขาไปสูความรูแจงหรือ

การหยั่งรูอะไรบางอยางที่ฉับพลันในชั่วพริบตาผมไดยินเสียงในใจตอบวา “ก็ดวยการใหขอมูลใหม ๆ

กับสมองหรือจิตใจของเราไง” ใชแลว “ขอมูลใหม ๆ การใหความหมายใหม ๆ คําถามใหม ๆ กรอบ

ความคิดใหม ๆ ทฤษฎีใหม ๆ ประสบการณใหม ๆ รานอาหารใหม ๆ ไอศกรีมรสใหม ๆ หนังสือเลม

ใหม ๆ สัมมนาใหม ๆ ไปดูหนังแนวใหม ดนตรีแนวใหม การแตงตัวแบบใหม ๆ เจอคนใหม ๆ คบ

เพื่อนใหม ครุนคิดเรื่องใหม ๆ ความรูสึกใหม ๆ ฯลฯ” โอ… คําตอบที่ไดราวไมมีที่ส้ินสุด

ฉะนั้น พวกเราตองหันมาสนใจหนอยวา… ในวันแลววันเลาของเรานั้น มีอะไรบางละที่

แตกตางออกไป หาไมแลวเราจะเปลี่ยนความคิดไดไง นิวอินพุทหรือส่ิงใหม ๆ ที่จะยัดใสเขาไปในสมอง

หรือจิตใจของเรานะ… มีบางไหม? ถาไมมี… งั้นตองรีบจัดการใหมันมีใหจงได และแนนอนวาใน

บรรดาสิ่งใหม ๆ ทั้งหลายแหลนั้น ผมหมายถึงสิ่งดี สวนสิ่งใหมที่เลวรายนั้น… ผมไดละไวในฐานที่

เขาใจวา… ไมนับพวกมันเขามารวมไว พวกเราอาจสงสัยวา “อาว… แลวฉันจะไปรูเรอะวาสิ่งใหมเนี่ย

มันดีหรือเลว ก็มันใหมมากนี่นา” จริงอยูวาบางทีเราอาจไมรู แตเราตองเรียนรูใหเร็วที่สุดวาอะไรดีและ

อะไรไมดี จากนั้นก็คัดสิ่งไมดีทิ้งไปและเก็บแตเฉพาะสิ่งดีไว

อนึ่ง ถอยคํานับแสนนับลานคําในภาคที่ 1 (และที่พวกเราจะอานตอไปอีกมาก) ที่พวกเราได

ผานมา ส่ิงเหลานั้นลวนเปนขอมูลใหมที่ผมพยายามปอนเขาไปในสมองและชีวิตจิตใจของพวกเรา

ไมใชหรอกหรือ? ทั้งหมดที่ผมพยายามลงไปนั้น ก็เพราะผมเชื่อจริง ๆ วา เมื่อเราเปลี่ยนความคิดได

เมื่อไหร ชีวิตของพวกเราก็จะเปลี่ยนไปอยางแนนอนเมื่อนั้น

63

Page 64: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 2 สองแสนครั้งกับการถูกปฏิเสธและหามปราม

หากเราคิดวาการเปลี่ยนความคิดเปนเรื่องหมู ๆ บางทีนั่นก็อาจใชสําหรับใครบางคน แตวา

พวกเราถูกปลูกฝงหรือเลี้ยงดูกันมาอยางไรละ? หากวาพวกเราโชคดีเหนือใคร ๆ พวกเราจะถูกบอกวา

“ทําไมไดนะ” หรือ “อยานะ” หรือ “อันตรายนะ” อยางนอยหาหมื่นครั้งเมื่อพวกเราอยูในระหวางการ

เจริญเติบโตสูการเปนผูใหญ แตถาเราโชครายเหมือนคนสวนใหญละก็… เราจะไดรับการพร่ําบอกวา

“ทําไมไดนะ อยานะ อันตรายนะ ไมมีใครเขาทํากันอยางนั้นนะ หยุดเดี๋ยวนี้นะ” อยางนอยสองแสนครัง้

แลวหลังจากสองแสนครั้งแลวละ จะเปนอยางไรตอ… ไมตองหวง… เราจะไดเจอครู เพื่อน แฟน คูชีวิต

ญาติ สังคม วัฒธรรม จารีตประเพณี และอะไรตอมิอะไรอีกมากที่จะวากลาวตักเตือนพวกเราวา “อยา

นะ ทําไมไดนะ มันเสี่ยงนะ มันอันตรายนะ อยาแมแตที่จะคิดนะ ฯลฯ ” โอ…ใหตายสิโรบิ้น… คน

หวังดีชั่งมีมากอะไรเชนนั้น !

เอาละ แลวพวดเรารูหรือเปลาละวา เจาบรรดาสิ่งที่เราเจอเชนพวกคําวา “การปลูกฝง” “การ

เพาะบมนิสัย”, “ส่ิงที่ควรและไมควร”, “คําเตือน”, “ขอแนะนํา”, “ความคิดเห็น” ส่ิงเหลานี้มันคืออะไร

ละ? ใชแลว… พวกมันก็คือขอมูลใหม ๆ (เชิงลบที่มากเกินจําเปน ที่ตอกย้ําซ้ําซากจนกลายเปน

ขอจํากัด และมีอิทธิพลมากเกินไป) ที่ยัดใสเขาไปในสมองและจิตใจของเราไง ส่ิงเหลานี้ไดกอรูป

ความคิดขึ้นวา อืมมมมม…. มันมีอะไรอีกมากวะที่เราทําไมไดหรอก จากนั้นมันเริ่มลามไปแทบทุก

ดานของชีวิต พวกเรากลายเปนคนชนิด “เพลยเซฟ หรือไมเสี่ยงไวกอน”พวกเราตั้งการดสูงและระวังตัว

แจจนมากเกินพอดี คําพูดที่วา “ฉันทําไมไดหรอก” นั้น… หลายครั้งไมไดกลั่นออกมาจากความจริงที่

เกี่ยวกับความสามารถของตัวเรา แตมันออกมาจากความเคยชินกับกรอบความคิดที่เราถูกปลูกฝงให

“ชวยเหลือตัวเองไมคอยจะได”อยางไมรูตัว พวกเราถูกเลี้ยงดูมาอยาง “ระวัง ระวัง และระวัง”เราจึงโต

ข้ึนแบบ “ระวัง ระวัง และระวัง”และที่โชครายที่สุดคือ พวกเรากําลังดําเนินชีวิตแบบ “ระวัง ระวัง และ

ระวัง”พวกเราไมคอยใชศักยภาพหรือความสามารถที่เก็บกักไวในตัวเราสักเทาไหรเพราะวาพวกเราถูก

“หาม”มากเกินไป จะวาไปแลวผมนี่แหละคือตัวอยางขั้นสุดยอดของการถูกหามจากพอแม สองแสน

คร้ังไมพอแนสําหรับผมเพราะวาพอแมของผมรักผมมากเกินไป พอแมทั่วโลกเปนอยางนี้ พวกเขา

พยายามทําในสิ่งที่พวกเขาคิดวาฉลาดที่สุดแลว (ไมไดประชด) แตอะไรก็ตามที่มันมากเกินไปยอมเกิด

โทษของมันเสมอ แลวเดาสิวาเกิดอะไรขึ้นกับผม ผมดําเนินชีวิตแทบทั้งชีวิตดวยการเก็บกักศักยภาพ

อันมหาศาลเอาไวและใชชีวิตในกรอบของความคิดที่จํากัด ผมชวยเหลือตัวเองไดนอยมาก ดูเหมือนวา

ชะตาชีวิตอาจมีแผนของมันไวแลว และแผนของมันก็คือคนโงเขลาเบาปญญาและออนแอก็จะถูก

ลงโทษในไมชาก็เร็ว ไมดวยน้ํามือของคนอื่นก็ดวยน้ํามือของตนเอง เมื่อผมเขาเลนหุนดวยความโลภ

และคิดวามันเปนเรื่องที่งาย ผมตาบอดถึงขนาดคิดวาการทํางานทั่วไปเปนเรื่องโงเขลา หากวาจะมี

64

Page 65: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

อะไรสักอยางที่ถือไดวาผมสิ้นคิดและบาไปแลว…. นั่นก็คือการที่ผมคิดวา การเลนหุนฉลาดกวาการทาํ

ธุรกิจอ่ืน ๆ แตอยาเพิ่งเขาใจผิด ผมไมไดบอกวาคนเลนหุนโง เปลาเลย… คนเลนหุนที่ฉลาดนั้นมีมาก

เมื่อคนเราจะเลนหุนก็ไมแปลกหรอก คน ทั่วโลกก็เลนหุนไมใชหรือ? แตการคิดเลยเถิดถึงขนาดที่วา

“มันเหนือกวาการทําธุรกิจอ่ืน ๆ”ยอมเปนอคติ ในที่สุดผมตัดสินใจเลิกทํางานในธุรกิจครอบครัวและไป

ตลาดหุนทุกวันอยางเต็มตัว และผมก็หมดตัวเมื่อตลาดหุนดิ่งลงตลอดเวลาและหุนบางตัวมีมูลคา

เหลือหนึ่งสตางคเทานั้น ตอนนั้นผมไดแตหดหูและหางไกลกับความรูที่ผมเขียนไวในหนงัสอืเลมนีม้าก

หนึ่งในความจริงที่ปฏิเสธไดยากคือ… ยามที่คนลมนั้น คนจํานวนนอยกวาที่ลุกขึ้นมายืนได ในยามที่

ย่ําแยนั้น ไมตองบอกก็รูวาเรื่องเลวรายอีกนับสิบจะกรูกันเขามาไมขาดสาย (ก็มันแนอยูแลวที่ผมได

กวักมือเรียกพวกมันเขามาดวยคลื่นแมเหล็กไฟฟาความถี่ต่ํามากที่ผลิตจากอารมณเชิงลบที่ผมสงออก

ไปทุกวัน ในตอนนั้นผมยังไมรูวาผมเปนมนุษยที่สามารถปลอยพลังงานตัวนี้ ผมสงจดหมายเชิญผิดใบ

ตลอดเวลา) ในชวงนั้น ผมไดรับความเจ็บปวดในทุกรูปแบบก็วาได วันหนึ่งภรรยาไดเตือนสติวา “เฮียมี

ความรูเร่ืองหมากลอมมาก เฮียสูอุตสาหศึกษามานับสิบป ทําไมไมเขียนหนังสือสอนใหคนเลนเปนละ”

ในเมื่อผมไมมีอะไรจะสูญเสียอีกแลว ผมจึงลงมือเขียนมัน และแลวในที่สุดตําราหมากลอมที่สมบูรณ

ที่สุดเลมแรกแหงประเทศนี้ก็ไดอุบัติข้ึน “โกะ อัจฉริยะเกมแหงพิภพ” มันขายดีเปนเทน้ําเททา สิ่งนี้ให

กําลังใจแกผมมาก ผมไดเปดสํานักพิมพข้ึน และเริ่มหันมาศึกษาหนังสือแนวพัฒนาตนเองอยางจริงจัง

ตั้งแตป 2543 เปนตนมา แตดวยเดชะบุญที่ผมเคยอานมากอนและมากดวยเมื่อตอนเปนวัยรุน ทวา

คราวนี้ไมเหมือนตอนเปนวัยรุน ผมไดบทเรียนมามาก ดังนั้น ผมจึงซาบซึ้งกับคําสอนในหนังสือไดมาก

เปนพิเศษ และนึกไมถึงวา ผมจะไดคนพบตัวเองอีกครั้งวาผมมีพรสวรรคในดานนี้ และภารกจิใหญของ

ผมก็คือ…. การรับใชคนในประเทศนี้เพื่อปอนอาหารทางสมองที่ดีเลิศ และเปนกําลังใจใหกับผูคนอีก

มากใหตอไป

คุณผูอานที่รัก แมวาหลายคนไมไดมีชีวิตเหมือนผม แตพวกเราตางคลายกันในแงที่เราถูก

ปลูกฝงและเลี้ยงดูมาแบบใหระวังตัว เราถูกหามปรามในแทบทุกเรื่องราว ส่ิงนี้เปนกันทั้งโลก และพวก

เราก็ตางมีชีวิตที่เต็มไปดวยขอจํากัดของตัวเอง อาจตางกันในรายละเอียดแตเหมือนกันในลักษณะที่

เราถูกปลูกฝงใหระวังและอยาทําในหลาย ๆ ส่ิง เราจึงมีความจําเปนที่จะตองเติบโตขึ้นจริง ๆ ไมใช

เพียงอายุแตเปนความเขาใจถึงอิทธิพลขิงส่ิงแวดลอมและคําสอนที่หลอหลอมเราขึ้นมา ผมหวังวาพวก

เราจะเขาใจมัน เห็นใจพวกผูใหญทีปฏิบัติตอเราที่รูเทาไมถึงการณ และกาวพนไปจากกรอบความคิด

เล็ก ๆ ของเราใหจงได และแนนอนวาผมทําทุกสิ่งทุกอยางที่ตองทําเพื่อทําใหพวกเราเอาชนะการ

ปฏิเสธสองแสนครั้งที่พวกเราไดประสบมาและนําพาพวกเราไปสูกรอบความคิดที่ใหญมากเพื่อ

อิสรภาพทางความคิดที่รวมไวซึ่งทุกสิ่งทุกอยางที่อาจเปนไปได

65

Page 66: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 3 กรอบความคิด… ปอมปราการที่ตองฝาทะลุออกไป

เมื่อเราพูดถึงเรื่องความคิด ผมคิดวาเราตองหันมาสนใจอีกสิ่งหนึ่งใหมากนั่นคือ “กรอบ

ความคิด” มันเปนอะไรที่เหมือนขอบเขตที่ปลายสุดของความคิด หรือการอนุญาตที่มากที่สุดที่ตัวเรา

ยอมรับไดดังนั้นในกรอบความคิดของเรื่องใด ๆ ก็ตาม ภายในนั้นยอมมีความคิดไดหลายอยางแตมัน

ถูกจํากัดความเปนไปไดดวยกรอบของมัน นี่เปนเรื่องที่ลึกซึ้งมากเรื่องหนึ่ง เปนความลี้ลับมากประการ

หนึ่งที่ผมพยายามเขาไปสัมผัสมัน มันนาตกใจยิ่งที่ความคิดที่มองเห็นไมไดดวยประสาทสัมผัสทาง

ภายนอกทั้งหากลับสามารถมีขอจํากัดได ในยามที่คุณคิด ผมมองไมเห็นหรอก ผมไมรูหรอกวาคุณคิด

อะไรถาคุณไมบอก แมกระนั้น คุณก็รูวามีอาณาเขตบางแหงที่คุณไมกลาลวงล้ําเขาไป มันเปนกรอบที่

มองไมเห็นที่บอกเราวา “เราคิดไกลได” แคสุดเขตแดนนี้ มากกวานี้เปนไปไมได และไมไดรับอนุญาต

ใหไปไดไกลกวานี้ทางความคิดอีกแลว มันอาจดีในบางแงแตมันก็แยในทางสรางสรรคดวยเชนกัน

ยกตัวอยางเชน เมื่อผมเปนเด็ก ผมถูกปลูกฝงวา “การดาพอแมจะทําใหผมตกนรกและถูกเจาะปาก

ดวยเข็ม” ดังนั้น แมในความคิด ผมเดินทางขามกรอบความคิดนี้ไมได มิเชนนั้นแลว ผมจะรูสึกวา…

ได รับความเจ็บปวดที่ ลึกมาก เพราะฉะนั้นพวกเรายอมไดรับกรอบทางความคิดจากภูมิหลัง

ส่ิงแวดลอม จารีตประเพณี การศึกษา ประสบการณที่ไดผานพบ และอาจเปนอะไรก็ไดนับไมถวนที่

สรางกรอบทางความคิดขึ้นมา ขอดีนั้นมีแน แตขอเสียคือบางทีเรามีกรอบความคิดเกี่ยวกับปรัชญา

การใชชีวิต วิธีการหาความสุข และความสําเร็จ ที่ทําใหเราสมความปราถนาไดยากมาก ฉะนั้น ใน

ฐานะที่ตอนนี้เราเปนผูใหญแลว เรารูมากวาอะไรเปนอะไรแลว เราตองขยายกรอบความคิดในหลาย ๆ

เร่ืองใหกวางไกลจนราวกับวาไมมีกรอบ หรือถาเปรียบวากรอบความคิดคือกําแพง หรือปอมปราการที่

กักขังหนวงเหนี่ยวเราไว เราจําเปนตองฝาทะลุออกไปหากเราตองการชีวิตที่ไรขีดจํากัด ลองดูการฝา

กําแพงของผมจากตัวอยางตอไปนี้

นานมาแลวที่กรอบความคิดของผมเกี่ยวกับเด็กคือ “เด็กก็คือเด็ก” นั่นทําใหผมมีพฤติกรรมตอ

ลูกในลักษณะที่ไมเทาเทียมเมื่อผมไดขยายกรอบความคิดใหมเปน “เด็กก็คือผูหญิงหรือผูชายแคตัว

เล็กกวาเรานอดหนอย เด็กคืออนาคตที่แทจริงของมนุษยชาติ และอีกหนอยก็จะตัวโตเทาเรา” ดวย

กรอบความคิดนี้ ผมไดเปลี่ยนพฤติกรรมตอเด็กไปมากทีเดียว ส่ิงนี้ลูกผมเปนพยานไดดีถึงการปฏิบัติ

ตอพวกเขาอยางใหความสําคัญและใหเกียรติอยางมาก

นองสาวคนเล็กตอวาผมเสมอวา “อยามาวาฉันเพียงเพราะเธอเปนพี่” ผมนึกออกทันทีวาที่ผม

ทําเชนนั้นเพราะวากรอบความคิดของผมมันบอกวาผมโตกวา ผมเปนพี่ ผมมากอน และเมื่อกอนผมวา

กลาวเธอได แตเมื่อกอนไมเหมือนเดี๋ยววนี้ เพราะวาเธอโตเกินกวาที่ผมจะอางเชนนั้นไดอีกตั้งนานแลว

นี่มันตางอะไรกับที่พอแมวัยแปดสิบเห็นลูกอายุหกสิบวายังเปนเด็ก ดังนั้น เพื่อแกปญหานี้กับนองสาว

66

Page 67: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

ไปตลอดกาล ผมไดขยายกรอบทางความคิดสําหรับเร่ืองนี้เปน “ใชแลววาในฐานะหนึ่งเธอเปนนองสาว

ของฉันและในขณะเดียวกันเธอก็เปนผูใหญ เธอเปนปจเจกบุคคลที่มีชีวิตอิสระของตนเอง เธอมีสามี มี

ครอบครัว เธอมีลูกของตนเอง และเธอยังจะเปนอะไรอีกตั้งหลายอยางที่ฉันอาจไมเปน” ตั้งแตผมได

ขยายกรอบความคิดนี้ออกไปอยางกวางไกลแลว ผมไมเคยทะเลาะกับเธออีกเลย

ในเรื่องเกี่ยวกับเวลาของครอบครัวนั้น ผมไดเปลี่ยนกรอบความคิดครั้งใหญเมื่อผมเปลี่ยน

ประโยคที่วา “นี่มันคืดเวลาของผม” มาเปน “นี่มันเวลาของเรา” คุณอาจสงสัยวามันจะดีสักแคไหน ผม

บอกไดเลยวาเยี่ยมแบบสุด ๆ ทุกวันนี้ผมมีความสุขมากกับคําเชิญชวนแทบทุกชนิดของลูกและภรรยา

ที่พวกเขาออกปากชวนผม ผมจะวางงานลงโดยไมลังเล…ก็นี่มันเวลาของเรานี่

หากคุณยอนกลับมาอานหนังสือเลมนี้อีกครั้ง มันแนนอนวาคุณตองเจอคําสรรพนามตอไปนี้

ผม,คุณ, และ พวกเรา แตเดาซิวาผมใชคําไหนเยอะที่สุด… ผมใชคําวา “พวกเรา” บอยที่สุด ทําไมถึง

เปนอยางนั้นละ สาเหตุก็คือเมื่อผมไดขยายกรอบความคิดจากคําวา “คุณและผม” ไปเปน “พวกเรา”

แลว มันก็ไมมีอะไรที่คุณกับผมจะขัดแยงกันอีกตอไป ผมจึงไมอยูในฐานะที่สอนอะไรใหกับคุณ

เพราะวาคําวา “พวกเรา” ไดลดชองวางความเปนคนแปลกหนาตอกัน และผมก็รูสึกจริง ๆ วา “เราเปน

พวกเดียวกัน” สวนในหนังสือเลมกอน ๆ ของผม ผมไดใชคําวา “ผม” และ “คุณ” เยอะมาก ทําละ… ก็

เพราะวาตอนนั้นผมยังไมไดเปลี่ยนกรอบความคิดใหกวางไกลออกไปสูคําวา “พวกเรา”นะสิครับ

ออ…. เมือพูดถึงคําวา “พวกเรา”มีเร่ืองลอเลียนที่ขําดีอยูเร่ืองหนึ่ง มีเร่ืองเลากันวา…มีประเทศหนึ่งใน

เอเชีย (ขอไมบอกชื่อ) ที่ชาตินิยมจัดมาก นั่นหมายความวาพวกเขารักชาติของตนเองเอามาก ๆ เวลา

จะพูดถึงเรื่องไหนก็ตาม พวกเขาจะพูดวา ”บริษัทของเรา” “คนของเรา” “เด็กของเรา” “อุตสาหกรรม

ของเรา” “เทคโนโลยีของเรา” ฟง ๆ ดูก็เขาทาดีและรูสึกวาพวกเขาชางเปนปกแผนดีจริง แตที่ผมอดขํา

ไมไดคือคําสุดทายที่ผมกําลังจะพูดถึงครับ พวกเขาพูดวา “ภรรยาของพวกเรา” อืมมมมม… อะไรมัน

จะขนาดนั้น

มีขาวดีเล็กนอย เทาที่พวกเราไดอานมาไกลถึงเพียงนี้ พวกเราไดขอมูลใหม ๆ ไปมากแลว

ดังนั้น โดยที่ไมอาจหลีกเลี่ยงไดพวกเราไดขยายกรอบของความคิดหรือทลายกรอบของความคิดอันคับ

แคบตายตัวบางประการลงไปแลว ส่ิงนี้ยอมทําใหเราเห็นความเปนไปไดใหม เพิ่มข้ึนไมมากก็นอย

คุณผูอานที่ รัก ผมไดอธิบายเรื่องกรอบความคิดมาพอสมควรเพื่อที่พวกเราจะนําไป

ประยุกตใชใหแหมาะสม ขอใหพวกเราสํารวจตรวจตราดูวาความคิดหรือกรอบความคิดดานไหนบาง

ไหมที่เราคับแคบเกินไปงั้นเราจินตนาการวากรอบอันนั้นมันขยายตัวออกไป จงยืดหยุนและเพิ่ม

ความหมายใหมหรือความเปนไปใหม ๆ เขาไปใหมาก ๆ นี่แหละคือการพังกําแพงหรือฝาทะลุกรอบ

ความคิดเกาของพวกเราและเรามีความสุขและความสําเร็จมากขึ้นอยางแนนอน และตอนนี้เรากําลัง

จะไดเรียนรูความคิดในรูปของคําถามซึ่งเปนสิ่งที่ใกลชิดติดพันกับเราเปนอยางยิ่ง เรายิงคําถามกับตัว

67

Page 68: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

เราเองและเรื่องราวในโลกนับลานขอ “คําถาม” คืออะไรกันแน มันเปนความคิดประเภทหนึ่งใชไหม?

พวกเราจะไดรูแจมแจงในหัวขอตอไป

68

Page 69: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 4 คําถามคืออะไรกันแน

เวลาที่เราคิด พวกเราจะรูตัวหรือเปลาวาเราชอบคิดในลักษณะไหนมากที่สุด พวกเราคงไม

แปลกใจใชไหมถาผมจะบอกวาเราคิดเปนประโยคคําถามมากที่สุด เชน

ที่เขาทําอยางนี้มันหมายความวาอยางไร ?

เขาจะรักฉันอยางที่ฉันรักเขาไหมนะ?

ฉันอาจสามารถทําอะไรไดบางแลวเขาจะรักฉัน?

ฉันทําอะไรไดอีกแลวฉันจะเปนที่รัก?

ฉันตองทําตัวอยางไรถึงจะดีที่สุด?

คุณผูอานที่รัก จําไดไหมเมื่อตอนที่เราเปนเด็ก พวกเราคือสุดยอดแหงมนุษยเจาคําถาม เรายิง

คําถามอุตลุดจนพอแมเราเหนื่อยที่จะตอบ เราชอบใชความคิดดวยคําถามเพราะวาเราตองการที่จะ

เขาใจทุกสิ่งที่เราสงสัย และเราจะถามตอไปตราบใดที่เรายังมีลมหายใจอยูไมตองสงสัยเลยวา

สติปญญาและแทลทุกสิ่งที่เปนมนุษยไดสรางขึ้น มาจากพลังของความคิดในรูปของคําถามทั้งสิ้น ไมมี

เครื่องมือใดอีกแลวที่เหนือกวามัน แมแตเจาชายสิทธัตถะก็ไดใชพลังแหงคําถามจนนําพระองคออก

บวชเพื่อคนหาทางพนทุกขมาแลว หากวาเราเปลี่ยนความคิดแลวไซร เห็นทีเราตองรูจักเลือกใชคําถาม

ใหเปนเสียกอนเพราะวาคําถามนั้นมีมากเปนตัน ๆ และมีทั้งดีและเลว สาเหตุหลักประการหนึ่งที่ทําให

คนจํานวนมากกําลังแยเพราะเฝาถามคําถามที่ผิด ๆ สวนคําถามที่ถูกที่ควรไมยักถาม ผมอยากย้ําวา

พวกเราไดเขามาถึงสิ่งที่โคตรของโคตรของโคตรสําคัญ (หากไมพูดขนาดนี้เกรงวาเดี๋ยวพวกเราอาจไม

เชื่อวามันสําคัญจริง ๆ) ดังนั้น ขอพวกเราจงมุงเนนเรื่องนี้ใหมาก ๆ

69

Page 70: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 5 ธรรมชาติของคําถามและอนุภาพของมัน

แมวาพวกเรามีประสบการณในเรื่องการถามมานับไมถวนแลวก็ตาม แตเชื่อเถอะวาเราก็สัก

แตถามกันไปเรื่อยโดยไมไดรูถึงธรรมชาติของมันสักเทาไหร ดวยเหตุนี้เอง มันจึงคลายกับการโยน

ลูกเตาที่ไดแตมไมแนนอน ซึ่งหมายความวาบางครั้งเราถามคําถามไดฉลาด เราก็พลอยไดรับผลดีตาม

ไป และครั้งใดเราถามคําถามโง ๆ เราก็ไดรับผลเสียตามไปเชนกัน แตขาวรายมากก็คือ ผูคนสวนใหญ

ไดใชคําถามที่ผิดมากมายเหลือเกินกับชีวิตของพวกเขา ชีวิตจึงกลายเปนทุกขแทนที่จะสุข หนทาง

เดียวที่เราจะสรางชีวิตที่แสนวิเศษขึ้นมาไดเราตองรูวา อะไรคือธรรมชาติของมัน และผมสัญญาวา เรา

จะใชมันใหมไดอยางทรงพลังที่สุดทีเดียว ตอไปนี้คือธรรมชาติของคําถาม

สมองของเรานั้น ทํางานในลักษณะที่ตรงไปตรงมา เมื่อเราถามมันเรื่องไหน มันก็จะพยายาม

ตอบในเรื่องที่ถาม เชนถาถามวา “ใคร” มันก็จะพยายามนึกชื่อให ถาถามวา “เมื่อไหร” มันก็จะนึกถึง

เร่ืองเวลา เปนตน ฉะนั้น ถาบังเอิญเรื่องไหนไมไดถาม สมองจะถือวาเราไมไดสนใจเรื่องนั้น และ

แนนอนวามันจะไมนึกถึงเรื่องนั้นใหเรา ฉะนั้น หากเราจะมีสักลานเรื่องที่พวกเราพลาดไป มันเปน

เพราะวาเราไมเคยไดถามถึงนั่นเองเปนองคประกอบแรก มันไมไดเกี่ยวกับความสามารถในการที่จะ

ไดมานักหรอก แตมันเกี่ยวอยางยิ่งวาเราไดถามถึงไหม สมมติวาเราไมเคยถามวา “ฉันจะซื้อรถเพิ่มอีก

หนึ่งคันดีไหม” ก็ไมมีเหตุอันใดที่สมองจะคิดถึงรถอีกคัน ถาเราไมไดถามวา “เมื่อไหรฉันถึงจะไปเรียน

ภาษาจีน” เชื่อเถอะวาเรายอมจะไมมีวันรูไดหรอกวาเมื่อไหร ดังนั้น คําถามที่เราถามและไมไดถาม คือ

การอธิบายวาเราสนใจอะไรและเราอาจไดมันมา กับเราไมสนใจอะไรและเราจะไมมีวันไดมันมางาย ๆ

หรอก ฉะนั้นเพื่อนเอย ถาอยากจะร่ํารวย อยากมีความสุข อยากมีสุขภาพดี และอยากมีส่ิงดี ๆ อีกมาก

แลวละก็ จงถามเรื่องราวเหลานี้กับตนเองบอย ๆ แลวสมองจะไมมีทางเลือก มันจะพยายามตอบใน

ส่ิงที่เราถามอยางสุดความสามารถของมันทีเดียว โปรดจําไววา การถามถึงอะไรก็ตาม เราไดสราง

ตนเหตุที่เราอาจจะไดมันมา เพราะวาสมองถูกบังคับใหทํางานหรือคิดไปตามคําถามที่เราถามนั่นเอง

ถามอยางไร ตอบอยางนั้น

เมื่อเราถามคําถามอยางสรางสรรคเชน “ฉันอาจสามารถทําอะไรไดบางในวันนี ้แลวคณุแมจะ

รักฉัน” สมองจะคิดแตเร่ืองการกระทํา แตเมื่อเราถามในลักษณะที่นากลัวสมองจะผลิตคําตอบที่นา

กลัวตามไปดวย เชน “ฉันจะกําจัดเขาไดอยางไร” โปรดรูดวยวา มันชวยไมไดที่สมองจะคิดวธิกีารกาํจดั

ให ผมถึงบอกวามันอันตรายเมื่อเราดันไปตั้งคําถามที่นากลัว อีกตัวอยางเชน “ฉันจะฆาตัวตายได

อยางไร” นี่คือลักษณะคําถามที่นาสะพรึงกลัว แตสมองฝนไมได มันจะตอบแตคําถามอยางนี้ มันจึง

เสี่ยงเมื่อใครริไปถามมันเขา ผมไมไดบอกวาการฆาตัวตายดีหรือเลว แตผมอธิบายวามันเปนธรรมชาติ

ในการทํางานของสมองกับคําถามที่มันไดรับ เมื่อเด็กนักเรียนถามตนเองวา “ฉันจะหนีเรียนไดอยางไร”

70

Page 71: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

มันแนอยูแลววาสมองจะคิดคําตอบในการหนีให แลวถามอยางนี้ละ “ฉันจะโกหกใหแนบเนียนได

อยางไร” ไมตองหวงสมองจะชวยคิดหาวิธีให ฉะนั้น โปรดระลึกไววา ส่ิงเลวในทุกรูปแบบที่คนเราอาจ

ทําลงไปได ลวนขึ้นกับวาพวกเขาไดเคยตั้งคําถามที่เลวรายมาก ๆ เหลานั้นหรือเปลา และในทาง

ตรงกันขาม ส่ิงดี ๆ ทั้งหลายที่คนเราอาจทําลงไปไดก็เชนกัน ยอมข้ึนกับวาพวกเขาไดเคยถามคําถาม

ถึงพวกมันหรือไม ดวยความรูนี้ พวกเราตองรูจักเลือกใหเปนแลวทุกสิ่งทีดี ๆ จะอยูในกํามือของเรา

คําตอบใหม ๆ ยอมมาจากคําถามใหม ๆ

ผูคนมากมายบนวาเปลี่ยนแปลงตนเองไมได บางทีอาจเปนเพราะมัวถามแตคําถามเกา ๆ ที่

ซ้ําซากจําเจ มันเลยไมไดความคิดใหม ๆ เขามา ดวยการตั้งคําถามใหม ๆ ยอมบังคับใหสมองคิด

เร่ืองใหม และที่โลกเจริญขึ้นก็ดวยเหตุนี้ บางคนถึงกับพูดเสียคมกริบวา “ไมใชคําตอบหรอก แตเปน

คําถามตางหาก ที่ทําใหรูแจง” วาว…. อะไรจะลุมลึกถึงเพียงนั้น! ขอใหเรามองสิ่งประดิษฐใหม ๆ ทุก

อยางที่อยูรอบตัวเราสิ ลวนเกิดขึ้นไดจากคําถามใหม ๆ หากใครก็ตามอยากผลิตความคิดที่สรางสรรค

ส่ิงที่ควรและตองทําคือการปอนคําถามใหม ๆ ใหกับสมอง หากพวกเราอยากมีชีวิตที่มันตื่นเตนเราใจ

มากขึ้น งั้นเอาคําถามนี้ไปเลย… “ฉันจะใชชีวิตที่มันสนุก ตื่นเตนเราใจ และราเริงแบบสุดเหวี่ยงได

อยางไร ฉันจะทําอะไรที่มันใหม ๆ ไดบาง ฉันยังจะทําอะไรอีก อะไรละที่นาลอง ที่นาชิม ที่นาไปเห็นไป

ดู ที่นาไปเที่ยวชม ที่นาไปสัมผัส ที่นาฟง ที่นาไปรูสึกแปลกใหม และที่นาไปมีประสบการณ?”

ชีวิตที่ดีกวามาจากคําถามที่ดีกวา มีเร่ืองประหลาดมากที่คําวา “ทําไม” ใชกันมากสําหรับนักวิทยาศาสตรและไมไดมีปญหาอะไร

เลย กลับกลายเปนคําเกือบตองหามก็วาไดเมื่อนํามาใชกับชีวิตของเรา สาเหตุหนึ่งก็คือ มันทําใหเรา

เสียเวลามากไปกับการหาเหตุผลและมักมุงเนนกับอดีต เชนเมื่อเราถามวา”ทําไมฉันไมเอาไหนเลย

ทําไมฉันไมไดเร่ืองเลย?” แทนที่คําถามนี้จะชวยเราในการหาเหตุผลเพื่อแกไข แตคนสวนมากใชถาม

เพื่อจะหดหูและเซ็ง!!!!! (ผมใชเครื่องหมายตกใจถึงหาตัวเพื่อบอกวามันแยจริง ๆ ) คนจํานวนมากเมื่อ

ถามตนเองวา “ทําไม” มักกลับเขาสูอดีตและเซ็งเมื่อคิดถึงมัน มันจึงเปนการกรอเทปแลวฉายซ้ํา

จากนั้นก็รูสึกเจ็บปวดมาก ตกลงเลยไมไดแกไขอะไรเลยนอกจากแยเขาไปอีก ที่อาการหนักมากจะเริ่ม

สมเพชตนเอง ชิงชังตนเอง และอาจตามมาดวยอาการซึมเศรา สวนที่เลวรายที่สุดคือการฆาตัวตาย มี

ผูคนนอยมากที่ถามตนเองวา “ทําไมฉันหวยแตก โงและลมเหลวขนาดนี้วะ?” แลวสามารถมุงเนนไปที่

การหาหนทางแกไขได เพราะวาลักษณะของคําถามมันชวนใหคิดหาสาเหตุซึ่งไมพนตองไปร้ือฟนอดีต

วาไดทําอะไรลงไปบางที่มันแย ๆ มันจึงกลายเปนกับดักที่คนคอนโลกตกหลุมพรางของมันและติดแหง

กอยูกับมันโดยใชเวลากวา 90% จมอยูกับตัวปญหา หนทางที่จะชวยไดคือการใชพลังของคําถามที่

ดีกวาโดยเปลี่ยนคําวา “ทําไม” ไปเปน “อะไร” ยกตัวอยางเชน “ฉันอาจสามารถทําอะไรไดบางในวันนี้

เพื่อพรุงนี้ที่ดีกวา?” คําถามนี้นอกจากไมสรางความรูสึกเจ็บปวดแลว มันยังมุงเนนไปที่อนาคต คนที่

71

Page 72: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

เกงและเอาตัวรอดไดเสมอนั้นตองยิงคําถามดวยคําวา “ทําอะไร และทําอยางไร” พวกเขาจะไมใชคํา

วา “ทําไม” มันเปนคําที่เหมือนดีแตเลวในแทบทุกกรณี (มีขอยกเวนอยูบางที่จะอธิบายตอไป)

สมมติวาเราถูกกลั่นแกลงจากเพื่อนคนหนึ่ง ถาเราถามวา “ทําไมเขาทําอยางนี้กับฉันไดลงคอ

เขาไมรูหรือวาฉันจะเสียใจขนาดไหน?” คําถามเหลานี้ทําใหเราเจ็บปวด เซ็ง โกรธ นอยใจ กลุมใจ และ

ติดอยูในอารมณเชิงลบหลาย ๆ อยาง มันทําใหความคิดซ้ําคิดซากถึงสิ่งที่เขาไดทําลงไป มันทําให

สับสัยวาทําไมและเพราะอะไร และที่จริงคําตอบที่ไดก็ไมมีทางรูหรอกวาถูกหรือเปลา ก็เลนคิดอยูคน

เดียวฝายเดียว และมุงเนนกับอดีตที่ผานไปแลว มันเสียเวลา เสียสมอง แถมไมรูจริง ฉะนั้น คําถาม

“ทําไม” จึงไมไดชวยเรา ฉะนั้น ไมวามันจะเพราะอะไรก็ตาม มันก็ไดเกิดขึ้นมาแลว จึงไมตองไปสนใจ

มันมาก แตใหถามใหมวา “ฉันตัดสินใจวาจะทําอะไรและอยางไรตอไป?” คราวนี้มุงเนนไปที่เดี๋ยวนี้

และอนาคต คราวนี้ไมยอมใหเวลากับความหดหูและความเสียใจ คําถามอยางนี้สิที่ใหพลัง

สมมติวาเราทําธุรกิจอยางหนึ่งขาดทุน เซ็งไหม…. เซ็งสิ แตจะเปนไงถาเราถามวา “ทําไมเรื่อง

แบบนี้ตองเกิดขึ้นกับฉันดวยนะ?” ถามจริง…. ถามแบบนี้ชวยอะไรเราหรอ!!! นั่นยิ่งทําใหเสียเวลากับ

อดีตมากขึ้น เจ็บปวดซ้ําซาก โมโหตนเอง และหงุดหงิดอยางมาก จงเปลี่ยนไปถามวา “ฉันตัดสินใจวา

จะทําอะไรตอไป ฉันยังอาจสามารถทําอะไรไดบางใหสถานการณมันดีข้ึน ฉันยังเหลืออะไรอีก มีอะไรดี

ๆ ที่อาจแฝงตัวมากับปญหานี้บางไหม ฉันไดเรียนรูอะไรบาง ฉันจะสูตอไปอยางไรดี อะไรคือการแกไข

ที่ทําไดเดี๋ยวนี้แมเล็กนอยก็ตาม” ขอใหสังเกตวามีแตคําวา “อะไร” เต็มไปหมด และนั่นแหละคือพลัง

ของคําถามที่ดีกวา มันจะเหมือนกับแสงเลเซอรที่ตัดปญหาใหขาดสะบั้นลงไปได ไมตองสงสัยเลยวา

คุณภาพชีวิตที่ดีกวามาจากการตั้งคําถามที่ดีกวา “ทําไม” ทิ้งลงถังขยะไปซะ ใน 30 วันจากนี้ไป ขอให

ฝกตั้งคําถามที่มีคําวา “อะไร” ใหมาก ๆ ยกตัวอยางเชน “ฉันตองการอะไร?” “ฉันไดตัดสินใจวา

อะไร?”, “อะไรคือข้ันตอนตอไป อะไรคือกาวถัดไป?”, ฉันยังมีอะไรอีก?”, “ฉันจะทําอะไรตอไป?”,

“ทักษะอะไรที่หากฉันทําไดดี หรือหากฉันฝกฝนมัน จะมีผลดีตอฉันมาก ๆ ?”, “ฉันตองมุงเนนอะไรถึง

จะไดในสิ่งที่ฉันตองการ เทาที่ผานมา ฉันไดมุงเนนสิ่งที่ฉันตองการมากพอหรือไม?”, แลวพวกเราจะ

ประหลาดใจกับความเฉลียวฉลาดของเราอยางนึกไมถึง

คุณผูอานที่รัก คําถามคือวิธีคิดอยางหนึ่งของเรา หากเราจะเปลี่ยนความคิด หรือขยายกรอบ

ของความคิดใหกวางไกล วิธีหนึ่งที่เราทําไดคือเปลี่ยนคําถามของเราเสีย การทําเชนนั้นก็เทากับเราได

เปลี่ยนวิธีคิด เมื่อเราเปลี่ยนความคิดไดเมื่อไหร เราจะเปลี่ยนความเชื่อของเราตามไปดวย ณ บัดนี้ มัน

ถึงเวลาแลวที่เราจะไดรูเสียทีวาความเชื่อคืออะไรกันแน มันเปนความคิดอยางหนึ่งหรือเปลา? มันมา

จากไหน? มันเกิดขึ้นไดอยางไร? และเราจะใชมันอยางไรถึงจะฉลาดที่สุด?

72

Page 73: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 6 ความเชื่อและกฏแหงความเชื่อ

ไมวาอะไรก็ตามที่เราคิดแบบนั้นบอย ๆ หรือวาเราถูกทําใหคิดเชนนั้นบอย ๆ ในที่สุด เราก็เร่ิม

เชื่อ และเชื่อมากขึ้นเรื่อย ๆ วาความคิดนั้นเปนความจริงโดยไมเคลือบแคลงใจหรือสงสัยอีกตอไป ผม

เคยบอกไววา “พวกเราเปนหรือประดุจวาเปนอยางที่เราคิด” แตส่ิงที่เราคิดบอย ๆ จะกลายเปนความ

เชื่อ ฉะนั้นในอีกนัยหนึ่ง เรายอมกลาวไดวา “เราเปนอยางที่เราเชื่อหรือดั่งกับวาเราไดกลายไปเปนคน

ในแบบที่เราเชื่อ” ดวยสิ่งที่ผมเกริ่นนํามานี้ เราคงพอไดไอเดียวา…

ความเชื่อก็คือ ความรูสึกแนใจวาความคิดหรือบางสิ่งบางอยางที่คุณเชื่อเปนความจริง

ความเชื่อก็คือ ความรูสึกแนใจวาความคิดหรือส่ิงตาง ๆ มีความหมายวาอะไรในตัวมันเอง

ความเชื่อก็คือ ความรูสึกแนใจวาความคิดหรือบางสิ่งบางอยางมีความหมายเฉพาะและตอง

เปนไปตามที่คุณเชื่อ

จากนิยามนี้ ความเชื่อจึงคือความคิดที่เจือสภาวะจิตหรืออารมณที่รูสึกแนใจมาก ๆ วาอะไร

ตองเปนอยางไรในความคิดของเรา ดังนั้น ไมตองสงสัยเลยวาความเชื่อยอมมีอิทธิพลตอพวกเราและ

มนุษยทุกคนอยางมากมายมหาศาล และการที่เราเชื่ออะไรลงไปแลวก็ตาม เรามักเชื่อเชนนั้นไปนาน

มาก หรืออาจเชื่อไปช่ัวชีวิตก็เพราะวา เรามักไมไดตรวจสอบกันหรอกวาความเชื่อคืออะไร สวนใหญ

แลวเราไมรูดวยซ้ําไปวามันคืออะไรเรารูเพียงวา “ก็ฉันเชื่อก็แลวกัน” ดังนั้นพวกเราจึงเขาขาย

ประเภท…. เชื่อแลวเชื่อเลย จึงยิ่งไมตองสงสัยเขาไปใหญวาความเชื่อจะเปนปจจัยสําคัญขนาดไหนใน

การกําหนดวาเราจะมีชีวิตที่ดีหรือแยในชั่วชีวิตของเรา

กฏของความเชื่อกลาววา “ส่ิงใดก็ตามถาเราเชื่ออยางจริงจังสิ่งนั้นจะกลายเปนความจริงใน

ชีวิตของเรา” แตคนเราจู ๆ จะเชื่ออะไรก็ตามขึ้นมาไดอยางไร ทุกสิ่งตองมีสาเหตุหรือตนเหตุสิ อาจ

กลาวไดวา ความเชื่อเกิดจากการที่เราคิดหรือถูกทําใหคิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่บอยเพียงพอจนเรา

คลอยตามและเห็นดวย ระดับความเห็นนี้คอย ๆ สะสมตัวจนในที่สุดจนกลายเปนความเชื่อที่ฝงใจจน

ยากที่จะถายถอน เมื่อเราไดลวงรูถึงกระบวนการของมัน เรายอมเขาใจไดไมยากวา…. ทําไมการ

เปลี่ยนความคิดถึงสามารถเปลี่ยนความเชื่อได ก็เพราะวากอนที่มันจะกลายเปนความเชื่อนั้น ใน

เบื้องแรกมันเปนแคความคิดมากอนนั้นเอง เราไดรูมาแลววาเราเปลี่ยนความคิดไดโดยการปอนหรือ

ปลูกฝงขอมูลใหมเขาไปในสมองหรือความรูสึกนึกคิดของเรา ส่ิงเหลานี้ไมแตกตางกันเลยกับความเชื่อ

ดังนั้นเราไปตรวจตรากันเถอะวา มีอะไรบางเปนแหลงที่มาของความเชื่อจนกอรูปความเชื่อของเรา

ข้ึนมา

73

Page 74: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 7 แหลงที่มาของความเชื่อ

แหลงใดก็ตามที่สามารถปอนหรือปลูกขอมูลใด ๆ เขาไปในสมองของมนุษยได ส่ิงนั้นยอมถือ

วาเปนแหลงที่มาของความเชื่อได แหลงที่มาของความเชื่อจึงมีมาก แตเราจะพิจารณาแหลงใหญเพียง

5 แหลง ก็นาจะครอบคลุมไดเกือบทั่วถึงแลว พวกมันไดแก

1. สิ่งแวดลอม

เราเกิดที่ไหนละ อยูกับใคร พูดภาษาอะไร ศาสนาใด ระบบปกครองเปนอยางไร เรียนหนังสือ

หรือเปลา มีพอแมแบบไหน มีครูแบบไหน มีเพื่อนมากไหม มีเพื่อนแบบไหน เราเห็นตัวอยางที่

ดีมากหรือดีนอย ๆ บอย ๆ เรามักเจอคนแบบไหนในสังคมของเรา ส่ิงเหลานี้คืออิทธิพลแรก

สุดที่เราพบเจออยางหลีกเลี่ยงไมได เพียงแคแหลงแรกแหลงเดียวนี้ เราไดสรางความเชื่อหรือ

ถูกทําใหเชื่อไปมากมายแลว และตามปกติแลว เรามักตอตานไมไดอีกแลว สมมติวาตอนที่ผม

ยังเด็ก แลวพอของผมบอกวา “เกิดเปนคนตองสู…จําไวนะ” แลวทานก็ปอนขอมูลนี้ใสสมอง

ผมอยูเร่ือยดวยการเลาเรื่องสารพัดและตบทายวา “เกิดเปนคนตองสู… จําไวนะ” พวกเราเห็น

ไหมวาผมก็จะเร่ิมเชื่อในปรัชญานี้ ในทางตรงขาม เด็กบางคนถูกปลูกฝงความคิดที่วา “อยา

ไปมักใหญใฝสูงใหมันเกินตัวนะลูก” แตปญหาคือใครจะไปรูไดแนนอนวา…. แคไหนละที่มัน

เกินตัว เมื่อเด็กคนนั้นรับขอมูลนี้บอยครั้งจนชินและอยูตัว เขายอมมีกรอบความคิดและความ

เชื่อแนวนี้ติดตัวไป และมันจะทํางานหรือหนาที่ของมันอยางเต็มที่ที่จะขัดขวางไมใหเด็กคน

ดังกลาวนี้ประสบความสําเร็จเทาที่ควร เพราะวาการไดดีอาจเปนเรื่องที่เกินไดเสมอ หรือ

สมมติวาเราเห็นพอที่ไมแตะบุหร่ีเลย มันยอมตางกันกับเด็กอีกคนที่พอของเขาพนควันทกวัน

ในตอนที่ผมยังเด็ก ผมอยูในตางจังหงัวที่ไมเจริญเพราะวาไมมีอะไรที่ดึงดูดใหคนในทองถิ่น

อ่ืนมาทองเที่ยวเลย ผมไมไดตําหนิที่ ๆ ผมเกิดหรอก ผมเพียงจะบอกวา มันยอมตางกันกับ

พวกเด็กที่เห็นความศิวิไลซมากกวาผม แลวรูไหมวาเปนไง

ผมมักถูกหัวเราะเยาะจากญาติเมื่อนับตึกวามันสูงสักเทาไหรในยามที่ผมไดเขามา

เที่ยว กรุงเทพฯ สวนญาติที่กรุงเทพฯ ตั้งแตเกิดยอมไมสนใจหรอกวาตึกมันสูงสักเทาไหร

เพราะวาเขาเห็นจนชินแลว แตผมไมใช เพราะวาที่จังหวัดผมนั้น ตึกสามชั้นก็สูงกวาคาเฉลี่ย

แลวในสมัยนั้น ที่ผมพยายามจะบอกก็คือ ในชวงเวลา 20 ปแรกของชีวิตนั้น ส่ิงแวดลอม มี

อิทธิพลรุนแรงตอการปลูกฝงความเชื่อโดยเฉพาะพวกผูใหญที่ใกลชิดจะมีอิทธิพลสูงสุด

เพราะวาเรายังชวยเหลือตัวเองไมไดมากนักในชวงเวลาดังกลาว (ตอนที่ผมอายุ 20 ป ผมก็ยัง

74

Page 75: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

แบมือขอเงินพออยู ) เราจึงไดรับไปเต็ม ๆ กับความเชื่อที่อาจเปนไปไดในทุกรูปแบบที่

ส่ิงแวดลอมประเคนมาใหเราอยางเต็มที่นั่นเอง ลองมาดู อีกตัวอยางที่ ลําบากกวาผม

คิดถึงเด็กที่เกิดในแหลงเสื่อมโทรมเชนสลัมดูบาง ในสิ่งแวดลอมเชนนั้น เด็ก ๆ จะมีตนแบบ

อยางไหน มันเต็มไปดวยความขาดแคลนและสิ่งไมดีหลาย ๆ อยาง ส่ิงนี้ไดหลอหลอมความ

เชื่อที่จํากัดยิ่งกวาสิ่งแวดลอมอ่ืน ๆ แมผมจะไมไดหมายความวา คนที่เกิดในสลัมเอาดีไมได

ก็ตาม (คนที่เคยอยูในสลัมแลวตอมาเจริญกาวหนานั้นมีแน) แตเราปฏิเสธไมไดวามันยากขึ้น

ไปอีก และความเชื่อในขอจํากัดนั้นมีมาก ส่ิงเหลานี้ไดกลายเปนกําแพงหนาที่เจาะทะลุไดยาก

แตถึงกระนั้นก็ตาม ส่ิงแวดลอมไมใชแหลงเดียวที่มนุษยผลิตความเชื่อข้ึนมาจากมัน หาไม

แลว มนุษยคงไมสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรไดอีกแลว

2. แหลงความรู

ในขณะที่ส่ิงแวดลอมเปนแหลงที่มาของความเชื่อแหลงแรก แตพวกเราก็ไดรับการศึกษาไปใน

ขณะเดียวกัน และยิ่งเราโตขึ้นเทาไหรเราก็ยิ่งรูวามีมหาสมุทรแหงความรูที่รอใหเราเขาไป

สํารวจมากขึ้นเทานั้น บรรดาหนังสือทั้งหลายแหล เทปความรู หองสมุดตาง ๆ การเดินทาง

ทองเที่ยว การไดพบปะกับผูเชี่ยวชาญในหลาย ๆ วงการคนที่เราทํางานดวย งานสัมมนาดี ๆ

รายการทีวีที่ใหความบันเทิง และความรู หรือแมกระทั่งภาพยนตบางเรื่อง หรืออาจเปนอะไรก็

ได ส่ิงเหลานี้ลวนเติมขอมูลใหม ๆ ใหกับเราได ส่ิงเหลานี้ลวนทําใหเราเปลี่ยนความคิดหรือ

ขยายกรอบของความคิดและเปลี่ยนความเชื่อของเราไปไดเสมอ ผมเองนั้นเปลี่ยนความคิด

และความเชื่อไปอยางมหาศาลก็เพราะแหลงความรูนี่แหละ

3. เหตุการสําคัญที่เกิดขึ้น

ในชั่วชีวิตของพวกเรา มีหรือที่จะไมเคยเกิดเหตุการณ ที่สําคัญขึ้นเลย! ผมพนันไดเลยวามัน

ตองเคย และมันทําใหพวกเราเปลี่ยนความเชื่อแบบปจจุบันทันดวนได อันวาเหตุการสําคัญ

นั้นบางอยางก็เกิดเฉพาะกับตัวเรา บางอยางจะกระทบกับคนทั่วโลกก็ยังได เหตุการณที่

เกิดขึ้นอาจเปนไดทั้งแงดีหรือไมดีก็ได ลองพิจารณาเรื่องตอไปนี้ดูเพื่อเปนตัวอยาง กอนหนาที่

ผมจะเดินเขาตลาดหุน ผมมีความเชื่อวาผมมีฐานะเปนปกแผนและมั่นคงมาก แตเพียงหนึ่งป

ใหหลังที่ผมขาดทุนหมดตัว ผมเกิดความเชื่อใหมวาผมอาจอดตายได คิดดูเถอะแคปเดียวเทา

นั้นเองนะ หลังจากที่ผมไดอานหนังสือที่เปนแหลงความรูและใหกําลังใจไปหลายเลม ผมเร่ิม

เชื่อข้ึนมานิดหนอยวาบางทีอาจมีส่ิงดีแฝงตัวมาในความโชครายและความโงของตัวผมเองก็

75

Page 76: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

เปนได แหลงขอมูลใหมที่ผมอานนั้นไดเลาเรื่องของคนที่นาสมเพชเวทนายิ่งกวาผมเสียอีก แต

แลวกลับพลิกสถานการณข้ึนมาได แมวานั่นจะเหมือนการปลอบใจ แตในยามนั้น ผมก็ได

ขอคิดไมนอยวา “สู สิยังอาจมีโอกาสบาง ยอมแพคือการหมดโอกาสอยางสิ้นเชิง”

หลังจากที่ผมประสบความสําเร็จจากหนังสือชื่อ “โกะ อัจฉริยะเกมแหงพิภพ”แลว ผม

ไดพัฒนาความเชื่อใหมวา “การทําธุรกิจเปนหนทางอันประเสริฐในการแผวทางสูความมั่งคั่ง

รํ่ารวย และฉันมีโอกาสแลวที่จะรํ่ารวยยิ่งกวาอดีตเสียอีก” เห็นไดชัดวาผมเปลี่ยนความเชื่อ

หรือความรูสึกแนใจของผมไปมากทีเดียว คราวนี้ ไปพิจารณาเรื่ องใหญจ ริง ๆ กันบาง

เหตุการณ 11 กันยายน ที่ผูกอการรายยึดเครื่องบินพุงชนอาคารเวิรลเทรด เซ็นเตอร จนพัง

พินาศนั้น ไดเปลี่ยนความเชื่อเกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยไปส้ินเชิง ที่จริงนั้น ผลของมัน

กระทบตอความเชื่อและสิ่งอื่นอีกมากออกไปราวไมมีที่ส้ินสุด ถามจริง… ถาสมมติวามันไมได

เกิดขึ้น… พวกเราจินตนาการไดหรือวาสองตึกนั้นจะถลมลงมาดวยวิธีการอยางนั้นได หากเรา

จินตนาการไมได เด็กและผูใหญของที่นั้นก็ยอมจินตนาการไมไดเชนกัน ก็แลวมันเกิดขึ้นจริง ๆ

แลวนี่ พวกเราคิดวาพวกเขาจะเปลี่ยนความเชื่อไปขนาดไหน นับแตนี้ไป… อะไรที่จินตนาการ

ไมไดหรือไมเคยจินตนาการ…. ก็จะกลายเปนสิ่งที่ตองนําไปคิดและจินตนาการไว โปรดจําไว

วา กอนที่อะไรมันจะเกิดขึ้นไดโดยจงใจนั้น มนุษยตองจินตนาการใหไดเสียกอน หาไมแลวสิ่ง

นั้นก็จะเกิดขึ้นไมได ปญหาก็คือฝายไหนละที่จิตนาการไดเกงกวากัน แตถาจะพูดเพียงใน

ประเด็นของเราเทานั้น ผมขอสรุปวา เหตุการณสําคัญที่เกิดขึ้นกระทบหรือเปนแหลงที่สราง

ความเชื่อใหม ๆ ของพวกเราไดอยางแนนอน สมมติวาเราเดือดรอนและประสบกับภาวะ

วิกฤต หรือความทาทายที่โหดรายมาก และแลวก็มีใครบางคนยื่นมือเขามาชวยเราเหตุการณ

ที่เกิดขึ้นนี้จะมีผลตอความเชื่อของเรา เชนถาเราเคยเชื่อวา “มนุษยไรความปรานี” เราก็อาจ

เปลี่ยนเสียใหมวา “แคมนุษยบางคนเทานั้นที่ไรความปราณี แตที่มีน้ําใจเมตตาก็ยังมีอยูอีก

มาก” หรือถาเราเชื่ออยูแลววาผูคนมีน้ําใจ เราก็ยิ่งเชื่อมั่นเขาไปใหญวาความเชื่อของเรามัน

ถูกตองอยางแนนอน คราวนี้สมมติใหมวาเราพบแตคนใจดําซ้ําซากไมวาเราจะตกอยูใน

สภาวะไหนก็ตาม เหตุการณเหลานั้นยอมกลายเปนหลักฐานของเราใหเราเชื่อวา “ ผูคนใน

โลกนี้เปนคนเลวทั้งนั้นแหละ”

4. การมีประสบการณดวยตัวเอง

อะไรก็ตามที่เราไดลงมือทําดวยตนเองและสําเร็จลงไปหนึ่งครั้งแลว ส่ิงนั้นจะกลายเปนการ

อางอิงที่ดีไดเสมอ การไดทดลองสักครั้งจึงกลายเปนแหลงที่มาของความเชื่อใหม ๆ ได สมมติ

วาใครก็ตามไดไปเลนบันจี้จั้มปหนึ่งครั้งแลว เขายอมพูดไดวา “ฉันทํามันได และฉันไดทํามัน

76

Page 77: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

ลงไปแลวดวย” อะไรก็ตามที่เราเคยทําลงไปแลว โอกาสที่เราจะไดทําอีกครั้งยอมเปนไปได

มากทีเดียว ในที่สุดเราก็จะไมเคลือบแคลงใจอีกตอไป และเชื่อวาเราทําสิ่งนั้นได มันมีอะไร

อีกเยอะมากที่พวกเรานาจะลองดูเชน ไปกินขาวรานใหม ๆ ตัดผมทรงใหม ใสเสื้อผาสีใหม

และสไตลที่แปลกออกไป ไปดูหนังฟงเพลงแนวใหม ลองเลนกีฬาแบบใหม ออกไปวิ่ง ฝกทา

ดิ้นใหม ๆ (อันนี้ผมชอบมาก) เตนแอโรบิค (อันนี้ผมคล่ัง) หัดเลนเรือใบ (มันมาก…ขอบอก)

และอะไรก็ไดอีกมาก ยิ่งเรามีประสบการณ แปลกใหมมากเทาไหร การอางอิง กรอบความคิด

และความเชื่อของเราก็ยิ่งขยายตัวออกไปเทานั้น เราเขาไปใกลความไรขอจํากัดมากขึ้น เรา

เขาไปอยูในโลกแหงความเปนไปไดมากขึ้น นาเสียดายที่คนจํานวนมากเชื่อวาพวกเขาทําบาง

ส่ิงบางอยางไมไดทั้ง ๆ ที่ยังไมไดลองดู เห็นไดชัดวามันไมนาจะกอตัวกลายเปนความเชื่อที่ฝง

แนนได แตมันก็กอตัวจนฝงลึกไดเพราะวาพวกเขาไปสรางความเชื่อเชนนั้นในระดับที่ลึกมาก

ดวยการสรางภาพในใจวาพวกเขาทําไมไดซึ่งเปนหัวขอที่เราจะกลาวตอไป

5. การฝกซอมทําในใจ

ส่ิงที่นาแปลกใจก็คือ ทั้ง ๆ ที่เรายังไมมีประสบการณ หรือยังไมเคยทําบางสิ่งบางอยางมากอน

ก็ตาม แตเราสามารถสรางความรูสึกแนใจใหมากขึ้นหรือความเชื่อที่วา “เราสามารถทํามันได”

และวิธีการสรางความเชื่อใหม ๆ ข้ึนมา หรือแมกับการสรางความเชื่อเกาใหรุนแรงมากขึ้นก็

ตาม ทําไดงายดวยการฝกซอมทํามันในใจ ดั่งที่พวกเราไดศึกษาผานมาแลว การหลับตาและ

วาดภาพในใจวาเราไดเขาไปมีประสบการณบางอยางหรือไดลงมือทําอะไรก็ตามจะเสริมสราง

ความเชื่อมั่นและระดับความแนใจของเราใหมากขึ้นเรื่อย ๆ มันกอใหเกิดความรูสึกดีอยาง

ประหลาด ผมมักหลับตาและจินตนาการวากําลังพูดอยูตอหนาคนนับพัน นี่แหละที่เรียกวา

“ฝกซอมทําในใจ” ยิ่งฝกมากพลังแหงความเชื่อก็ยิ่งรุนแรงมาก ครั้งหนึ่งผมตองพูดตอหนา

ผูคนถึงสองพันหารอยคน ในครั้งนั้น ผมประหมาเล็กนอย และรูสึกวาผมยังทําไดไมดีนัก แลว

ผมเข็ดไหมในการพูดตอที่สาธารณะ ตรงกันขาม ผมบอกกับตนเองวา “คร้ังหนาฉันตองยอด

เยี่ยมกวานี้” และผมก็ฝกฝนดวยการซอมทําในใจใหมากขึ้น มันสะดวกเพราะวาการซอมทํา

ในใจจะทําสักกี่รอยกี่พันครั้งก็ได แตในชีวิตจริง เราจะไดข้ึนพูดตอหนาคนราวสองพันหารอย

คนกี่คร้ังกัน ! เห็นไดชัดวาถาทําไดไมดียอมหนาเสียดาย ดังนั้น การฝกซอมทําในใจ (หรือการ

สรางจินตภาพ หรือการสรางภาพในใจ) จึงเปนเครื่องมือที่ทรงพลังยิ่งราคาถูกมาก (คือตองใช

เวลานิดหนอยครั้งละราว 15 นาที) แตคุณคานั้นสุดแทหยั่งถึง ยิ่งไปกวานั้น มีหลักฐาน มีการ

ทําวิจัยและตัวอยางของคนมากมายที่ไดใชวิธีการนี้นําพาพวกเขาไปสูความเปนจริงแหงโลก

ภายนอก หากพวกเราไมเคยแมหลับตาวาดภาพในใจวาพวกเรา เกง มีความสุข แข็งแรง

77

Page 78: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

รํ่ารวย และเต็มเปยมไปดวยความสามารถละก็… เร่ิมตนเสียวันนี้เถิด แลวเราจะเชื่อวาเรา

คูควรแลวกับส่ิงดีงามเหลานั้น มันทําใหเราเชื่อวามันเปนไปไดในความรูสึกนึกคิดของเรา

78

Page 79: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 8 พวกเรามีความเชื่อแบบไหนกับตัวเราเอง

เพราะวาพวกเราไดพบเจอกับแหลงที่สรางความเชื่อใหเราหลาย ๆ แหลงมาแลวตั้งแตเด็กจน

โต พวกเราจึงไดเก็บกักความเชื่อจํานวนหนึ่งไวในสมองหรือความรูสึกนึกคิดของเราไมวาเราจะลวงรู

ถึงความเชื่อเหลานั้นของเราหรือไมก็ตาม แตเมื่อมาคิด ๆ ดูแลว… ในโลกนี้จะมีสักเทาไหรที่มีสติและ

ความรูขนาดสํารวจตรวจตราความเชื่อหลักหรือความเชื่อแกนของตนเองไดละ…อืมมมม … หายาก

พวกเราอาจเคยตั้งคําถามกันวา “เธอเชื่อวามีผีมั้ย?” ทวานั้นไมไดกระทบตอชีวิตของพวกเราเทาไหร

ผมจําไดวาในอดีตกวา 40 ป ผมไมเคยถามตนเองวา “แลวฉันมีความคิดหลักแบบไหนเกี่ยวกับตัวฉัน

ละ?” ก็แลวมีใครบางละที่เคย ตั้งคําถามดี ๆ ถึงขนาดนั้นกับชีวิตตนเอง… นอยคนนักที่ไดทํา

เชนนั้น… หายากดั่งงมเข็มในมหาสมุทรนั้นเชียวมันจึงไมตองสงสัยเลยวาทําไมผูคนกวา 90% ของ

ประชากรโลกถึงใชชีวิตกันไมเปนในแงของการขาดประสิทธิภาพและประสิทธิผลโปรดจําไววา….

คําถามใดที่เราไมเคยถามสมอง… มันจะไมมีวันเสนอหนามาตอบใหเรารูดวยตัวมันเองเปนอันขาด

พวกเราเลยไมคอยรูวาเรามีความเชื่อแบบไหนกับตนเองและเปนประโยชนหรือไม แตขาวดีอยูตรงที่

พวกเราเพิ่งไดศึกษาผานไปวาความเชื่อคืออะไร ดังนั้น มันยอมเพิ่มโอกาสที่เราจะตรวจสอบมันดวย

การถามวา “จริง ๆ แลวฉันมีความเชื่อแบบไหนกับตัวฉันเอง และความเชื่อเหลานั้นชวยฉัน เขาขางฉัน

หรือเปนประโยชนตอฉันหรือไม?” นี่คือคําถามที่ยิ่งใหญเหลือเกิน คําถามนี้สามารถเปลี่ยนชีวิตคนได

อยางแนนอน สมมติถาเราไมรูดวยซ้ําไปวา เรามีความเชื่อแบบไหนกับตัวเราเอง แลวเราจะเฉลียวใจ

ไดอยางไรวาความเชื่อนั้นมีประโยชนหรือไม หรือวาเปนโทษหรือไม ยกตัวอยางเชน มีคนเยอะมากที่มี

ความเชื่ออยางไมรูตัววา “ฉันทําไมได” คนพวกนี้มักพูดวา “ฉันทําไมได” เอาละ… ขอถามหนอยวา

การที่ใครก็ตามไปมีความคิดหรือไปเชื่อเชนนั้นจะฉลาดตรงไหน จะมีประโยชนอะไรสักนิดไหม จะทํา

ใหเขาเปนสุขไหม และเขาไดอะไรบางไหมจากการพูดเชนนั้น!!! และแลวพวกเขาก็ใชชีวิตโดยมีความ

เชื่อตัวนี้ทํางานอยู มันทําใหพวกเขาประสบความสําเร็จเพียงเล็กนอย พวกเขาไมรูวาจะแกปญหาได

อยางไร งุนงง สับสน และคิดสงสัยอยูเร่ือยวา “มันมีอะไรก็ไมรูที่ผิดอยู” ก็แหงอยูแลว… ก็ความเชื่อที่

หวยแตกนั่นไง ฉะนั้น หนทางเดียวที่จะเยียวยาไดคือการตระหนักรูใหไดเสียกอนวาเขามีความเชื่อที่หว

ยแตกนั่นอยูหรือเปลาและทางเดียวที่เปนไปไดคือการถามตนเองวา “ก็แลวฉันมีความเชือ่แบบไหนบาง

ละที่เกี่ยวกับตัวฉันเอง”

เอาละ นี่คือการบานที่พวกเราตองทํา ไมตองรีบที่จะทําใหเสร็จภายในวันเดียว มันเปนคําถาม

ที่ตองถามไปชั่วชีวิต และคนพบกับคําตอบใหม ๆ ไปเร่ือย ๆ

79

Page 80: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

ฉันมีความเชื่อกับตัวเองดังนี้ 1._______________________________________________________________

2. _______________________________________________________________

3. _______________________________________________________________

4. _______________________________________________________________

5. _______________________________________________________________

6. _______________________________________________________________

คุณผูอานที่รัก หลังจากที่เราพอจะรูแลววาเรามีความเชื่ออยางไรกับตัวเรา ขอใหตั้งคําถามกับ

ความเชื่อทุกขอของเราวามันเขาขายคุณสมบัติทั้งเจ็ดขอดังตอไปนี้หรือไม

1. มันทําใหฉันมีพลังไหม 2. มันเขาขางฉันไหม 3. มันชวยฉันไหม 4. มันเปนประโยชนกับฉันไหม 5. มันทําใหฉันรูสึกดีไหม 6. มันทําใหฉันมีความสุขไหม 7. จริง ๆ แลวมันดีตอฉันไหม

หากความเชื่ออันไหนของเรามันตรงขามกับคุณสมบัติทั้งเจ็ดขอ ก็ขอใหเราหลับตาเขาไปสราง

จินตภาพโดยถามคําถามตอไปนี้อีกสองขอ และสรางภาพในใจตามไปดวย

1. ความเชื่อที่ไมไดเร่ืองขอนี้ ในอดีตไดทําใหฉันเสียหายไปแลวมากนอยขนาด

ไหน? 2. หากฉันยังเชื่อมั่นตอไป ในอนาคตมันจะสรางความเสียหายใหกับฉันอีกไดมาก

ขนาดไหน?

คุณผูอานที่รัก เมื่อเราหลับตาเพื่อสรางภาพในใจกับคําถามสองขอหลังสมองและจิตใจของ

เราจะถูกฝกใหจดจําวา...อะไรบางคือความเจ็บปวด และสิ่งหนึ่งที่สมองชอบทําที่สุดก็คือ...หนีออกไป

จากความเจ็บปวด ฉะนั้น เราจะเริ่มเชื่อมโยงความรูสึกวา “ฉันไมชอบ” เขากับ “ความเชื่อที่หวยแตก”

พวกนั้น และอะไรที่เรารูสึกไมชอบ...เราจะไมทํามัน ดวยเหตุนี้เอง ผมถึงใหพวกเราฝกใหสมองมัน

80

Page 81: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

จดจําหรือลวงรูวา...ความเชื่อแบบไหนที่สรางความเจ็บปวด แลวสมองจะสั่งการใหเราหลีกเลี่ยงอะไรก็

ตามที่มันอาจนําไปสูความเจ็บปวดที่มันรูจักอยางอัตโนมัติ

หากยังไมสะใจ งั้นผมอธิบายใหมันครอบคลุมไปเลยเผ่ือวาพวกเราบางคนอาจชอบวิธีที่มัน

ตรงกันขาม หลังจากที่ไดสํารวจตรวจตราความเชื่อที่เกี่ยวกับตนเองแลววามีอะไรบาง ใหพิจารณาดูวา

พวกมันเขาขายคุณสมบัติเชิงลบดังตอไปนี้บางไหม

1. มันทําใหฉันออนแอและไรพลังไหม 2. มันทําฉันไมกลาทําอะไรไหม 3. มันทําใหฉันไมมั่นใจไหม 4. มันทําใหฉันเสียโอกาสอยูเรื่อยไหม 5. มันทําใหคนอื่นไมนิยมชมชอบตัวฉันไหม 6. มันไมเขาขางฉันและไมกอใหเกิดประโยชนอะไรใชไหม 7. มันทําใหฉันรูสึกแย เซ็งหดหู และไรสุขอยูเรื่อยใชไหม

อา ... ถามันเขาขายคุณลักษณะเชิงลบถึงเพียงนี้ละก็ เชื่อผมเถอะสหายเอย วานั่นคือเบรกมือ

ชีวิตที่ฉุดเราไวจากความสุขและความสําเร็จ ชีวิตจะแสนวิเศษ ไมไดตราบใดที่เราไมหยุดเชื่อในส่ิงทีก่ด

ทับเราไว จงหลับตาลงและเขาไปสรางจินตนาการวา ไอความเชื่อที่หวยแตกพวกนี้ ในอดีตไดทําใหฉัน

เสียหายไปแลวมากนอยขนาดไหน? และหากฉันยังเชื่อมันตอไป ในอนาคตมันจะสรางความเสียหาย

ใหกับฉันอีกไดมากขนาดไหน? แลวเราจะหนีพนจากอํานาจของมันได

การทําลายความเชื่อที่ไรพลังนั้นตองจัดการ แตนั่นยังไมพอการติดตั้งความเชื่อแบบใหมที่ให

พลังเขาไปแทนที่ความเชื่อเกาก็สําคัญไมยิ่งหยอนไปกวากัน บางที หนทางหนึ่งก็คือ การศึกษาดูวา...

ความเชื่อแบบไหนละที่มันดีสุดยอด เราไปศึกษากันเถอะ

81

Page 82: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 9 ความเชื่อที่ทรงพลัง 7 ประการ

มีใครบางที่ขบคิดวา ความเชื่อแกนแบบไหนละที่ใหพลัง และเปนประโยชนอยางแทจริงในการดําเนิน

ชีวิต ยากที่จะหาบุคคลอยางนั้นพบ ถึงกระนั้นก็ตาม นับวายังมีโชคอยูบางที่ผูเชี่ยวชาญดานความเชื่อ

ไดคนควาไวบาง ดังนั้น แทนที่พวกเราจะมานั่งขบคิดใหเมื่อยตุม เราอาจก็อปปหรือนําความเชื่อที่

เขาทาจํานวนหนึ่งมาประยุกตใชไดทันทีโดยไมตองรอใหเสียเวลาอีกตอไป ความเชื่อที่นาสนใจไดแก

1. ไมใชสิ่งที่เกิดขึ้นที่กําหนดชีวิตของเรา แตสิ่งที่เราจะทําตอไปตางหากที่กําหนด

อันวาจิตใจของคนเรานั้น มันไมไดเขมแข็งเทากันหรอก คนที่จิตใจเข็มแข็งอยูแลว นั้น ผมไม

ใครเปนหวงเทาไหร แตพวกเราคนไหนที่ออนแอสิ ผมตองเปนหวงแน เมื่อหลายสิ่งหลายอยาง

ที่ทาทายไดเกิดขึ้นกับเรา และดูเหมือนวาชีวิตถูกรุมเราดวยปญหาสารพัด พวกเราหลายคนก็

เร่ิมโทษมันทันที เชน “ถาไมเกิดเหตุการณฟองสบูแตกคราวนั้นชีวิตของฉันคงไมตกต่ําถึงเพียง

นี้” จากนั้นก็ปลอยใหส่ิงที่เกิดขึ้นไปแลวกลายเปนปจจัยใหญที่กําหนดชะตาชีวิตของเราไปเลย

ผมไมไดเถียงวาการที่ฟองสบูแตกไมไดมีสวนอยางมากที่ทําใหผูคนลําบากแตผมอยากใหสติ

วา….. การยอมรับอยางนั้นมันยิ่งใหญอะไรหรือ มันชวยอะไรเราหรือ มันเปนประโยชนอะไร

หรือ เปลาทั้งเพ ในทางตรงกันขาม ทั้ง ๆ ที่ขอเท็จจริงก็ยังคงปรากฏอยูวาเหตุการณเลวราย

นั้นไดบังเกิดขึ้นแลว แตการเชื่อวา “ไมใชส่ิงที่เกิดขึ้นที่กําหนดชีวิตของเรา แตส่ิงที่เราจะทํา

ตอไปตางหากที่กําหนด” ยอมใหกําลังใจกับเราอยางมหาศาล และชี้นําจิตใจวาตองมุงเนน

อะไรกันแนถึงจะดีกวากันมันเปนความเชื่อที่เกื้อหนุนเรา เปนประโยชนกับเรา เขาขางเรา

มุงเนนปจจุบันแทนที่จะเปนอดีต และไมมีอะไรเลยที่อาจถือไดวาเปนขอเสียเปรียบ ผมกลา

พูดวาถาใครก็ตามที่ประดับความเชื่อแบบนี้ไวในจิตใจของเขาอยางสมบูรณและตลอดไป

ชีวิตของเขานี้ดูศักดิ์สิทธิ์ และคนเชนนี้มีอะไรอีกหรือที่จะตองไปกังวล คนอยางนี้มีหรือจะฆา

ตัวตายหรือทําอะไรที่โง ๆ มันเปนความเชื่อที่มีอนุภาพเหลือคณานับพวกเราอาจถามวา “มี

คนอยางนี้ดวยหรือ?” พนันไดเลยวามีแน ยกตัวอยางเชน คุณดับเบิ้ลยู มิชเชล คือคนเชนนั้น

หมอนี่เคยขี่มอเตอรไซดคว่ําและถูกไฟคอกจนสูญเสียผิวหนังไปมาก หนาตาเสียโฉมยับเยิน

จนดูไมได เขากลับถามวา “ฉันยังเหลืออะไรอีกที่ยอดเยี่ยมฉันยังอาจสามารถทําอะไรไดอีก”

เขาไมไดมุงเนนกับเหตุการณเคราะหรายที่ไดเกิดขึ้นแลว เขาตัดสินใจเลนการเมืองและโลกก็

ยอมเปดทางใหกับคนหัวใจเพชรเชนเขา แตแลวราวกับวานั้นยังทดสอบไมเพียงพอหรือไร เขา

ประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตก แตก็ดวงแข็งเหลือเชื่อและคราวนี้เขาตองสูญเสียการเดินทางไป

82

Page 83: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

ตลอดกาลเพราะเขาเปนอัมพาตตั้งแตเอวลงไป ทั้ง ๆ ที่ตองนั่งในรถเข็นและไดชื่อวาเปนคน

พิการ เดาสิวาเขาตอวาพระเจาของเขาหรือไม เปลาเลยแตเขากลับถามตนเองอีกครั้งที่

สะทอนถึงความเชื่อแกนของเขาวา “ฉันยังเหลืออะไรอีกที่ยอดเยี่ยม ฉันยังอาจสามารถทํา

อะไรไดอีก” คําตอบที่ไดนั้นนาทึ่ง เขาบอกตนเองวา “ฉันยังมีสมองที่ชาญฉลาดที่สามารถรับ

ใชประชาชนได” เขาไดผลักดันทางการเมืองใหเกิดความสะดวกกับคนพิการนับลาน พวกเรา

เห็นไหมวา…ความเชื่อของเขาชวยเขาไดมากขนาดไหน ทําใหเขาไดรับการยกยองขนาดไหน

ทําใหชิวิตเขามีความหมายและทรงคุณคาขนาดไหน และไดกลายเปนฉบับของคนที่เขมแข็ง

อยางแทจริงใหชาวโลกไดกลาวขานถึง สวนคนมือเทาดี ๆ ที่สมองอัดแนนไปดวยความเชื่อที่

ทําใหตนเองออนแอนั้น การเอาตัวเองคนเดียวใหรอดก็นับวายากแลว อะไรละที่แตกตางกัน…

ไมพนความเชื่อ จะวาไปแลว ความฉลาดก็คือ การที่คนเราตองหลีกเลี่ยงความคิดหรือความ

เชื่อใด ๆ ที่ทําใหเราออนแอนั่นเอง

2. เพื่อใหสิ่งตาง ๆ เปลี่ยนแปลงเพื่อเรา เราตองเปลี่ยนแปลง

มีเร่ืองที่ตลกมากอยางหนึ่ง เรามักเกี่ยงกันวา “เธอทํากอนสิแลวฉันถึงจะทํา” ตอนที่ผมยังเด็ก

เวลาทะเลาะกับเพื่อน พวกเราตั้งทาวาจะชกกันใหได แลวรูไหมวาพวกเราพูดวาไง “แนจริงมึง

ตอยกอนสิวะ” ดูเหมือนวาเรื่องไมยอมจบเพียงแคนั้น เมื่อพวกเราเติบโตขึ้นเราไดเพาะนิสัยที่

พิลึกมาก เชนถาทะเลาะหรือมีการงอนใสกันหรือนอยใจตอกัน พูดอีกอยางก็คือเราอยากให

อีกฝายหนึ่งเปลี่ยนแปลงกอน แลวเราถึงจะยอมเปลี่ยนแปลงตาม ฟงดูเหมือนไมแปลกแตเรา

ไดพัฒนานิสัยนี้ตอไปจนวกกลับมาเลนงานตัวเราเอง เชน เรามักจะบนกันวาพอแม เพื่อน

แฟน คูครอง เพื่อนรวมงาน เจานาย บริษัท สังคม รัฐบาล หรือแมแตโลกใบนี้ไมเขาใจเรา “พอ

นาจะเปลี่ยนแปลงซะบาง แมนาจะเปลี่ยนแปลงซะบาง” เราบนอยางไมพอใจ และไมเพียง

เทานั้น ทุกอยางนั้นแหละที่รายยาวไปจนถึงโลกใบนี้ที่มันควรจะเปลี่ยนแปลงซะบาง แตส่ิง

เดียวที่ผิดมหันตก็คือ..เราไมไดรวมตัวเราเขาไปดวย เราเอาตัวเราเองไปทิ้งไวเสียที่ไหน ยิ่งไป

กวานั้น อยางไหนจะเร็วกวากันละระหวางเราตัดสินใจเปล่ียนแปลงที่ตัวเรา กับการรอคอยให

ส่ิงอื่น ๆ ทั้งหมดเปลี่ยนแปลง นี่มันบาชัด ๆ เราจะอาศัยอํานาจอะไรหรือที่จะไปมีสิทธิ์

เรียกรองใหคนอื่นและโลกใบนี้มันเปลี่ยนแปลง เรามีสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเรา

แตไมใชคนอื่น และนั่นแหละที่มันยิ่งใหญแลว นั่นแหละคือหนทางอันประเสริฐ ขาวดีที่ยิ่งนา

แปลกใจก็คือ พอตัวเราเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเราในทุก ๆ ดานเทานั้นแหละมันราวกับวาโลกทั้ง

ใบไดเปลี่ยนแปลงตามไปดวยในหลาย ๆ ประการนี่คือสุดยอดเคล็ดลับอยางแทจริง ฉะนั้นจง

ยุติการกระทืบเทาเสียทีเพราะวาโลกใบนี้ไมสนหรอกที่เราไปกระทืบมัน แตถาเราอยากใหสน

83

Page 84: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

ละก็….วิธีนี้สิใช… จงดําเนินชิวิตดวยความเชื่อวาเพื่อใหส่ิงตาง ๆ เปลี่ยนแปลงเพื่อเรา เรา

ตองเปลี่ยนแปลง

3. ไมมีความลมเหลว มีแตความสําเร็จในการสรางผลลัพธเสมอ

เมื่อเราทําอะไรก็ตาม เราตองไดผลบางอยางที่ตามมาเสมอ ถาเราพูดวา”อืมมมมมม..ดีจริง

แฮะไมวาฉันจะทําอะไรก็ตาม มันตองไดผลลัพธอะไรบางอยางตามมาเสมอ อืมมมมม…นี่

เปนกฏของการกระทํานั้นเอง และมันยังแปลไดอีกวา ถาฉันไมทําอะไรเลย มันก็จะไมมี

ผลลัพธอะไรเลยสามารถบังเกิดขึ้นได” การพูดและตระหนักรูเชนนี้จึงมุงเนนไปที่การกระทําวา

มันสําคญั และเตือนใจเราวา “เราประสบความสําเร็จเสมอในการผลิตผลลัพธบางอยางที่อาจ

ดีหรืออาจไมดี” มีลักษณะใหกําลังใจมากกวาทอใจเพราะอยางนอยมันก็ยังบอกวาเราประสบ

ความสําเร็จในการสรางผลลัพธอยางใดอยางหนึ่งขึ้นมาจนไดฉะนั้นถาสิ่งที่ไดมันไมดี ก็

เปลี่ยนการกระทําไปเรื่อย ๆ สิ เราก็จะประสบความสําเร็จในการผลิตผลลัพธใหม ๆ ไปเรื่อย ๆ

จนกวามันจะเปนสิ่งดีที่ตองการนั่นเอง นี่คือความเชื่อที่ดีที่สุดในแงที่มันมุงเนนใหทําตอไป

อยางไรก็ตาม ผูคนจํานวนมากเรียกผลลัพธที่ไมดีหรือที่ไมตองการวา “ความลมเหลว” และ

พวกเขากลัววา จะไดผลลัพธที่ไมดีจนหยุดหรือขยาดที่จะลงมือปฏิบัติ ในเมื่อไมไดทําอะไร

หรือเลย พวกเขาจึงไมไดผลลัพธอะไรเชนกัน นี่แหละคือรากเหงาของความลมเหลวที่แทจริง

สวนคนที่ขยันลงมือปฏิบัติไปเร่ือย ๆ นั้น หากจะเรียกผลลัพธที่ไมดีของพวกเขาวา “ความ

ลมเหลว” แตมันก็แคชั่วคราวเพราะวาพวกเขาไมไดลมเลิก พวกเขายังคงเพียรพยายามตอไป

มันจึงมีโอกาสเสมอที่จะผลิตผลลัพธที่ตองการอยางแทจริงจนไดในวันใดวันหนึ่ง เพื่อใหเห็น

ภาพ ขอใหพวกเราจินตนาการถึงเด็กนอยที่หัดตั้งไขดูหนอยเปนไร เด็กนอยคนนั้นประสบ

ความสําเร็จในการยืนบาง และประสบความสําเร็จในการลมเหลวลงไปบาง เด็กไมรูหรอกวา

การลมลงแปลวาอะไร เด็กรูแตวามันสนุกและกําลังเรียนรูอะไรบางอยาง แลวเกิดอะไรขึ้นละ

เด็ก ๆ ทุกคนประสบความสําเร็จอยางถาวรในการยืน เดิน และวิ่งไดทุกคน ดังนั้น ตั้งแตนี้เปน

ตนไปพวกเราอยาพูดวา “ฉันลมเหลว” อีกเลย มันดีตรงไหนหรือที่พูดอยางนั้นมันใหพลัง

ไหม?.... ฝนไปเถอะ หนทางเดียวที่เรากลายเปนคนที่มุงเนนทุมเทอยางตอเนื่องไดนัน้ เรา

ตองโยนความเชื่อขยะทิ้งไปซะ และสรางความเชื่อที่ใหพลังเขาไปแทนที่ และหนึ่งในความเชื่อ

ที่แสนวิเศษก็คือ ไมมีความลมเหลวมีแตความสําเร็จในการสรางผลลัพธเสมอ

84

Page 85: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

4. ความสําเร็จเกิดจากวินัยเล็ก ๆ ที่มุงเนนการปฏิบัติ

ความใฝฝนของเรา เราอยากมีนั่นมีนี่ เราอยากเปนนั่นเปนนี่และเราอยากไดทําอะไรบางอยาง

อะไรเลาคือสะพานที่จะเชื่อความปราถนาของเราไปสูความจริง คําตอบคือวินัยเล็ก ๆ ที่

มุงเนนการปฏิบัติ เนนการลงมือทํา ผูคนจํานวนมากไมนอยที่มีความใฝฝนแตตองกังขาอยู

เสมอวา “แลวทําไมฉันไมไดมันมาเสียทีละ?” ความใฝฝนนั้นดีแตไมพอหรอก แมแตการอาน

หนังสือนี้ตั้งรอยเที่ยวแลวก็ยังไมพอ เราตองมีความเชื่อที่ทรงพลังอีกขอหนึ่งเสริมเขาไป นัน่คอื

“ความสําเร็จเกิดจากวินัยเล็ก ๆ ที่มุงเนนปฏิบัติ” หลายครั้งที่พวกเราเขาใจไปวาความสําเร็จ

เปนเรื่องใหญโต แตไมใชเลย เปรียบเหมือนการกินขาวใหหมดหนึ่งจาน ไมมีใครหรอกที่กิน

ขาวทีละจาน แตเขากินกันทีละคํา ใชแลว…. ทีละคํา แลวก็อีกคําและอีกคํา มันเปนวินัยเลก็ ๆ

ที่ทําตอไป แลวความสําเร็จยอมบังเกิดขึ้นอยางหลีกเลี่ยงไมได นึกถึงตอนที่เราเรียนอนุบาลดู

สิ เราทอง ก. เอย ก. ไก ข. ไขอยูในเลา ไปจนถึง ฮ.นกฮูกตาโต หนังสือเลมนั้นบางมาก แตเรา

ทองมันเปนปทีเดียวนะ!!! ดวยวินัยเล็ก ๆ ที่คุณครูฝกเรา ในที่สุด ส่ิงนั้นไดกลายเปนรากฐานที่

ทําใหเราอานออกเขียนได พวกเราลวนแลวแตผานการมุงเนนปฏิบัติมาแลว พวกเราตางมวีนิยั

ดวยกันทุกคน นาเสียดายที่เราอาจไมเขาใจถึงกระบวนการที่ไดเรียนรูผานมา ในที่สุดเราก็ลืม

ไปหมดแลววาเราสรางความสําเร็จข้ึนมาไดอยางไร เมื่อเราโตเปนผูใหญ ไมนาเชื่อวาเราถงึกบั

สงสัยวาทําไมความสําเร็จมันถึงยากเย็นนัก ตราบใดที่เราไมมุงเนนการปฏิบัติจนมีวินัยกับ

เร่ืองใดก็ตาม ก็อยาหวังเลยวามันจะลอยมาหาเราเอง ฉะนั้นทักษะใด ๆ ก็ตาม ความชํานาญ

พิเศษใด ๆ ก็ตาม พวกมันทั้งหมดลวนเปนของเราไดถาเรามุงเนนการปฏิบัติอยางมีวินัย ไม

ตองทํามากแตทําบอยนั่นแหละคือหนทาง สมมติถาเรายอมศึกษาภาษาจีนวันละหนึ่งชั่วโมง

หนึ่งชั่วโมงตอวันนั้นไมมากก็จริง แตพลังมันอยูตรงคําวา “ทุกวัน” และนั่นแหละที่ผมเรียกมัน

วา “วินัยเล็ก ๆ” ดวยวินัยเล็ก ๆ …. ผมกลาเชื่อวาไมมีอะไรที่เราจะทําไมได คนจํานวนมากทํา

หนึ่งวันหยุด ทําสองวันเลิก ทําสามวันก็พูดวาไมเอาแลวโวย แลวยังมีหนามาพูดวา “ฉันคงไม

เกงเร่ืองแบบนี้ไดหรอก” ปดโธ…..ใครที่ไหนในโลกจะเกงไดภายในสามวัน” ผมจะบอกให

อยางหนึ่งนะ…. การเลนเปยโนใหไดดีจริง ๆ นั้น ตองฝกฝนดวยวินัยเล็ก ๆ ราวสิบปเปนอยาง

นอยปนี้ลูกชายคนโตของผมอายุ 14 ปพอดี ฝกเลนเปยโนมาตั้งแตอายุ 6 ขวบ นี่ก็แปดปแลว

สินะสําหรับวินัยเล็ก ๆ ที่เขาไดทํามาอยางตอเนื่องยาวนาน มันแควันละนิดเดียวแตทุกวัน

(ตองขอบคุณแมของเขาภรรยาของผมที่ดูแลเร่ืองวันละนิดเดียวไดอยางดีเยี่ยม) ดังนั้นถาเรา

ไดรูเบื้องหลังนี้ เราตองแปลกใจหรือที่เขาไดทักษะการเลนเปยโนมาในระดับหนึ่งแลว ใน

ความสําเร็จอ่ืน ๆ ก็เชนกัน ถามีการแลกเปลี่ยนที่จําเปนซึ่งก็คือการลงมือปฏิบัติอยางคงเสน

คงวาแลวละก็ ดวยวินัยเล็ก ๆ เชนนั้น ทุกสิ่งทุกอยางยอมเปนไปไดเสมอ เพื่อใหพวกเราได

85

Page 86: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

ตระหนักรูถึงความสําคัญของวินัยเล็ก ๆ ผมคิดวาผมตองอธิบายใหละเอียดเพื่อแนใจวา พวก

เราจะไมไดรับความเสียหายจากการขาดมัน การขาดวินัยนั้นคือตนตอที่ทํารายคนทั่วโลก

ไดมากที่สุด การไรวินัย คือมือหนึ่งในการทําลายและทํารายมนุษย ยกตัวอยางเชน เมื่อกิน

มากไปนิดหนึ่งในวันนี้ เร่ืองแคนี้กระจอกมาก แลวพวกเราคิดวาความอวนของคนมาจากไหน

ละ ก็แคกินมากไปนิดเดียวนั้นแหละ แตวาเชนนั้นทุกวัน เราตางรูวาเราเพิ่มน้ําหนัก 50

กิโลกรัมภายในหนึ่งวันไมไดหรอก ใครก็ตามที่พยายามทําเชนนั้นจะตองตายภายในหนึ่งวัน

ทุกคน แตถาเราเพิ่มมันภายใน 1 ป เรากลับไมตาย อะไร (ที่ไมดี) ลวนเปนไปไดเสมอเมื่อเรา

ไรวินัยเล็ก ๆ กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งทุกวัน เราไมแปลงฟนสักหนึ่งครั้งในคืนนี้ไมเปนไรหรอก แต

ถาเราไรวินัยในการแปลงตอไปอีกหนึ่งเดือนละก็…. ยังแนใจอีกหรือวาไมเปนไร! ไมเอานา….

เรารูนี่วานั่นหายนะแลวสําหรับปากและฟนของเรา แลวหายนะอื่น ๆ ละ โอ….ชางมากมาย

กายกองที่เกิดขึ้นเพราะไรวินัยเล็ก ๆ การผัดวันประกันพรุง นิสัยขี้เกียจสันหลังยาวการปลอย

ปะละเลยเชนเรื่องสุขภาพ หนาที่การงาน การใชจายเกินตัว และความสัมพันธครอบครัว ฯลฯ

ความเสียหายมากมายเกิดขึ้นเพราะวาไรวินัยตอการปฏิบัติใหพอเหมาะพอควร ความไรวินัย

นั้นรายกาจกวาความประมาทเสียอีก ความประมาทคือการพลั้งเผลอชั่วครั้งชั่วคราว อาจไม

ตั้งใจ แตการไรวินัยคือการประมาทแลวประมาทอีกที่ตอเนื่องยาวนาน กลาวโดยประชดแลว

การไรวินัยคือการมีวินัยในการไมยอมทําอะไรใหมันเหมาะสมและทําแตเร่ืองที่มันไมเหมาะสม

อยูเร่ือยนั่นเอง ที่จริงก็นาเห็นใจเหมือนกันที่คนเราสวนใหญไรวินัย เพราะคําวา “วินัย” โดยตัว

มันเองอาจทําใหพวกเรารูสึกไมดี เชนคิดไปวาเปนการบังคับหรือความอึดอัดนารําคาญ แต

คุณผูอานที่รัก ผมไมอยากใหเราเครียดเกินไปกับมัน โปรดคิดถึงมันในลักษณะที่เบา ๆ และ

คิดใหลึกซึ้งวามันมีประโยชนอยางยิ่ง และถาหากวาพวกเรามีกําลังมีปญหาในดานไหนหรือ

เร่ืองอะไรก็ตาม วิธีแกก็คือ เมื่อหนามยอกก็ตองเอาหนามบง ผมหมายความวาใหพวกเรา

คอย ๆ สรางวินัยเล็ก ๆ ใหกลับคืนมากับเร่ืองราวตาง ๆ แลวปญหาทุกประการจะคอย ๆ

คลี่คลายไดอยางแนนอน ถาตอนนี้เราอวนเพราะขาดวินัยในการกินแตกวาจะอวนขึ้นมาไดนั้น

ก็ใชเวลานาน เพราะฉะนั้น เราก็เพียงยอนกระบวนการของมัน ไมตองไปอดอาหารจนทรมาน

แทบตายหรอกแตใหกลับมามีวินัยเรื่องการกินทีละเล็กละนอย แตทําวินัยนีท้กุวนั แลวในระยะ

ยาวเราจะกลับมารูปรางดีไดเอง นาเสียดายที่คนสมัยนี้นิสัยเสียกันมาก มักคิดอยากไดอะไรที่

มันรวดเร็วเกินธรรมชาติ นอกจากไมแฟรแลวมันไมไดฉลาดอะไรเลย ขอใหกลับมาอยูกับ

หลักการกันดีกวา….ดวยการมีวินัยกับชีวิตของเรา หากปราศจากมันแลว ผมคงเขียนหนังสือ

เลมนี้ตั้งแตหนาแรกมาถึงตรงนี้ไมไดแน และโปรดระลึกไวเสมอวา ชีวิตจะยิ่งใหญ… เราตองมี

ความเชื่อที่ยิ่งใหญดวยและหนึ่งในความเชื่อที่แมแตจักรวาลก็ยังปฏิบัติตามก็คือ ความสําเร็จ

เกิดจากวินัยเล็ก ๆ ที่มุงเนนการปฏิบัติ

86

Page 87: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

5. ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉัน เกิดขึ้นมาอยางมีเหตุผล และพวกมันรับใชฉัน

หนึ่งในความเชื่อที่ชาญฉลาดและเปนประโยชนที่สุดประการหนึ่งคือการเชื่อวา “ทุกสิ่งที่เกิด

ข้ึนกับฉัน เกิดขึ้นมาอยางมีเหตุผลและพวกมันรับใชฉัน” คนโงมันเถียงวา “ความเชื่ออยางนั้น

เปนความจริงไดหรือ เปนความจริงหรือเปลา” แตนั้นคือคําถามที่ผิดเพราะวาเราไมไดมุงเนน

หรือสนใจวามันเปนความจริงหรือเปลา เมื่อเราคุยกันเรื่องความเชื่อ โปรดจําไวเสมอ… ย้ํา…

โปรดจําไวเสมอวา เราเนนแตวาความเชื่ออยางนั้นเปนประโยชนตอเราไหม เขาขางเราไหมให

พลังกับไหมมากกวาที่จะสนใจวามันเปนความจริงหรือ ในประเด็นนี้ ผมอยากพูดพาดพิงถึง

การพูดจาดี ๆ กับตนเองเชน “ฉันเกง ฉันดี ฉันยอดเยี่ยม” ประโยคเชียรตนเองอยางนี้ดีหรือ

เปลา? ผมอยากชี้วาเราไมไดสนใจสักเทาไหรหรอกวามันจริงไหมกับคําพูดประโยคนี้ แตเรา

สนใจมันในลักษณะที่มันอาจใหประโยชนกับเราหรือเปลามากกวา ดังนั้นมันจึงดีที่จะพูด

เชนนั้น ในทางตรงกันขาม เมื่อเราพูดวา “ฉันไมเอาไหนเลย” นี่ก็เชนกันที่เราไมไดสนใจหรอก

วามันเปนความจริงหรือเปลา แตเราสนใจวามันจะเปนโทษตอเราหรือเปลามากกวา ดวยเหตุ

นั้น…. มันจึงเสี่ยงที่เราจะพูดจาไมดีกับตัวเราเองเพราะวามันอาจทําใหเราเจ็บปวด เซ็ง หดหู

และไรสุขโดยไมตองคํานึงถึงวาสิ่งที่เราพูดจะเปนความจริงหรือไมก็ตาม ผมหวังวาพวกเราคง

ไดรับความกระจางในแงมุมนี้แลว คราวนี้ยอนกลับมาที่ความเชื่อขอที่ 5 ของเรา ขอดี

ของความเชื่อนี้คือมันจะชวยเราไดในทุกสภาวะเงื่อนไข ทุกสถานที่และทุกกาลเวลา ผมขอ

ยกตัวอยางในยามที่เราอกหัก แลวเขาจะคิดอยางไรกับตนเอง หลายคนพูดวา “ฉันจบแลว

ชีวิตฉันพังแลว ไมมีใครในโลกนี้ที่ฉันรักเลย ทําไมเร่ืองแบบนี้ตองเกิดขึ้นกับฉันดวยละ” ขอ

ประทานโทษ เร่ืองแบบนี้มันเกิดขึ้นกับคนทั่วโลกตางหากละ แลวคนทั่วโลกเปนไง…. สวน

ใหญก็รูสึกแยดวยกันทังนั้น แตถาเราไดประดับความเชื่อขอที่ 5 ไวในสมองของเรา เราจะไม

รูสึกแยสักเทาไหรหรอกนะ ลองอานดูใหมสิ… “ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉัน เกิดขึ้นมาอยางมีเหตุผล

และพวกมันรับใชฉัน” นอกจากวามีเหตุผลแลวมันยังรับใชเราอีกดวย เราอาจพูดวา “ออ กา

รอกหักของฉันนะมีเหตุผล ไมใชเร่ืองสวนตัวที่เกิดขึ้นเฉพาะกับฉันสักหนอย มันเกิดขึ้นไดกับ

คนทั้งโลก ส่ิงนี้ที่จริงมันรับใชฉันเพราะวามันมาใหความรูแกฉัน สอนฉัน และบางที คนที่ดี

ที่สุดสําหรับฉันอาจยังเดินทางมาไมถึงก็ได สวนคนนี้ก็แคคนที่ไมใชก็เทานั้นเอง” เห็นไหมวา

เราสามารถใชประโยชนจากความเชื่อขอนี้ได จะพูดไปแลว ผมเร่ิมเชื่อมาตั้งนานแลววา… ส่ิง

ที่ไมดีที่เกิดขึ้นกับผม เกิดอยางมีเหตุผล และพวกมันรับใชผมในแงที่ทําใหผมพลิกชีวิตที่ไร

แกนสารมาสูชีวิตที่เรียนรูอยางไมหยุดยั้ง สวนที่ตลกหนอยก็คือ ในยามใดที่ผมขับรถหลงทาง

หรือลงทางดวนผิดชองทาง เดาสิวาผมเซ็งและเครียดไหม ไมแมแตนิดเดียว ทั้ง ๆ ที่ผมกําลัง

87

Page 88: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

หลงทาง ผมมักพูดวา “การหลงทางที่เกิดขึ้นกับผมนี้ เกิดขึ้นอยางมีเหตุผลและมันรับใชผม

เพื่ออะไรสักอยางหนึ่งอยางแนนอน” จากนั้นก็ยิ้มและสนุกไปกับการผจญภัยนั้นหลายครั้งผม

ถึงกับไดคนพบเสนทางใหมที่ดียิ่งกวาเดิมดวยซ้ําไป ก็บอกแลวไงวา “ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวก

เรา เกิดขึ้นอยางมีเหตุผลและพวกมันรับใชพวกเรา”

6. ไมจําเปนตองรูทุกแงทุกมุมของเรื่องใดกอนที่จะสามารถใชมันได

หากวาเราตัดสินใจไมทําบางอยางเพียงเพราะวาเรารูสึกวายังเขาใจมันไมครบถวนแลวละก็

เราคงไมตองทําอะไรกันพอดี เปรียบเหมือนไฟฟาและกระแสไฟฟา คนทั่วโลกใชมันทั้ง ๆ ที่ไม

รูหรอกวามันคืออะไร ในทํานองเดียวกัน ถาเราปฏิบัติตอชีวิตและสิ่งตาง ๆ เชนเดียวกับที่เรา

ปฏิบัติตอไฟฟาแลวละก็ ชีวิตของเรายอมหลากหลาย มีสีสัน และตื่นเตนเราใจเปนอันมาก เรา

มักแกตัววา “ยังไมคอยรูเร่ืองนี้สักเทาไหร” แลวเราก็ไมทํามันซะเลย นี่คือกับดักที่ทําใหเรา

กาวหนาไดเชื่องชาดุจเตาคลาน อยาไปรอจนเราเกงที่สุดในโลกแลวคอยแสดงมันออกมา ชาง

ไรสาระอะไรขนาดนั้น เมื่อผมตองพูดกับฝร่ัง ก็แคพูดออกไปเลย นั่นแหละเยี่ยมแลว ขืนไปคิด

วา “ไมเอาดีกวา รอเกงกวานี้กอนแลวคอยทํา” นั่นยิ่งหมดโอกาสเขาไปใหญ บางทีตัวอยางที่

เลิศที่สุดในเรื่องนี้คือการไปเรียนหัดขับรถ ก็แหงอยูแลววายังขับรถไมเปนถึงตองไปเรียน แลว

เปนไงละ…ครูฝกใหเราลองขับทั้ง ๆ ที่เราแทบทําอะไรไมเปนเลย แตนั้นแหละคือการเรียนรู

“ทําไปเลย” คือวิธีเรียนรูที่ใชไดดีกับเร่ืองจํานวนมาก ตัวอยางตอไปคือเร่ืองการฝกใช

คอมพิวเตอร เพื่อนของผมคนหนึ่งนอกจากจะไมซื้อตําราแลว พี่แกยังเกงแบบปศาจเลยก็วา

ได นี่มันเปนไปไดยังไงกัน! เขาอธิบายวา “งายจะตาย ก็ลองคลิกดูไปเร่ือย ๆ วามันจะเกิด

อะไรขึ้น แลวก็รูเอง” แตคนสวนใหญเปนไงรูไหม ปุมและแถบเครื่องมือจํานวนมาก…. ไมเคย

แตะตองมันเลยแมเพียงแคการคลิกเทานั้นก็ยังไมยอมทํา เจาเพื่อนคนนี้ของผมคือหนึ่งในคน

ที่เชื่อจริง ๆ วา ไมจําเปนตองรูทุกแงทุกมุมของเรื่องใดกอนที่จะสามารถใชมันได ครั้งหนึ่งเขา

ถึงกับถอดเปยโนแทบทั้งหลังกองไวกับพื้นเพื่อทําความสะอาดภายในใหกับมัน ผมถามวาทํา

ไดไง เขาตอบวา “ก็แคแกะมันออก ใชแปรงปดสักหนอย หยอดน้ํามัน แลวก็ประกอบกลับเขา

ไป มันก็แคนั้นเอง” คนอยางเขาคือคนที่ไรขีดจํากัด เขาไมรอความสมบูรณแบบ แตเขาทํามัน

ไมวาจะรูมากหรือนอยก็ตาม ยิ่งเราเชื่อแบบนี้ไดมากเทาไหร เราจะยิ่งพบวาเราเกงและเปยม

ไปดวยความสามารถมากขึ้นเทานั้น ฉะนั้น คร้ังตอไปที่เราจะทําอะไรก็ตาม อยาไปรอจนกวา

เราจะรูแจง ไมมีหรอกเรื่องแบบนั้น ขอใหเราทําไปเลยแมไดแคที่เรารูก็ตาม แตนั้นแหละนา

ภูมิใจแลว คนเกงที่เราบอกวาโคตรเกงนั้น ลวนเริ่มมาจากกาวแรกทั้งนั้น… ซึ่งก็คือไมรูอะไร

เลยหรือถารูก็นอยมาก แตแลวคนอยางนี้แหละที่กลายเปนผูเชี่ยวชาญในดานตาง ๆ มากมาย

88

Page 89: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

เมื่อกอนนั้นผมไมเคยเขียนหนังสือแตตอนนี้ผมกลายเปนนักเขียนหนังสือและนักพูดปลุกใจที่

ทรงพลังมาก ในตอนแรก ๆ นั้น ผมตองไปฝกการเขียนไหม…. เปลาเลย แตผมก็ทํามันทันที

ผมเขียนในสิ่งที่ผมคิดและรูสึก ผมเขียนอยางที่พวกเราอานอยู ผมไมไดรอใหตัวผมกลายเปน

ผูเชี่ยวชาญในดานภาษาศาสตรเสียกอนหรอก ดังนั้น ถาพวกเรามีความใฝฝนอะไรก็ตาม

โปรดยืนขึ้น ยืนขึ้นเพื่อชีวิตของเราเอง และลงมือทํามันใหเปนรูปธรรมเดี๋ยวนี้โดยไมตองรอให

เรารูแจงเสียกอน เอาเทาที่รูก็เหลือกินแลว แลวทุกอยางจะดําเนินตอไปในครรลองของมันเอง

7. คนคือแหลงทรัพยากรที่ยิ่งใหญและสําคัญที่สุด

บางทีนี่อาจเปนความเชื่อที่เราไมเคยรูมากอนเลย แตวามันชางยิ่งใหญเหลือเกิน มันทาํให

ผมมีอนุสติวา อยาไดลืมมุงเนนไปที่ผูคนเปนอันขาด และเพื่อใหพวกเราเห็นความสําคัญของ

ผูคนเสียแตเนิ่น ๆ ขอใหผมเตือนสติพวกเราสักหนอย ในยามที่เราเกิดมานั้น มีใครบางคนได

พยายามเลี้ยงดูเรา และในยามที่เราจากไป มีใครบางคนไดฝงศพใหเรา และโลกนี้วางเปลาถา

ไรผูคน (โปรดอยาบอกวายังมีส่ิงอื่นที่เหลืออยูอีกมาก เพราะเราจะเอาอะไรไปรับรูละเมื่อไร

ผูคนอยางสิ้นเชิง) ฉะนั้น ถาเราพกความเชื่อนี้ไวในใจ เราจะไมลืมมองในแงมุมที่พิเศษนี้ ผม

พูดวา “คนคือทรัพยากรที่ยิ่งใหญและสําคัญ” พวกเราหลายคนอาจสงสัยวา แลวน้ํามันละ

เงินละ ความรูละ เทคโนลียีละ ออใช… ที่พวกมันเปนทรัพยากรที่สําคัญมาก แตก็ตราบเทาที่

ยังมีคนอาศัยอยูในโลกนี้เทานั้นนะ ถาไมมีคน น้ํามันและทุกสิ่งจะคืออะไรละนอกจากสิ่งที่ไร

ความหมายโดยสิ้นเชิง ไอของพวกนั้นนะมันเปนสิ่งธรรมชาติ แตคนสิ… ถามันหวยแตก

มาก…ครอบครัว สังคม เมือง ประเทศ หรือแมโลกทั้งใบจะพลอยหวยแตกไปดวย ฉะนั้นพวก

เราตองหันมาสนใจคนในประเทศของเราใหมาก ๆ ๆ ๆ ๆ ในดานอื่นก็ทําไปแตดานของผูคน

โดยเฉพาะเด็กที่เปนอนาคตของชาติยิ่งตองสนใจมากที่สุดและบางทีการเริ่มตนที่ดีก็คือ

พัฒนาที่ตัวเราเองกอน จากนั้นก็ขยายออกไปสูโลกกวาง แมในหลักการคาก็เชนกัน การ

มุงเนนที่ตัวสินคาและบริการที่มุงรับใชมหาชนยอมนําความมั่งคั่งไรขีดจํากัดมาให ถาคุณจะ

รองเพลง จงคิดวาคุณไดรับใชคนตั้งประเทศหนึ่ง เมื่อผมผลิตหนังสือ ผมคิดวา “ฉันขอมอบ

อาหารสมองเพื่อรับใชคนในประเทศของฉัน” นี่คือสิ่งเดียวกับที่เราพูดวา “มองที่ภาพใหญ”

ฝร่ังนั้นมีปรัชญาที่นาชมเชยประการหนึ่ง กลาวคือ “ใหปลาหนึ่งตัวกับผูคนคุณเลี้ยงดูเขาได

หนึ่งวัน สอนเขาถึงวิธีตกปลา คุณเลี้ยงดูเขาไปชั่วชีวิต” สวนคุณซิก ซิกลาร ไดเปดเผยปรัชญา

ที่ลึกซึ้งมากวา “ทานสามารถไดทุกสิ่งที่ทานปราถนา หากทานไดชวยผูคนในจํานวนที่มากพอ

ใหพวกเขาไดในสิ่งที่ตองการ” ส่ิงเหลานี้ลวนชี้ชัดถึงความเชื่อที่วา “คนคือแหลงทรัพยากรที่

ยิ่งใหญและสําคัญสุด” ถึงตรงนี้พวกเราคิดสนใจคนอื่นบางหรือยังครับ

89

Page 90: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 10 การทําลายความเชื่อ

เราไดรูกันมาแลววาความเชื่อคือความคิดหรืออะไรก็ไดที่เรารูสึกแนใจโดยไมเครือบแครงสงสัยวา

ส่ิงที่เราเชื่อนั้นเปนความจริง ความเชื่อจึงไมจําเปนสัจธรรม สมัยกอน คนเราเชื่อวาโลกแบนโลกแบน

จึงไมใชสัจธรรมเพราะอันที่จริงนั้นโลกมันกลม แตผูคนในสมัยนั้นตางก็รูสึกแนใจวาโลกแบนเปนความ

จริง พวกเราจึงตองตระหนักไวเสมอวา ความเชื่อจะเปนสัจธรรมหรือไมเปนสัจธรรมก็ไดเพราะวามัน

เปนคนละเรื่องกัน ประเด็นอยูตรงที่ความรูสึกแนใจ ที่คนในโลกนี้มักทะเลาะกันก็เพราะรูสึกแนใจในสิ่ง

ที่ตางกัน ตอนที่ผมเปนเด็ก ผมถียงกับเพื่อนวา “พระพุทธเจาเกงกวาพระเยซู” สวนเพื่อนผมที่นับถือ

พระเจายืนยันวา “พระเยซุเกงกวาพระพุทธเจา” เห็นไดชัดวาถูกทั้งคูเพราะวาใครลงเชือ่อะไรแลวกต็าม

เขาก็จะสึกแนใจวามันเปนความจริงตามที่เชื่ออยางแนนอน ฉะนั้น พวกเราพึงหลีกเลี่ยงการถกเถียง

เรื่องความเชื่อซะจะดีกวา เมื่อเราไดรูแลววาความเชื่อคืออะไร เราไดรูแลววาแหลงที่มาของความเชื่อมี

อะไรบาง และเราไดเรียนรูความเชื่อที่ฉลาด ๆ ไปอีกถึง 7 ประการ อันดับตอไปเราจะถามคําถามที่

สําคัญมากขอหนึ่ง… เราสามารถทําลายความเชื่อหรือเลิกเชื่อไดหรือไมและอยางไร

คําตอบคือเราสามารถทําลายความเชื่อได ในเมื่อความรูสึกแนใจทําใหเราเชื่อและสรางความเชื่อ

ตาง ๆ นานาขึ้นมาได เรายอมสามารถทําลายพวกมันไดดวยการทําใหตัวเราเองรูสึกไมแนใจกับความ

เชื่อตาง ๆ นานาเหลานั้นนั่นเอง จริงอยูวาเราตองเก็บความเชื่อที่มันดีอยูแลวเอาไว แตสําหรับความ

เชื่อชนิดที่ใชไมไดที่ทําใหเราออนแอ ไรพลัง และไมเปนประโยชนนั้น เราจะเชื่อตอไปทําไมกัน!!! และที่

ไมยอมเลิกเชื่อนั้นเปนเพราะวา…คนจํานวนมากทั่วโลกไมรูวาจะเลิกเชื่อไดอยางไร ดังนั้น การรูวาจะ

ทําลายความเชื่อไดอยางไรยอมเปนความรูความเขาใจที่สําคัญ ตอไปนี้คือสามขั้นตอนในการทําลาย

ความเชื่อ

1. ต้ังคําถามกับมัน

จงตั้งคําถามกับความเชื่อยอดแยใด ๆ ก็ตามดวยการถามวา “จริงหรือที่ฉัน” นี่คือการ

ส่ันคลอนมันวิเศษมาก หากคุณรูสึกแนใจวาคุณดิ้นไมได จงถามวา “จริงหรือเปลาที่ฉันดิ้น

ไมได” ถาคุณรูสึกแนใจวาคุณเกงภาษาอังกฤษไมได จงถามตัวเองบอย ๆ วา “จริงหรือที่ฉัน

เกงภาษาอังกฤษไมได และไมวาคุณจะรูสึกแนใจวาทําอะไรไมไดก็ตาม จงซักเขาไป ถามจี้เขา

ไปวา “จริงหรือที่ฉันทํามันไมได” ยิ่งไปกวานั้น เราสามารถใชคําถามนี้ส่ันคลอนหรือตรวจสอบ

ความเชื่อไดทุกประเภทโดยไมมีขอยกเวน มันจะทําใหเราไดคนพบความจริงอีกมากทีเดียว

เอาละ ตอไปนี้เปนตัวอยางเพิ่มเติม

90

Page 91: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

จริงหรือที่ฉันไมสามารถหาเงินไดมากกวานี้

จริงหรือที่ฉันมีความสุขยิ่งกวานี้อีกไมได

จริงหรือที่ฉันไมเปนที่รักของใคร ๆ

จริงหรือที่ตัวฉันเพียงคนเดียวจะไปทําอะไรได

จริงหรือที่ฉันไมมีความสามารถอะไรสักอยางเดียว

จริงหรือที่ฉันไมวางแมแตจะออกกําลังกายแควันละครึ่งชั่วโมง

จริงหรือที่การทําตัวใหมีความสุขและประสบความสําเร็จเปนเรื่องยาก

2. หาหลักฐานเพื่อสั่นคลอนมัน

เมื่อผมพูดถึงคําวา “หลักฐาน” มันอาจเปนอะไรก็ได เชน คน สัตว ส่ิงของ หรือเหตุการณ

ตาง ๆ เมื่อเราจะทําลายความเชื่อทางหนึ่งที่ตรงเปะคือการหาหลักฐานมาสนับสนุนวาความ

เชื่อเดิมไมเปนความจริง นี่คือการสั่นคลอนความรูสึกแนใจที่ดีเอามาก ๆ สมมติวาผมเชื่อวา

ผมสามารถสูบบุหรี่ไดโดยไมมีวันเปนโรครายแรงอะไรสิ่งหนึ่งที่ผมควรทําคือทางไปเยี่ยมคน

ปวยดวยโรคปอดที่มีสาเหตุมาจากการสูบบุหร่ี แลวถามเขาวา “เมื่อกอนคุณเคยเชื่อบางไหม

วาคุณจะไมมีวันเปนโรคอะไรที่รายแรงจากการสูบบุหร่ี?! นั่นจะทําใหผมไดหลักฐานที่ชัดเจน

ที่หักลางความเชื่อเกาของผมได บางครั้งการหาหลักฐานอาจทําไดโดยตั้งคําถามวา “มีใคร

บางไหมที่อยูในสภาวะเงื่อนไขแบบเดียวกับฉัน แตกําลังประสบความสําเร็จมากขึ้นเรื่อย ๆ”

เมื่อตอนที่ผมเรียนมัธยมปลาย ผมเคยดิ้นกับเพื่อนทั้งชั้นในงานฉลองประจําหองของ

เรา ผมถูกหัวเราะเยาะจากเพื่อนชายหญิงหลายคนในทาทางที่นาขบขัน นั่นเปนแคหลักฐาน

คร้ังเดียวเทานั้นเองแตก็ทําใหผมสรุปอยางเบาปญญาวา “ฉันจะไมดิ้นอีกแลว ฉันดิ้นไมได

เร่ืองหรอก” เห็นไดชัดวามันแคขาดทักษะและชั่วโมงบินเทานั้น แตมันกลับทําใหผมเช่ือฝงหัว

และหลีกเลี่ยงการดิ้นตลอดมา กวา 25 ปจนกระทั่งผมไดเรียนรูวาคนเราสามารถทําลาย

ความเชื่อไดดวยการหาหรือสรางหลักฐานใหม ๆ ไวอางอิง ดังนั้น ผมจึงคิดวา “เอาละ ฉันจะ

ลองดูวาฉันสามารถเปลี่ยนความเชื่อไดไหม?” จากนั้นผมก็เร่ิมเปดเพลงมันส ๆ ที่บานและดิ้น

ไปตามใจชอบ ไมนานนัก ผมจึงประจักษวา “เฮ… มันก็ไมเลวนี่” และใครจะเชื่อละวา ผมข้ึน

นําคนนับพันเตนรํา หรือดิ้นในงานสัมนาของผมเอง คนจํานวนมากเอาทาทางของผมเปน

ตนแบบและพยายามทําตามดวยซ้ําไป ยิ่งไปกวานั้น หลายคนบอกวา “อาจารยวันชัยดิ้นได

นารักจัง” อืมมมม… ผมเปลี่ยนไปไดถึงขนาดนี้เชียวหรือ!!!

พวกเราหลายคนอาจหลงเชื่อจากหลักฐานหรือขออางอิงในอดีตวา “ฉันไมคอย

แข็งแรงเลย” ทางแกคือการสรางหลักฐานใหมข้ึนมาหักลางมัน ทุกวันนี้ ผมสรางหลักฐานทุก

91

Page 92: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

วันวาผมแข็งแรงยิ่งกวาวัวกระทิงโดยการเตนแอบิค ผมถือวา… การทําเรื่องพิศดารนั้นหาใช

ปาฏิหาริ์อันใดไม แตการมีชีวิตอยูดวยรางกายที่ฟตอยูเสมอนั่นแหละคือปาฏิหาริย คนสวน

ใหญทั่วโลกไมรูหรอกวาอะไรกันแนคือปาฏิหาริยที่มีประโยชนตอชีวิตของพวกเขาอยางแทจริง

ดังนั้น จงอยาเชื่ออีกตอไปวาเราสุขภาพไมดี จงลงมือทําอะไรที่ดี ๆ ตอสุขภาพเสียบาง แลว

ความเชื่อเกาจะตายไปเอง

คุณผูอานที่รัก หากคุณเชื่อวา “คนในโลกนี้มันไมดี” แนนอนวาคุณยอมหาหลักฐาน

จนพบไดเสมอวามีใครบางคนชางเลวจริง ๆ ในทางตรงกันขาม หากคุณเชื่อวา “คนในโลกนี้

ชางดีเสียจริง” ก็เชนกันที่คุณยอมหาตัวอยางของคนเชนนั้นพบจนได ฉะนั้น ความเชื่อใด ๆ

ของคุณก็ตาม หากมันไมดีตอคุณ มันไมเขาขางคุณ มันเปนสิ่งที่หยุดยั้งคุณอยูเสมอ และมัน

ไดสรางความเสียหายใหกับคุณานับครั้งไมถวนแลว คุณยอมเปลี่ยนมันไดเพราะวาคุณ

สามารถหาหลักฐานในดานที่สนับสนุนหรือคัดคานมันไดเสมอ จงอยาจมปลักอยูกับความเชื่อ

ที่ไรพลังอีกตอไป จงหาหลักฐานที่จะสั่นคลอนมันแลวมันจะตายไปเอง

92

Page 93: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 11 สรางความเชื่อใหมเขาไปแทนที่

เพื่อใหการทําลายความเชื่อเกาไดผลสมบูรณแบบ เราจําเปนตองติดตั้งความเชื่อใหมที่ทรงพลังเขาไป

แทนที่ โดยปกติแลว พวกมันก็คือ ส่ิงที่ตรงขามกับความเชื่อที่ไมเอาไหนนั่นเอง วิธีทํานั้นก็ไมยาก

กลาวคือ ใหเราเขียนความเชื่อที่ตองการลงในสมุด จากนั้น ใหพูด คิด จินตนาการ และประพฤติตัวราว

กับวาเราไดเชื่อเชนนั้นไปแลวจริง ๆ ขอย้ําวาการทําตัวราวกับวาเรารูสึกเชื่อในความเชื่อแบบใหมที่

ดีกวานั้นเปนเรื่องที่สําคัญมาก และมันเปนเคล็ดลับที่ใชไดกับทุกเรื่อง ผมจะเลาใหฟงสักเรื่องหนึ่งวา

ผมสรางความเชื่อใหมอยางไร ไมนานมานี้ผมไดไปสมัครเรียนภาษาจีนกลาง ในสามชั่วโมงแรกที่ตอง

ฝกออกเสียงพยัญชนะ สระ และการผสมกันของพยัญชนะกับสระ พวกเราทั้งหองพบวา… มันมีเสียง

หลายเสียงที่ไมมีในภาษาไทย นั่นทําใหหลาย ๆ คนเริ่มหวั่นไหววามันอาจยากกวาที่นึกไว ทนัใดนัน้ผม

ก็รูทันทีวาผมจําเปนตองเชื่อวาผมสามารถออกเสียงพวกนั้นได และผมพูดสามารถออกเสยีงพวกนัน้ได

และผมพูดออกไปราวกับวาผมเขาใจเสียงพวกนั้นดีแลว แทนที่จะจดจอไปที่ผมอาจออกเสียงผิด ผม

กลับออกเสียงราวกับวาผมคือผูเชี่ยวชาญ เหลาซือ (อาจารย) ถึงขนาดยกนิ้วใหบอกวาเยี่ยม นี่แหละ

คือส่ิงที่ผมทํา ผมเชื่อไปลวงหนาวาผมทําได และแสดงออกไปดั่งวาความเชื่อนั้นแกกลาและเปนความ

เชื่อของผมไปแลว ฉะนั้นเมื่อพวกเราจะเชื่ออะไรที่มันดักวา จงเชื่อไปเลยและทําตัวราวกับวาเปน

เชนนั้น แลวของจริงจะบังเกิดขึ้นในเร็ววัน แลวเราจะเชื่อในความเชื่อใหม และปฏิบัติตนที่สอดคลองไป

ตามความเชื่อใหมนั้น

93

Page 94: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 12 เมื่อเราเปลี่ยนความเชื่อเราไดเปลี่ยนการคาดหวังไปดวย

เมื่อไหรก็ตามที่เราไดเปลี่ยนความเชื่อใด ๆ ไปแลว เรายอมเปลี่ยนการคาดหวังของผลที่จะตามมาไป

ดวย เมื่อเราเชื่อวา “ฉันทําไมไดหรอก” เราคาดหวังอยางไรละ เรายอมคาดวามันเสียแรงเสียเวลาเปลา

ๆ กับการพยายามที่ไรผลและไมคุมคา ในทางตรงกันขาม ถาเราเชื่อวา “ฉันทําไดแน” เรายอมคาดหวัง

แตความสําเร็จเทานั้น การคาดหวังจึงสอดคลองไปตามความเชื่อของเราเสมอ เมื่อเราเชื่อวาชวงนี้ดวง

เราตก (เปนความเชื่อที่ติดลบอยางยิ่ง) เราจะคาดหวังถึงขาวดีไหม… ไมมีทาง เรามีแตจะคะเนถึงสิ่ง

ราย ๆ วาเดี๋ยวมันจะมาอีกแหง ๆ เลย ที่จริงแลว การคาดหวังเปนความคิดอยางหนึ่งเชนกันแตมักเปน

ภาพของการคาดคะเนในใจอยางหนึ่งอยางใดของเรา และภาพในใจนี้แปรเปลี่ยนไปตามความเชื่อหรือ

มีความเชื่ออยางใดอยางหนึ่งรองรับอยูเสมอ

นอกจากการคาดหวังจะสอดคลองกับความเชื่อของเราแลวมันยังมีกฏแหงการคาดหวังอีก

ดวย กฏนี้กลาววา “ไมวาอะไรที่เราคาดหวังไวดวยความเชื่อมั่น มันจะกลายเปนคําทํานายอนาคตของ

เรา” ดังนั้นสิ่งที่เราควรปฏิบัติคือ

จงคาดไวแตส่ิงดีที่สุดเสมอเทาที่เราสามารถจะทําได พวกเรานั้นไดทําตัวเปนหมอดูโดยไมรูตัว

เราอดไมไดที่จะตองคาดหวังไปตาง ๆ นา ๆ แตเราคาดหวังในเชิงบวกหรือเปลาละ? จงอยาลอเลนกับ

กฏขอนี้ เพราะวามันมีแนวโนมวาเราจะดึงดูดสิ่งที่เราคาดหวัง ฉะนั้น ขอใหพวกเราฝกคาดหวังวาจะมี

เร่ืองดีเกิดขึ้นกับเราในวันนี้

จงเปลี่ยนการคาดหวังที่เกี่ยวกับตนเอง ครอบครัว คูชีวิต พอแม ญาติพี่นอง บุตรหลาน

ผูรวมงาน ตัวธุรกิจ และสิ่งตาง ๆ ที่เกี่ยวของกับเราไปทางดี แลวเราจะพบวาทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงไป

ตามการคาดหวังของเราไดอยางนาอัศจรรย

คุณผูอานที่รักยิ่ง เมื่อเราเปลี่ยนไปคาดหวังในทางที่ดีข้ึน มันจะกระทบไปถึงมุมมอง หรือ ทัศนคติที่เรา

มีตอทุกสิ่งไปตามการคาดหวังของเรา พูดงาย ๆ ก็คือ เราจะสามารถเปลี่ยนทัศนคติของเราได

94

Page 95: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 13 พลังแหงทัศนคติ

ทัศนคติคือ “ความคิดเห็น ความคิดความอาน มุมมอง และความเขาใจที่เรามีตอทุกสิ่ง” การที่เราจะ

รูสึกดีหรือไมดีกับส่ิงใดก็ตาม มันขึ้นกับวาเรามีทัศนคติตอส่ิงนั้นอยางไร และแมกับตัวเราเองก็เชนกัน

ทัศนคติที่มีตอตัวเราเองจะกําหนดความรูสึกวาเราชอบหรือเกลียดตนเอง เนื่องจากวาทัศนคตินั้น

กอใหเกิดความรูสึก และความรูสึกเปนตัวกําหนดการกระทําหรือไมกระทํา ดังนั้น ทัศนคติจึงเปนเรื่อง

สําคัญที่ตองพยายามเขาใจมันใหมาก ๆ

ข้ึนชื่อวาทัศนคติหรือความคิดเห็นของคนเราแลว มันยอมมองตางมุมที่แตกตางกันไปได

สารพัด แตมันยากที่จะสรุปวาทัศนคติแบบไหนบางที่ผิด มันไมมีหรอกที่ผิด แตมันมีลักษณะวา

เหมาะสมมากนอยแคไหนมากกวา เชน ถาชายคนหนึ่งมีทัศนคติ (ความเห็น) วา “บานของฉันมันหว

ยแตก โรงเรียนของฉันมันไมไดเร่ือง สังคมของฉันมันแย ประเทศนี้มันไมดีพอ และโลกใบนี้มันไม

ยุติธรรม” ความคิดเห็นแบบนั้นของเขาผิดหรือเปลา? ใครละจะตอบไดวาผิด ผมแนใจ 100% เตม็วาไม

มีกฏหมายใด ๆ ในโลกนี้สามารถจับตัวชายคนี้ไปลงโทษไดแน แตผมรูวาเขาจะรูสึกไมดีกับทุกสิ่งที่เขา

ไดกลาวไวในประโยคนั้น และเขาจะปฏิบัติตอส่ิงเหลานั้นแบบแย ๆ อีกดวย ผมอาจวิจารณวายังมี

ทัศนคติอ่ืน ๆ อีกมากที่นาจะเหมาะสมกวานั้น แตมันก็เปนสิทธิ์ของเขาที่จะเปลี่ยนหรือไมเปลี่ยนก็ได

ดังนั้น ผมจะเนนเรื่องความเขาใจ จากนั้น พวกเราตองนําไปปรับและตัดสินใจเลือกดวยตนเอง ผมทํา

ไดแคแนะนําเทานั้น

ผมเห็นวาทัศนคตินั้นควรแบงออกเปนแคสองจําพวกก็พอ คือทัศนคติที่มีประโยชนอยาง

แทจริง กับทัศนคติที่ไรประโยชนอยางแทจริง และในฐานะที่เราเปนคน มันยอมหนีไมพนที่เราจะมี

ความคิดเห็นเกี่ยวกับตัวเราเองมากมาย และเนื่องจากเราอยูบนโลก เราก็ยอมตองมีมุมมองหรือความ

คิดเห็นตอคนอื่นและทุกสิ่งทุกอยางที่เราเกี่ยวของอยูเสมอ และคําถามเดียวที่ผมจะถามก็คือ…

มุมมองนั้นใหประโยชนกับพวกเราไหม ทําใหเรามีพลังไหม ทําใหเรารูสึกดีไหมทําใหเราอารมณดีไหม

ทําใหเรามีความสุขไหม ทําใหเราสุขภาพแข็งแรงไหม ทําใหเราสงบสุขไหม ทําใหเราเปนที่รักไหม ทํา

ใหเรามั่งคั่งรํ่ารวยไหม ทําใหเรายอมรับตนเองไหม ทําใหเราเคารพนับถือตนเองไหม ทําใหเรายิ้มแยม

แจมใสไหม ทําใหเราสนุกสนานกับชีวิตไหม ทําใหเราตื่นเตนเราใจบางไหม ทําใหเราเกษมสําราญไหม

ทําใหเรามีหรือขยายประสบการณมากขึ้นบางไหม ทําใหเราเกงขึ้นดีข้ึนไหม ทําใหเราเฉลียวฉลาดมาก

ข้ึนไหม และทําใหชีวิตเราดีงามไหม หากวาคําตอบคือ “ใช” ละก็….นั่นละคือทัศนคติที่ผมเห็นวามี

ประโยชนอยางแทจริง นั่นละคือทัศนคติที่เหมาะสมในสายตาของผม ตอไปผมจะใหตัวอยางของ

ทัศนคติจํานวนหนึ่ง โปรดระลึกไววา ผมไมไดสนใจวามันจริงหรือเปลา แตผมสนใจวามันใหประโยชน

หรือเปลา

95

Page 96: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

ตัวอยางของทัศนคติที่มีประโยชนอยางแทจริง

ในเมื่อคนอื่นยังทําได ฉันก็นาจะทําได(ถาหากวาฉันตองการมัน)ฉันจะเรียนรูเร่ืองนี้ไดจากใคร ที่ไหน

และเมื่อไหร (ถาหากวาฉันตองการมัน)เมื่อฉันตั้งใจอะไรแลว ฉันเปนคนที่ไมมีอะไรมาหยุดยั้งได ฉัน

เปนคนที่ยืดหยุนในวิธีการ แตเหนียวแนนมากกับเปาหมายหรือส่ิงที่ฉันตองการ ฉันพรอมเสมอสําหรับ

ทุกสิ่ง ฉันดีพอเสมอในทุกสถานที่และกาลเวลา ฉันเกง ฉันฉลาด ฉันมีพลัง และฉันเต็มเปยมไปดวย

ความสามารถ รูอยางเดียวมาพอหรอก แตมันตองลงมือทําในสิ่งที่รู คิดบวกอยางเดียวไมพอหรอก มัน

ตองมุงเนนที่การกระทําใหมาก และคงเสนคงวา เพื่อใหโลกนี้เปลี่ยนแปลงเพื่อฉัน ฉันจะเปลีย่นแปลงที่

ตัวฉันกอนเปนอันดับแรก

ตนนั้นแหละคือที่พึ่งแหงตน

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉัน เกิดขึ้นอยางมีเหตุผล และพวกมันรับใชฉัน รางกายของฉันมีคา ความคิดของฉัน

มีคา และจิตวิญญาณของฉันมีคา การที่ฉันมีกาย มีความคิด มีจิตสํานึกและกําลังดําเนินชีวิตอยู….

นั่นแหละคือปาฏิหาริย

ตัวอยางของทัศนคติที่ไรประโยชนอยางแทจริง

ฉันเกิดมาเพื่อชดใชกรรม ฉันไมเกงอะไรสักอยางเดียว ไมมีใครรักฉันสักคน เธอคือเครื่องบิน ฉันคือหมา ผูชายเลวกวาหมา ฉันทําไมไดหรอก โลกนี้มันไมยุติธรรม ชีวิตของฉันไมมีคาอะไร จะเกิดอะไรขึ้นกับฉันก็ชางมัน ฉันเปลี่ยนแปลงตนเองไมได

คุณผูอานที่รัก ความคิดเห็นของเราไดกอใหเกิดความรูสึก และความรูสึกจะไปกําหนดการ

กระทําของเราอีกตอหนึ่ง ฉะนั้น เราตองคิดและเลือกใหดีกวา… เราไดเก็บทัศนคติอะไรไวในจิตใจของ

เรา หากพวกเราตองการชีวิตที่เปยมสุข ทัศนคติที่มีประโยชนอยางแทจริงสามารถชวยพวกเราได

96

Page 97: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 14 พลังแหงความรูสึก

คุณผูอานที่รัก ในที่สุด พวกเราไดเดินทางมาถึงเรื่องที่อภิมหาสําคัญอยางแทจริง ถาหากวาจะอธิบาย

ถึงพฤติกรรมทั้งหลายทั้งปวงของผูคนในโลกนี้ใหสามารถเขาใจไดแลว หนทางเดียวคือการเขาใจถึง

ความรูสึกของผูคนใหไดกอน พวกเรานั้นมักทําอะไรไปตามความรูสึกตลอดเวลา มันเปนเรื่องธรรมชาติ

ของเรานั่นเอง ลองพิจารณาสิ่งตอไปนี้ดู

ถาใครก็ตามไมกินผัก มันไมเกี่ยวกับวาการกินผักดีมากนอยแคไหน แตมันเกี่ยวกับความรูสึก

ถาใครก็ตามที่ไมกินเฉพาะเนื้อวัวนี่ก็เชนกัน มันเกี่ยวกับความรูสึกที่ทําใหไมกิน สวนคนที่กินเนื้อวัว

มากเปนพิเศษอยางผมก็เกิดจากความรูสึกอีกนั่นแหละ ผมไมสนหรอกวาคนอื่นหรือผูเชี่ยวชาญเรื่อง

โปรตีนจะวาอยางไร ผมจะกินมันตอไป สวนผักแครอทสีสมที่คนจํานวนหนึ่งบอกวาเยี่ยมนั้น

ความรูสึกของผมบอกวากินไมได ดังนั้นผมไมกินมันในทุกกรณี เร่ืองทํานองนี้เกิดกับคนทั่วโลก พวก

เราอาจสรุปวา “คงชอบไมเหมือนกัน” แตคําวา “ชอบและเกลียด” นั่นแหละคือ “ความรูสึก” ฉะนั้นถา

หากจะทําใหยอมกินแครอทดวยความเต็มใจ มันยอมมีอยูหนทางเดียว จงทําไงก็ไดใหผมเปลี่ยน

ความรูสึกไปชอบแครอท แลวผมจะกินมันเอง ถึงตรงนี้ พวกเรายอมพอเขาใจแลวกับการจะกินหรือไม

กินอะไรของคนทั้งโลกไดแลว มันไมใชเร่ืองลึกลับและยากที่จะเขาใจ สมมติวาผูหญิงคนหนึ่งตั้งครรภ

และเธอตองการกินดิน ผมไมของใจเพราะผมรูวาเธอรูสึกอยากกินและเธอจะรูสึกดีถาไดกินมัน ดังนั้น

แมแตการกินดินก็ไมเห็นแปลกตรงไหน แตพวกเราไมกินแนเพราะวาพวกเรารูสึกวามันกินไมได ฉะนั้น

ถาเราเห็นใครกินดอกไม ใบไม ดิน กระเบื้อง จิ้งจก ตั๊กแตน หนอน อาหารดิบ ๆ หรืออะไรที่มันแปลก

ประหลาดอยางยิ่ง หรือแมแตแมลงสาบ โปรดเขาใจดวยวา มันเปนเรื่องของความรูสึกลวน ๆ ที่กําลัง

ทําหนาที่ของมันอยางเต็มพิกัด อนึ่ง คนที่กินจุก็เพราะความรูสึก คนที่กินวันละเมื้อเดียวก็เพราะ

ความรูสึก อะไร ๆ ลวนแลวแตเปนความรูสึกทั้งนั้นเมื่อพูดถึงพฤติกรรมของมนุษย

ทําไมทหารที่ไปรบแลวตองสังหารศัตรูถึงรูสึกวาไมบาปหรือบาปนอยทั้ง ๆ ที่มันเปนการฆา

มนุษย เพราะวาพวกเขารูสึกวานั่นเปนหนาที่และมีความถูกตองชอบธรรม หากรอดตายกลับมาบาน

เกิดเมืองนอนได ก็จะไดรับการเชิดชูเกียรติเปนอันมาก ไมมีใครรูสึกวาแยสักคน มันเปนความรูสึกเทา

นั้นเอง แตถาทหารที่สงไปรบดันไปสังหารพลเรือนที่ตางแดนละก็ คราวนี้เร่ืองใหญ ชาวโลกจะ

ประณามวาเลวทรามมาก ทําไมละ ก็ระดับความรูสึกไงที่แตกตางกันคนละโยชนเลย หันกลับมาดูที่ตัว

ผมบาง ถาตบยุงตาย ผมทําไดเพราะวาผมไมรูสึกอะไรเลย (ไมตองบอกก็รูวาผมเกลียดมัน) แตไมใช

กับมด แมลงปอ หรือผีเสื้อ ผมทําไมไดเพราะผมรูสึกแย ดังนั้นเมื่อเจอยุงในบานผมตบมัน แตถาเปน

แมลงปอ ผมตองใชเวลานานกวาจะจับตัวมันไดเพื่อนําไปปลอยที่สวนนอกบาน มันไมใชเร่ืองคุณงาม

97

Page 98: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

ความดีอะไรหรอก แตมันเปนเรื่องของความรูสึกที่ไมเหมือนกันผมจึงมีพฤติกรรมที่แตกตางกันตามไป

ดวย

คราวนี้ขอพูดถึงเรื่องที่ใกลตัวพวกเรามากขึ้น การกระทําทุกอยางในชีวิตประจําวันของเรา เชน

เร่ืองการงาน เร่ืองสวนตัว ครอบครัว งานอดิเรก ดนตรี กีฬา ฯลฯ ทุกอยางเปนไปตามความรูสึกนิสัย

ทุกอยางของเราเปนไปตามความรูสึก การผัดวันประกันพรุงเปนเรื่องของความรูสึก การบางานเปน

เร่ืองของความรูสึก การเชื่อหรือไมเชื่ออะไรเปนเรื่องของความรูสึก การเกิดลางสังหรณยิ่งเปนเรื่องของ

ความรูสึก การแตงตัว การดูแลตนเอง การดูแลตนเอง การดูแลขาวของเครื่องใชความรกหรือสะอาด

ของโตะทํางาน และเรื่องจิปาถะอีกรอยแปดพันเกาลวนแลวแตเปนเรื่องของความรูสึก ถาผมจะเขียน

หนังสือใหหนาที่สุดในโลก เลมนั้นควรวาดวยความรูสึก ตราบใดที่เรายังไมตายไมพนตองอยูกับ

ความรูสึก หากไรความรูสึกมันก็จบ มันก็อวสาน และสุดยอดแหงการไรความรูสึกก็คือตาย หากวาผม

จะคลั่งอะไรสักอยางผมขอคลั่งเรื่องความรูสึก หากวาผมปราดเปรื่องเรื่องใดก็ได เร่ืองแรกที่ผม

ตองการก็คือเร่ืองความรูสึกกกกก!!!! ชีวิตเรามันจะดีหรือเลวก็ตองดูที่ความรูสึก เราจะทําอะไรหรือไม

ทําอะไรก็เพราะความรูสึกเราจะสุขหรือทุกขก็เพราะความรูสึก ที่ผมรายยาวมาขนาดนี้ก็กําลังเขียน

อยางเมามันไปตามความรูสึก มันเปนความรูสึกกกกก

นามธรรมทั้งหลายที่เปนคู เชน ดีกับชั่ว สุขกับทุกข ดีใจกับเสียใจ ปติกับหดหู กลากับกลัว รา

เริงกับซึมเศรา ใจดีกับใจดําเบาใจกับหนักใจ สบายใจกับกังวลใจ พอใจกับไมพอใจ มากกับนอย

พอแลวกับยังไมพอ สนุกกับเบื่อ รวยกับจน ดีกับแย รักกับเกลียด ชอบกับชัง ยอมรับไดกับยอมรับ

ไมได ทําไดกับทําไมได และอื่น ๆ อีกมาก ส่ิงเหลานี้คือความรูสึกเปรียบเทียบนั่นเอง พวกเราคือ

สภาวะจิตที่แสดงอาการออกผานทางรางกายของพวกเราตลอดเวลาไมใชหรือ! และเพราะวา

ความรูสึกของเราแปรปรวนเปลี่ยนแปลงได การกระทําของเราในเรื่องใดเรื่องหนึ่งจึงขึ้น ๆ ลง ๆ ไปตาม

ระดับความรูสึกอยางสอดคลอง หากวาพวกเราจะไมไดอะไรเลยจากการอานหนังสือเลมนี้ ผมขอรอง

ใหพวกเราไดไปสักเรื่องหนึ่งที่ผมเช่ือมั่นวาสําคัญที่สุด นั่นคือ จงตระหนักรูใหไดวาความรูสึกเปน

ตัวกําหนดการกระทําของพวกเรา และมันเปนพลังที่ยากที่สุดที่พวกเราจะไปตอตานหากพวกเรา

สามารถ “ทําหรือสรางหรือผลิต” ความรูสึกใหมีความสุขไดทุกวันจวบจนชั่วชีวิตละก็ นั่นแหละคือ

แนวทางที่แทจริงของมวลมนุษย โปรดสังเกตวาผมใชคําวา “ทําหรือสรางหรือผลิต” เพื่อเตือนใจวา

พวกเราไมไชผล แตพวกเราเปนเหตุ เพราะวาพวกเราไมรอใหใครหรืออะไรมากรุณามอบความสุขให

เรา เรานั่นแหละคือตัวความสุขเสียเอง ก็เพราะวาเราไดสรางมันขึ้นมาเอง แลวทําไมจะไมไดละ…ใน

เมื่อความสุข… คือความรูสึกอยางหนึ่ง

98

Page 99: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 15 ความพึงพอใจ กับความเจ็บปวด

ตอนนี้พวกเรายังอยูในหัวขอเร่ือง “ความรูสึก” เชนเดิม แตผมจะพาพวกเราไปรูจักกับฝาแฝดคูหนึ่ง ฝา

แฝดผูพี่มีชื่อวา “ความพึงพอใจ” สวนฝาแฝดผูนองมีชื่อวา “ความเจ็บปวด” พวกมันทั้งสองคือ

คําอธิบายที่ดีที่สุดวาสมองหรือจิตใจของเราทํางานอยางไร กลาวคือ สมองของเราที่เกิดจากการสั่งสม

ประสบการณและการเก็บขอมูลสารพัดที่ปลูกฝงเขาไปตั้งแตเด็กจนโตนั้น มันจะตีความโดยเทียบกับ

ฐานขอมูลและประสบการณขนาดใหญของมันเสมอวา อะไรนาจะนําไปสูความพึงพอใจ และอะไร

นาจะนําไปสูความเจ็บปวด และสมองจะเลือกทําสิ่งที่นําไปสูความพึงพอใจและหลีกเลี่ยงการทําสิ่งที่

นําไปสูความเจ็บปวดอยางสุดความสามารถ ยิ่งไปกวานั้น ถาการกระทําทุกสิ่งลวนนําสูความพึงพอใจ

ทั้งนั้น สมองจะเลือกใหเราทําในสิ่งที่มันเชื่อวาจะไดรับความพึงพอใจสูงสุด และเชนกัน ถาการกระทํา

ทุกสิ่งลวนนําไปสูความเจ็บปวดทั้งสิ้น สมองจะเลือกใหเราทําในสิ่งที่มันเชื่อวาจะไดรับความเจ็บปวด

นอยที่สุด

คุณผูอานที่รักกกก! ตั้งแตผมไดรูวาสมองทํางานไปตามความรูสึกแนใจของมันที่มันตีความวา

อะไรคือความพึงพอใจ อะไรคือความเจ็บปวด และอะไรที่เปรียบเทียบกันแลวยังถือวาดีกวา ผมได

เขาใจตนเองและผูคนในโลกกวางวาอะไรกันแนที่ทําใหมนุษยทําอยางที่เขาทําและไมยอมทําในบางสิ่ง

ที่ผมอาจคิดวานาทํา ทั้งหมดนี้เปนเรื่องของความรูสึกเปรียบเทียบวาอะไรกันแนที่นาพึงพอใจมากกวา

หรือเจ็บปวดนอยกวาในตอนนั้นของความรูสึก

จากนี้ไป ผมจะพาพวกเราทองไปในโลกจริง ในปญหาจริงในสิ่งที่กําลังเกิดขึ้นจริง และดูสิวา

พลังแฝดของสองพี่นองที่ชื่อ “ความพึงพอใจ และความเจ็บปวด” จะอธิบายทุกสิ่งไดอยางไร และที่มัน

ตองอธิบายไดแนอยูแลวก็เพราะวา… พวกมันสองพี่นองนี่แหละที่เปนสาเหตุหลัก ไปดูตัวอยางกัน

เถอะ

99

Page 100: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 16 ตายแทนลูก

พฤติกรรมการเสียสละทุกชนิดของมวลมนุษยนั้นสามารถเขาใจไดผมจะยกตัวอยางงาย ๆ วาเหตุใด

แมบางคน (อาจเปนพอก็ได) ถึงอาจตายแทนลูกได แนนอนวาการตายของหญิงที่เปนแมเปนความ

เจ็บปวดที่ยิ่งใหญของเธอ แตตราบใดที่เธอรูสึกวาการตายของลูกยิ่งเปนความเจ็บปวดที่ยิ่งกวาของ

เธอเองแลวละก็… เธอจะยอมตายแทนลูกถาเธอสามารถแลกได ไมมีคําอธิบายอะไรจะชัดเจนกวานี้

อีกแลว

100

Page 101: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 17 ลดความอวนไมได

การลดความอวนคือปญหาใหญของคนเยอะมาก มีตํารา สูตร และเคล็ดลับมากมายที่สอนถึงวิธีลด

ความอวน แลวไดผลไหม? บางที… และบางคนเทานั้น… ที่ไดผล มาฟงคําอธิบายกันดีกวา สมมติวา

ใครสักคนตองการลดความอวนโดยวิธีอดอาหาร เชน ไมกินมื้อเชา งั้นไปดูกันสิวาสมองของเขาจะคิด

อยางไร มันคิดวา “เฮ การกินอาหารคือความพึงพอใจ สวนการอดกินอาหารคือความเจ็บปวด”

นอกจากนั้นมันยังคิดวา “แตการอวนมันก็เจ็บปวดเหมือนกันวะ สวนการมีรูปรางดียอมสรางความพึง

พอใจไดเหมือนกัน” จากนั้นมันก็จะเปรียบเทียบสองความคิดนั้นวา “แลวการกระทําแบบไหนละที่ทํา

ใหฉันพึงพอใจมากกวา หรือการกระแบบไหนละที่ทําใหฉันเจ็บปวดนอยกวา? ตราบใดที่ความเจ็บปวด

ของการอดอาหารใหความรูสึกที่รุนแรงกวาความเจ็บปวดของการอวน ตราบนั้นคนคนนั้นก็จะลด

ความอวนอยางถาวรไมได หรือตราบใดที่ความพึงพอใจของการกินใหความรูสึกที่รุนแรงกวาความพึง

พอใจของการมีรูปรางดี ตราบนั้นคนคนนั้นก็ลดความอวนอยางถาวรไมได และถาความรูสึกของเขา

โยกไปโยกมาระหวางความคิดสองฝกสองฝาย การกระทําของคนคนนั้นก็จะแปรปรวนไปตาม

ความรูสึก บางทีอดอาหารไดสองม้ือ แตแลวก็ฟาดมื้อเย็นของวันนั้นไปทีเดียวสี่จานรวด จากนั้นก็เซ็ง

และพูดวา “ทนไมไหววะ ใจแข็งไมพอวะ” แตนั้นยังไมใชความเขาใจที่ถองแท ฉะนั้น

คุณผูอานที่รัก ถาจะลดความอวนเราตองสรางความรูสึกวาการมีสุขภาพดีและรูปรางที่

เหมาะสมคือความพึงพอใจที่แทจริง เราตองสอนสมองใหมันเชื่ออยางแรงกลาวาส่ิงนี้คือความพึง

พอใจที่เหนือกวาความพึงพอใจของการกินที่มากเกินไปและทางหนึ่งที่จะสอนสมองไดก็คือ การซอม

ทําในใจดวยการสรางจินตภาพถึงตัวตนของเราที่มีพลังงานมาก สุขภาพดี และรูปรางสมสวน ฝกซอม

เห็นตนเองกินแคมื้อละจานเดียว และเห็นตนเองออกกําลังกายอยูเสมอ ๆ ฝกวาดภาพในใจวาตอนนี้

เราเห็นตัวเราผอมลง เราคลองแคลววองไว และกระฉับกระเฉง ฝกซอมในใจวาเรามีความสุขโดยรวม

มากขึ้น และเราไมไดเจ็บปวดอะไรเพราะวาเราก็ยังกินตามปกติแตมีวินัยมากขึ้น คุณผูอานที่รัก นี่

แหละคือการเชื่อมโยงบางสิ่งใหสมองรูจักและคลอยตาม ในที่สุดสมองจะยอมรับและตีความวาการมี

สุขภาพดีและรูปรางดีคือความพึงพอใจที่แทจริงที่มากกวาความพึงพอใจของการกินแบบตะกละ โปรด

สังเกตวาผมไมแนะนําใหงดอาหารเพราะสมองรูวานั่นเปนความเจ็บปวดซึ่งมันจะตอตานและพยายาม

หนีออกไปจากความเจ็บปวด ผมจึงแนะนําใหกินตอไปแตเพิ่มการเชื่อมโยงการมีสุขภาพดีรูปรางดีให

สมองจดจําจนขึ้นใจ และวิธีสรางภาพในใจหรือฝกซอมทําในใจคือหนทางที่มีประสิทธิภาพในการสราง

ความรูสึกถึงการรับรูนี้ แลวสมองจะคอย ๆ สานประโยชนใหเราไดทั้งการกินและการมีสุขภาพดีไป

พรอม ๆ กันเลยทีเดียว

101

Page 102: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 18 ผัดวันประกันพรุง

เชื่อกันวาการผัดวันประกันพรุงเปนสาเหตุหนึ่งที่ทําใหคนเราไดรับความเสียหายและความเจ็บปวด นั่น

ก็อาจใช แตที่ตลกก็คือคนเราผัดวันประกันพรุงก็เพราะวาความพึงพอใจ ความพึงพอใจงั้นรึ!!! นี่ผม

เสียสติไปแลวหรือเปลา… ไมอยางแนนอน คิดถึงตอนเปนเด็กนักเรียนดูสิ สมมติถาผมผัดการทํา

การบานที่ตองสงคุณครูออกไปกอน… มันแปลวาผมรูสึกเจ็บปวดมากกวาถาผมจะทําการบานเดี๋ยวนี้

ผมอยากเลนในตอนนี้เพราะวามันทําใหผมไดรับความพึงพอใจมากกวา สมองของผมจึงสั่งใหผมทาํไป

ตามนั้นเพราะวามันจะเขาหาความพึงพอใจและหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด เมื่อผมเอาแตเลนทุกวันไป

เร่ือย ๆ ผมสนุกและพึงพอใจเรื่อย ๆ แตถาวันพรุงนี้ผมตองสงการบานแลว เวลาเกือบหมดแลว คราวนี้

ผมจะผัดการเลนออกไปกอน เพราะวาการเลนเมื่อเปรียบเทียบใหมกับการทําการบานจะพบวา…

ตอนนี้กอนเลนจะไมรูสึกวาใหความพึงพอใจสักเทาไหรและมันกําลังจะกลายเปนความรูสึกเจ็บปวด

เสียมากกวา (ความรูสึกตอการเลนไดเปลี่ยนไป)

สวนการไมทําการบานที่หลายวันกอนไมรูสึกวาเจ็บปวดอะไร บัดนี้จะเปลี่ยนความรูสึกแลว

ฉะนั้นการทําการบานในตอนนี้จะสรางความพึงพอใจ (ความรูสึกตอการทําการบานไดเปลี่ยนไป) และ

ผมก็ปนใหญใหมันเสร็จเพื่อจะสงไดในวันพรุงนี้.. เฮอโลงอก หลายครั้งในชีวิตผูใหญ พวกเราก็เปน

อยางที่ผมอธิบายไมใชหรือ? พวกเราตองเขาใจเรื่องความรูสึกเปรียบเทียบระหวางความพึงพอใจกับ

ความเจ็บปวดเพื่อที่เราจะไดเขาใจการกระทําของเรามุงสิ่งที่เราทําในตอนนี้ลวนถูกเลือกจากสมองโดย

มันเชื่อวาจะใหความพึงพอใจสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับการทําอยางอื่น และการเปลี่ยนแปลง

พฤติกรรมทุกอยางของเราเปนเพราะวาความรูสึกตอมันไดเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา นี่คือความรูที่

ลึกซึ้งมาก ฉะนั้นพวกเราตองเรียนรูที่จะใชพลังฝาแฝดระหวางความพึงพอใจกับความเจ็บปวดใหชาญ

ฉลาดเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกวา

102

Page 103: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 19 กินแมลงสาบ

คร้ังหนึ่งผมถูกตั้งคําถามที่ทาทายจากหนังสือเลมหนึ่งวา “ถาใหเงินคุณหาลานบาทเพื่อแลกกับการ

ตองกินแมลงสาบหนึ่งถวย คุณจะทําหรือไม ทําไมจึงทํา… ทําไมจึงไมทํา?” นี่เปนคําถามที่ทําใหคน

ตอบหลงทางไดโดยงายแตไมใชผม เมื่อผมอานคําถามนี้ ผมแนใจวาผมรูคําตอบในวินาทีนั้น คําตอบ

นั้นงายมากคือ… ตราบใดที่การกินแมลงสาบสรางความเจ็บปวดไดมากกวาความพึงพอใจของการได

เงินหาลานบาทสําหรับใครก็ตามแลวละก็ เขาก็จะไมมีวันกินแมลงสาบเพื่อเงินกอนนั้น แตตราบใดที่

การไดเงินหาลานบาทสามารถสรางความรูสึกความพึงพอใจไดมากกวาความรูสึกเจ็บปวดจากการกิน

แมลงสาบ เขาก็จะกินแมลงสาบ (เขาจะกินมันแมวาไมชอบและรูวานี่)

เร่ืองราวการกระทําที่แปลก ๆ ในโลกนี้ลวนอธิบายไดหมดในลักษณะนี้ ผมไดเห็นการเลนเกม

ที่โหดและยากมากตอความรูสึกเชน การที่ตองคาบหนูตายดวยปาก การจุมหนาลงไปคลุกกับหนอนที่

เต็มไปดวยเมือก การตองฝนกินสิ่งที่แสนจะทุเรศ และการกระทําที่เสี่ยงตอชีวิตสารพัด ไมวารางวัลที่

ไดจะคือเงินกอนโตหรือความรูสึกวา “ขาแนและขาทําได” ก็ตาม ที่คนเหลานั้นทําก็เพราะวาเมื่อ

เปรียบเทียบเสร็จแลว การทําจะใหความรูสึกที่นาพอใจกวา หรือกลาวอีกอยางวา… การไมทําจะสราง

ความเจ็บปวดที่มากกวา ดังนั้นพวกเขาจึงทําอยางที่พวกเราไดเห็นกัน ไมมีมนุษยทําไมไดตราบใดที่

มนุษยรูสึกวาผลรวมสุดทายของความรูสึกทั้งมวลจะนําไปสูความพึงพอใจ

คุณผูอานที่รักกกกยิ่ง ความพึงพอใจกับความเจ็บปวดนั้นคือตนตอที่แทของการกระทําหรือไม

กระทําทั้งมวลของมนุษยพวกเราตองเขาใจเรื่องนี้ใหมาก ๆ แลวพวกเราจะเขาใจตนเองและเพื่อนรวม

โลก

103

Page 104: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 20 กาตมน้ําแหงความเจ็บปวด

เหตุการณที่เรียกวา “ยอมลงมือทําตอเมื่อเจ็บปวดจนทนไมไหว” ของผูคนในโลกนี้ อธิบายไดดีเมื่อ

เปรียบเทียบกับกาตมน้ํา ในตอนแรกที่ใสน้ําลงในกา น้ําทุกหยดรูสึกสบายดี แตหลังจากติดไฟแลว

อุณหภูมิจะคอย ๆ สูงขึ้นทีละนิดไปเรื่อย ๆ หยดน้ํารูสึกวาปวดแสบปวดรอนทีละนิดมากขึ้นเรื่อย ๆ

เชนกัน แตน้ําก็ยังคงเฉยตอไป น้ําไมยอมทําอะไรทั้งนั้น แตในที่สุดเมื่อมันถึงจุดเดือด น้ําไมอาจทนได

อีกตอไป มันจะหยุดขี้เกียจสันหลังยาวและเริ่มตนเคลื่อนไหว มันจะมีอาการเดือดปุด ๆ แลว

เปลี่ยนแปลงตัวเองกลายเปนไอแลวดันฝากาที่ตมมันอยางเต็มที่ กาตมน้ําที่ดีจึงตองมีวาลวที่สามารถ

เปดออกไดใหไอน้ําออกไปถาหากวากาตมน้ําใบนั้นไมอยากจะพัง เพราะวาตอนนี้ไอน้ํากําลัง

แผลงฤทธิ์กันยกใหญ พวกมันกําลังแข็งขันในการปฏิบัติการทีตองการออกไปจากที่ที่มันทนอยูไมไหว

อีกตอไปแลว แตมันไปไดไมไกลนักหรอก เพราะวาเมื่อมันลอยขึ้นไป อีกไมนานหรอก พวกมันจะ

รวมตัวกันและเมื่อกระทบกับความเย็นก็จะกลั่นตัวเปนหยดน้ําแลวตกกลับลงมาสูโลกอีกครั้ง

นี่จะตางอะไรกับผูคนในโลกนี้ ในตอนแรกที่เขาไมลงมือทําในส่ิงที่เขารูวามันตองทํานั้น เขา

รูสึกวามันมีความเจ็บปวดนอยมากพวกเขาจึงเฉยเสียและผัดวันประกันพรุงตอไป ความเจ็บปวดคอย

ๆ ทวีมากขึ้นแตเขาก็ยังรูสึกวาทนได ยิ่งเนิ่นนานเทาไหร เขาก็ยิ่งรูสึกวารอนรนขึ้นเรื่อย ๆ และเวลาก็

งวดเขามาทุกที เขาเริ่มไดรับความเสียหายจากการไมทําในสิ่งที่ตองการทํามากขึ้นเรื่อย ๆ ความ

เจ็บปวดที่สะสมตัวตอไปอยางไมหยุดยั้ง จนถึงจุดหนึ่งที่เปนจุดแตกหักทางอารมณที่เขาจะเดือดดาล

อยางสุดขีดแลวตะโกนวา “ฉันทนไมไหวแลวโวย”และเริ่มกัดฟนสูโดยจะทําอยางเต็มที่เพื่อคลี่คลาย

สถานการณ ดูเหมือนวาผลลัพธเกิดขึ้นบาง หากโชคดีวาเขาผานมันไปไดดวยดี เขาก็จะรูสึกวา “โอ…

โลงอกไปที” ความเจ็บปวดที่ทนไมไหวนั้นจะบรรเทาลงไปมากหรือหมดไปแลว เขาก็กลับเขาสูข้ันตอน

แรกของวงจร… คือหยุดปฏิบัติและกลับไปมีนิสัยไมรีบรอนทําในสิ่งที่ตองทําเหมือนเดิมเปะ และตอง

รอจนกระทั่งไดสะสมความเจ็บปวดจนทนไมไหวอีกครั้ง แลวเขาก็จะลุกขึ้นแลวลนลานทําอีกครั้ง นี่มัน

จะตางจาก “อาการของกาตมน้ําแหงความเจ็บปวด” ตรงไหนละ!!

คุณผูอานครับ สมัยกอนผมเปนคนอยางนั้น ผมเหมือนน้ําในกาตมน้ํา แตมันตางกันตรงที่น้ํา

ในกามันไมสามารถเรียนรูได มันจึงตองเปนไปตามนั้น แตนี่ผมเปนคน..คนที่สามารถเรียนรูได แตผม

ตองจายราคาใหกับบทเรียนเดิมที่ซ้ําซากอยางไมรูจักเข็ด ผมเพิ่งเปลี่ยนแปลงไดเมื่อป 2540 มานี่เอง

คิดดูเถอะวา… ผมจะตองเสียหายทางดานความรู สึกมากมายขนาดไหน ผมรูสึกเซ็ง เบื่อ แย

หวาดกลัว วิตกกังวล และไรความสุขโดยรวม สวนผลลัพธที่ไดในชีวิตเชนผลการเรียนในชวงกอนการ

ทํางาน และผลการทํางานในชวงกอนวัย 40 นั้น ไมตองสงสัยเลยวามันยอมไมไดเร่ืองอยางแนนอนที่

สุดแตในวันนี้เมื่อผมไดเขาใจพฤติกรรมของตนเองอยางกระจางแลว ผมไดเปลี่ยนแปลงไปมากราวกับ

104

Page 105: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

เปนคนละคนกันเลยทีเดียว พวกเรามีใครเคยเปนอยางที่ผมบรรยายมาไหมละ? หรือวาตอนนี้ก็ยัง

เปนอยูละมีไหม?ไมเปนไรหรอก…ขอเพียงเขาใจมัน ใหอภัยตัวเองเสีย และเริ่มตนใหมที่จะใชพลังแหง

อารมณและเครื่องมือหลาย ๆ อยางในหนังสือเลมนี้ไปจัดการกับมันซะ โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ

เปรียบเทียบกันระหวางความพึงพอใจกับความเจ็บปวดที่พวกเราเพิ่งไดอานมา…. เปนเรื่องที่สําคัญ

มาก ขอใหพวกเราฝกการเชื่อมโยงพฤติกรรมตาง ๆ ของพวกเรากับสมองเสียใหม แทรกแซงความรูสึก

พึงพอใจกับพฤติกรรมนิสัยดวยการสอนสมองใหรูสึกรังเกียจพฤติกรรมนิสัยเสียดวยวิธีการฝกซอม

สรางจินตนาภาพแบบใหมตามที่ไดกลาวมาแลว แลวพวกเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงนิสัยของพวกเรา

ไดอยางถาวร และเพื่อใหเปนวิชาการอีกนิด ผมขอสรุปเปนขอ ๆ ดังนี้

1. การไมลงมือทําในสิ่งที่ตองทําจะคอย ๆ ทวีความเจ็บปวด 2. ในที่สุดมันจะสะสมความเจ็บปวดจนถึงจุดแตกหักทางอารมณที่รูสึกวาทนไมไหว

อีกตอไป 3. ความเจ็บปวดที่ระดับทนไมไหวนี้กลายเปนรุนแรงกระตุนใหลงมือปฏิบัติ 4. การลงมือปฏิบัตินําไปสูผลลัพธที่ได… ทําใหความเจ็บปวดทางอารมณบรรเทาลง

ไป 5. ผลลัพธที่ได… ทําใหความเจ็บปวดทางอารมณบรรเทาลงไป 6. หวนคืนสูการไมลงมือปฏิบัติและเริ่มตนวงจรซ้ําซากแหงการสะสมความเจ็บปวด

อีกครั้ง

105

Page 106: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 21 การลงเอยที่ยิ่งใหญไมใชความรูแตคือการกระทํา

ความรอบรูนั้นดีแตยังไมพอ สํานวนที่วา “รูไวใชวา ใสบาแบกหาม” นั้น ผมวิจารณอยางตรงไปตรงมา

วาทําใหเขวได เพราะวามันชี้ไปในแงที่วา “รูไวก็คงจะไมเสียหายอะไร” ในแงนี้ก็ถูกหลาย ๆ เร่ืองแต

สําหรับเร่ืองการปรับปรุงหรือพัฒนาตนเองนั้น พวกเราตองอยาเปนคนแบบนั้นมากเกินไป กลาวคือรู

คือรูเยอะแตไมยอมลงมือทําอะไรสักเทาไหร พวกเราคิดวานาเศราไหมที่ผูคนเรียนจบสูง ๆ ทุกระดับ

ย้ํา… ทุกระดับ บางคนในนั้นไดกลายเปนคนที่ทําอะไรไมคอยไดเลยสํานวนที่วา “ความรูทวมหัว เอา

ตัวไมรอด” จึงไดเกิดข้ึนตามสิ่งที่เกิดขึ้น มันเปนสํานวนที่ตําหนิและดูถูกอยางชัดเจน แลวจะแกไขได

อยางไร คําตอบคือ “การลงมือปฏิบัติแกไขไดทุกโรค” พวกเราอาจงงวาทําไมมันแกไขไดทุกโรคละ!

ออ… ก็เชนโรคไมมีงานทํา โรคทรัพยจาง โรคขี้เกียจสันหลังยาว โรคชวยเหลือตนเองไมได โรคฉันเบื่อ

และเหงาจังเลย โรคฉันเซ็งและหดหูใจ โรคฉันมันไมเอาไหนเลย และโรคสุขภาพฉันมันไมไดเร่ือง ฯลฯ

ผมขอยืนยันวาการลงมือทําอะไรซะบางสามารถรักษาไดทุกโรคและทุกเรื่องอยางแนนอน

ตอใหคนที่ไมรูอะไรเลยกับระบบใหญภายในตัวเอง หากคนคนนั้นมุงเนนไปที่การกระทํา…

ผมยกยองวาเขายอดเยี่ยม สวนคนที่ไมยอมทําอะไรเลย ตอใหตอนนี้วิเศษสักแคไหนก็ตาม… อีกไม

นานก็ตองตายแลวเพราะวาสุขภาพไมดีและสุขภาพจิตเสื่อมโทรม แตพวกเราแตกตางออกไป พวกเรา

ไดอานหนังสือเลมนี้มายาวไกลและรูแลววาระบบใหญภายในตัวเราทํางานอยางไร พวกเรารูวาระบบ

ใหญมีผลตอกันเปนชั้น ๆ อยางไร และเพราะวาพวกเราสามารถจัดการกับความรูสึกของเราได พวก

เรายอมสามารถกลายเปนคนที่มุงเนนการลงมือทําไดอยางแนนอน และดวยการกระทํา มันจะสราง

ผลลัพธตาง ๆ นานาใหกับเรา เราจะกลายเปนคนที่มั่งคั่งในทุกดานไดก็ดวยผลลัพธที่เกิดขึ้นจากการ

กระทํา ไมมีอะไรในโลกนี้สําคัญกวาการกระทําของเรา หากเราสามารถตัดสินใจไมยอมหายใจได (การ

ไมกระทําก็คือการกระทําอยางหนึ่ง) เราจะตายภายในสามถึงหานาทีจากการไมยอมทํา โชคดีมากที่

ระบบอัตโนมัติ ภายในตัวเราไมยอมเชนนั้นมันรูวาตัวมันเองจะตายถาหากขาดอากาศ และมันจะ

หายใจใหเองหาไมแลวคนขี้เกียจสุด ๆ คงตองลมตายกันเปนเบือ แตโลกภายนอกแหงความเปนจริง

นั้นแตกตางออกไป ไมมีใครชวยทํานั่นทํานี่ใหเราหรอก เราตองทําเอง แมแตพระภิกษุสงฆยังตอง

ออกไปบิณฑบาตเอง นิสัยรักการกระทําจึงคือบทสรุปสุดทายที่แทจริง ทุกสิ่งที่ผมกลาวมาในหนังสือ

เลมนี้ถือเปนโมฆะหากปราศจากซึ่งการกระทําทั้งปวงการคิดบวกนั้นดีแตไมพอ การยิงคําถามทีด่อียูรํ่า

ไปก็ยังไมพอ ลําพังความเชื่อที่ยิ่งใหญก็ยังไมพอ การคาดหวังแตส่ิงดีก็ยังไมพอ ทัศนคติเชิงบวกก็ยัง

ไมพอ และแมแตอารมณความรูสึกที่ดีก็ยังไมพอ ทั้งหมดนั้นตองถูกเกื้อหนุนดวยการกระทํา หากไมมี

การกระทํา… จะไมมีผลลัพธอะไรเลย โลกของเราจะดุจสวรรคเมื่อผูคนเนนการกระทําเปนหลัก

106

Page 107: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

อยางไรก็ตาม นี่ไมไดหมายความวา การที่เราคิดบวก ยิงคําถามที่ดีกวา มีความเชื่อที่ชาญ

ฉลาด คาดหวังในสิ่งดี มีทัศนคติเชิงสรางสรรค และรูสึกดีนั้น ไมมีประโยชน ตรงกันขาม มันทั้งหมด

เปนสิ่งจําเปนที่ขาดไมได เพราะวาดวยปจจัยเหลานี้นี่แหละที่จะชวยรับประกันวาพวกเราจะมุงเนน

การปฏิบัติไดจริง ๆ สวนใครที่ปราศจากปจจัยเหลานี้ยอมพบกับความสุขและความสําเร็จไดยากเต็มที

แตประเด็นของผมอยูตรงที่… การกระทําคือเปาหมายสุดทายที่พวกเราตองเขาถึงมัน

107

Page 108: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 22 ไรการปฏิบัติ ปญหาที่แทจริงของคนในโลก

โลกใบนี้อัดแนนไปดวยผูคนกวาหกพันลานคน และนั่นยอมทําใหมีปญหามากเปนเงาตามตัว พวกเรา

พูดกันวา “ประเทศของเรามีปญหาเรื่องความยากจน ปญหาเรื่องการศึกษา โจรผูรายชุกชุม ไรความ

ปลอดภัยในชีวิตและทรัพยสิน ยาเสพติด การพนัน อบายมุข และเรื่องอ่ืน ๆ อีกนับไมถวน” ผมไม

ปฏิเสธวาทุกสิ่งที่กลาวมาและอื่น ๆ อีกมากลวนเปนปญหาทั้งนั้น แตการมองปญหาในลักษณะที่เปน

“คํานาม” อยางเดียวเชนนี้ยอมแกไขปญหาไดยาก ทางหนึ่งที่จะชวยลดปญหาไดมากคือการสอนให

ประชาชนตระหนักรูถึงการมองปญหาในลักษณะของ “คํากิริยา” เสียบาง ลองดูตัวอยางตอไปนี้

1. สมมติผมพูดวา “ฉันมีปญหาเรื่องเงินไดไมพอใช”

ผมอาจเปลี่ยนเปน “บางทีนั่นอาจไมใชปญหาที่แทจริง เปนไปไดไหมวาฉันมีปญหาในเรื่อง

การลงมือทํางานที่ยังไมพอเพื่อทําใหตัวฉันมีรายไดมากขึ้น เทาที่ผานมาฉันไดมุงเนนการ

กระทําที่เพียงพอจริง ๆ แลวหรือ หากฉันเนนการกระทําใหมากขึ้น ปญหาของฉันจะจบลง

ดวยดีไหม?

2. สมมติผมพูดวา “ฉันมีปญหาเรื่องสุขภาพไมดีที่รบกวนฉันบอย ๆ”

จะดีกวาไหมหากผมพูดวา “บางทีนั่นอาจไมใชปญหาที่แทจริงเปนไปไดไหมวาฉันมีปญหาใน

เร่ืองพฤติกรรมของการออกกําลังกายที่ยังไมพอเพื่อทําใหตัวฉันแข็งแรงมากขึ้น เทาที่ผานมา

ฉันไดมุงเนนการกระทําที่เพียงพอจริง ๆ แลวหรือ หากฉันเนนการกระทําใหมากขึ้น ปญหา

ของฉันจะจบลงดวยดีไหม?”

3. สมมติผมพูดวา “ฉันมีปญหาเรื่องครอบครัวมากจนฉันไมมีความสุขเลย”

จะดีกวาไหมหากผมพูดวา “บางทีนั่นอาจไมใชปญหาที่แทจริง เปนไปไดไหมวาฉันมีปญหาใน

เร่ืองพฤติกรรมของการใหเวลาดูแลเอาใจใสและพูดคุยกับคนในครอบครัวของฉันที่ยังไม

เพียงพอเพื่อทําใหครอบครัวของฉันอบอุนและรูสึกดี เทาที่ผานมาฉันไดมุงเนนการกระทําให

มากขึ้น ปญหาของฉันจะจบลงดวยดีได

108

Page 109: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

คุณผูอานที่รัก ไมวาปญหาของพวกเราจะคืออะไร บางทีมันอาจไมใชปญหาที่แทจริง ตนตอ

ของปญหาจํานวนมากเกิดจากปญหาของการไรซึ่งการปฏิบัติ หรือหากปฏิบัติก็อาจนอยเกินไปจนไม

เพียงพอ คนในโลกตกอยูในมายาหรือภาพลวงตาวาพวกเขาออกไปจากปญหาไมได และแทนที่จะลง

มือทําอะไรเสียบาง พวกเขาจํานวนมากกลับใชเวลากับการโอดครวญ ตําหนิหรือตอวาทุกสิ่งยกเวน

ตนเอง พวกเขาชอบอยูนิ่ง ๆ เศราสรอย หดหูใจ เซ็ง เบื่อหนาย เหงา รองใหแลวก็รองให และลมตาย

ไปอยางคนสิ้นหวังเพียงลําพังคนเดียวเงียบ ๆ ขอพวกเราอยาไดเพิ่มประชากรเชนนั้นดวยการรวม

ตัวเองเขาไปอีกเลย จงลุกขึ้นยืน และยืนขึ้นเพื่อตัวเอง พวกเราจงสะบัดแขงสะบัดขาและรีบเรงที่จะ

มุงเนนการลงมือทํามาก ๆ กับเร่ืองราวทุกดานของชีวิตใหครบครัน จงมองไปที่รางกายและมือของเรา

วามันถูกออกแบบมาใหมีความสามารถในการกระทําเหนือสรรพสัตวทั้งปวง และไมวาพวกเรากําลัง

เผชิญกับสถานการณใด ๆ ก็ตาม จงทองใหข้ึนใจไวเสมอวา “บางทีฉันอาจไมมีปญหาอะไรเลยก็ได

หากฉันเนนที่การปฏิบัติในทุกเร่ืองราวของชีวิตฉันใหมากพอ” และจําอีกหนึ่งประโยคทองที่วา “การลง

มือปฏิบัติรักษาไดทุกโรค แกไขไดทุกเรื่อง”

109

Page 110: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 23 เขาแทรกแซงระบบใหญ

เทาที่ผานมา ผมไดอธิบายระบบใหญภายในตัวเราที่เกี่ยวกับความคิดการใชคําถาม ความเชื่อ การ

คาดหวัง ทัศนคติ ความพึงพอใจ และความเจ็บปวด และการกระทําที่สอดคลองไปตามความรูสึก ซึ่ง

จะนําไปสูผลลัพธตาง ๆ ที่พวกเราไดรับ ผมบอกวาถาเราเปลี่ยนแปลงสิ่งเหลานั้น ในที่สุดชีวิตของ

พวกเราก็จะเปลี่ยนไป และเพราะวาเรารูแลววาระบบใหญภายในตัวเราทํางานอยางไร เรายอม

สามารถเปลี่ยนแปลงปจจัยเหลานั้นโดยเจตนาได มีคําอยูคําหนึ่งที่ทรงพลังที่สุดสําหรับผม นั่นคือคํา

วา “เขาแทรกแซง” การที่ผมเปลี่ยนไปอยางมหาศาลและรวดเร็วนั้นเพราะวาผมเขาแทรกแซงระบบ

ใหญของตัวผมเอง เชน แทนที่จะปลอยความคิดของผมเปนอยางอดีต ผมกับเขาแทรกแซงความคิด

ดวยการปอนขอมูลใหมใหกับมันโดยความจงใจของผม หรือการบอกกับสมองวาผมจะเอายังไงบางกบั

ชีวิตแมวาสมองจะคิดเกง แตผมไดเขาแทรกแซงสมองโดยเจตนา ผมใหทิศทางกับมันมากกวาเดิม

เยอะ ผมกํากับการคิดของมัน ผมแทรกแซงมันดวยการสั่งสมองใหนึกภาพในใจตามที่ผมส่ัง นั่นเทากับ

วาผมสั่งสอนมันแทนที่จะปลอยใหมันเปนไปตามธรรมชาติ

ผมเขาแทรกแซงคําถามที่ผมใชใหมันทรงพลัง ผมแทรกแซงระบบใหญโดยยิงคําถามใหม ๆ

กับมัน ผมใชพลังแหงคําถามที่ชี้นําและใหทิศทางในการคิดกับสมอง ผมแทรกแซงมันโดยไมปลอยให

มันถามคําถามโง ๆ อีกตอไป ผมฝกมันโดยสอนมันวาคําถามอะไรบางที่ตองใชบอย ๆ และอะไรบางที่

ตองหยุดถาม ผมสนุกกับการแทรกแซง หากผมไปแทรกแซงคนอื่น ผมอาจถูกตราหนาวา “เสือก” แต

การแทรกแซงระบบใหญของตนเองนั้น เปนเรื่องที่ดีที่สุดที่มนุษยควรทํากับตนเอง และผมจะแทรกแซง

สมองและจิตใจของผมไปตลอดกาล

ผมเขาแทรกแซงความเชื่อโดยการคัดสรร แบบไหนที่มีพลังก็เก็บไว แบบไหนไรพลังผมก็

ส่ันคลอนมันและปลดมันทิ้งซะ นอกจากนี้ผมยังแทรกแซงใหสมองสรางความเชื่อใหม ๆ ที่ตอบสนอง

ตอความตองการของผมมากขึ้น

ผมแทรกแซงการคาดหวังของผม ผมสั่งใหสมองมีทางเลือกเดียวคือ คาดแตส่ิงดีไวกอน ผม

เปนหมอดูที่ทํานายเฉพาะชะตาชีวิตของผมคนเดียวเทานั้น ผมไมเสียเงินใหหมอดูคนอื่นเพราะวาผม

รูจักระบบใหญภายในตัวผมดียิ่งกวามนุษยคนไหนในโลก ผมไมเสี่ยงเซียมซี เพราะวาผมอานแต

ถอยคําดี ๆ ที่ผมพกติดตัวไว ผมฝกสมองใหคาดหวังอยางเลอเลิศวาชีวิตจะสวยสดงดงามและสิ่งดี

กําลังอยูในเสนทางของมันที่ตรงเขามาหาผม และผมก็กําลังอยูบนเสนทางที่ตรงเขาไปหามัน ผม

แทรกแซงบอยครั้งดวยเทคนิคการสรางจินตภาพ

110

Page 111: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

ผมแทรกแซงเขาทัศนคติของผม ผมส่ังสมองใหใชเฉพาะมุมมองหรือความคิดเห็นที่มันเปน

ประโยชนอยางแทจริง นอกนั้นก็จงอยาไดไปริเปนอันขาด ผมบอกสมองวาการกระทําอะไรก็ตามที่มัน

ขวางโลก ขวางตัวเอง ก็จงยุติเสียเพราะวาผมไมอนุญาต

จะวาไปแลว เร่ืองที่ผมเขาแทรกแซงระบบใหญไดรุนแรงมากที่สุด ก็คือเร่ืองความรูสึกของผม

ผมเปลี่ยนไปอยางมหาศาลก็เพราะเรื่องนี้ ผมฝกที่จะรูจักกกับความรูสึกเชิงบวกอีกหลาย ๆ แบบ

สมองและจิตใจของผมมันโง มันไมจําเจหรือเบื่อหรือไงกับอารมณความรูสึกเจ็ดแปดอยางที่ผมมี

ประสบการณมากวาสี่สิบปแลว ผมจึงตองแทรกแซงมัน ไมงั้นมันก็จะรูสึกไดเทาเดิมหรือแบบเดิม ผม

เปดเพลงและดิ้นสุดเหวี่ยงแตเชามืด… สมองจะไดรูวามันเปนความรูสึกยังไงกับภาวะสุดเหวี่ยง ผม

เลิกนิสัยกินอาหารจําเจเพื่อแทรกแซงใหสมองไดชิมความรูสึกใหม ๆ เสียบาง ผมไปดูหนังสัปดาหละ

หนึ่งเรื่องเพื่อทําใหสมองมันรับรูวามันจะรูสึกอยางไรเมื่อเทียบกับการดูหนังที่บาน ผมออกไปเรียน

ภาษาจีนก็เพื่อจะรูสึกวามันรูสึกดีแคไหนกับการไดพูดกับคนอ่ืนดวยภาษาที่สาม ผมตีปงปองกับลูกทุก

วันเพื่อเรียนรูอีกครั้งวาความสนุกสนานแบบเด็กที่ผมลืมไปคืออะไร (เด็กชางสนุกสนานงายจริง ๆ ) ผม

ตะโกนเสียงดังในรถบอย ๆ ก็เพื่อปลุกใจใหมันรูสึกกระตือรือรนและฮึกเหิม ผมไปที่รานหนังสือบอย ๆ

ก็เพื่อไดเห็นหนังสือเลมใหมมากมายที่ออกอยูเร่ือยและผมรูวานิสัยรักการอานของผมจะทําใหผมไมมี

วันเหงา ผมเลนหมากลอมวันละหนึ่งกระดานทางอินเตอรเนตเพื่อลับคมสมองใหมันฉับไวอยูเสมอผม

เดินบนลูวิ่งสายพานวันละสามถึงหากิโลเมตรก็เพื่อสอนใหจิตใจมันชื่นบานและรับรูวาผมแข็งแรง

ขนาดไหน ผมเตนแอโรบิคเพื่อสอนใหสมองมันรูวา… การเคลื่อนไหวอยางไรขีดจํากัดนั้นจะให

ความรูสึกดีอยางไร เชื่อมั่นอยางไร และกระทบตอความรูสึกโดยรวมอยางไรและอื่น ๆ อีกมากมาย

เหลือเกินที่ผมจงใจทําสิ่งหลากหลายเพื่อแทรกแซงระบบใหญของผมใหมันมีประสบการณกับ

ความรูสึกดีหลายแบบ เชน ตื่นเตน เราใจ ซาบซา ชื่นบาน กระฉับกระเฉง ปติยินดี ราเรงิ พงึพอใจ และ

ยิ้มแยมแจมใส

คุณผูอานที่รัก คําวา “การเปลี่ยนแปลง” นั้น มีผูคนใชกันดาษดื่นทั่วไป สวนคําวา “เขา

แทรกแซง” มักถูกมองในแงลบ อยางไรก็ตามหากจะมีความคิดใดที่ทรงพลังและเฉลียวฉลาดที่สุดสัก

ความคิดหนึ่งแลวละก็… นั่นก็คือการเขาไปแทรกแซงระบบใหญภายในตัวเราดวยตัวเราเอง ถามวา

ทําไมตองแทรกแซงนะหรือ? การรอคอยใหระบบใหญเปลี่ยนแปลงเองนั้น… ไมรูวาเมื่อไหร แตการเขา

แทรกแซงคือการเขาไปเปลี่ยนเดี๋ยวนี้ แลวแทรกแซงไปทําไมละ? ก็เพื่อใหความคิด กรอบความคิด

คําถามที่ใช ความเชื่อ การคาดหวัง ทัศนคติ อารมณความรูสึก การกระทํา และผลลัพธตาง ๆ ดีข้ึน

อยางกาวกระโดด ผมเชื่อมั่น 100% วา การเขาแทรกแซงในเชิงสรางสรรคตอระบบใหญภายในตัวเรา

โดยเจตนา คือแนวความคิดที่สูงสงที่สุด ประการหนึ่งแหงสติปญญามนุษยทีเดียว เมื่อพวกเราได

เดินทางกาวไกลมาถึงที่นี่ในหนานี้ พวกเราสามารถเขาใจตนเองและมีเครื่องมือหลายตัวไวใชในการ

ดําเนินชีวิต บัดนี้มันถึงเวลาแลวที่พวกเราจะกาวเขาสูภาคที่ 3 ซึ่งเปนภาคที่วาดวยเทคนิคการดึงดูด

111

Page 112: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

ทุกสิ่งที่เราตองการใหเขามาหาเรา เมื่อพวกเราไดศึกษาจนทะลุปรุโปรงแลว เราจะรูสึกวามันงายกวาที่

คิดไวเยอะ ไปลุยกันเถอะพวกเรา

112

Page 113: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

ภาคที่ 3 วิธีดึงดูดสิ่งที่คุณตองการ

113

Page 114: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 1 อํานาจที่กระตุนใหมนุษยลงมือทํา

อะไรเลาที่อยูเบื้องหลังเราที่คอยผลักดันใหเราทําโนนทํานี่อยูเร่ือย อะไรเลาที่คนทุกชาติทุกภาษาลวน

เหมือน ๆ กันนอกจากการมีรางกายและจิตวิญญาณ แรงขับหรือแรงผลักดันใหพวกเราลงมือกระทําก็

คือ “ความขาดแคลนหรือความจําเปนทั้งเจ็ด” ที่พวกเราจําเปนตองไดมามิเชนนั้นแลวพวกเราจะอยู

รอดไมไดหรือไมมีความสุขเลย พวกเราไปดูกันหนอยวา “ความขาดแคลนหรือความจําเปนทั้งเจ็ด” มี

อะไรบางที่เปนแรงขับใหเราอยูนิ่งไมได

1. ความแนนอนเพื่อการอยูรอด

สําหรับอากาศ และน้ําดูไมนาเปนหวงเพราะวามันมีมากอยูแลวในธรรมชาติ แตอาหารสิใช

เลย สมมติวาผมและพวกเราไมมีความแนนอนแมแตอาหารมื้อถัดไป พวกเราก็จะไมคิดอะไร

เลยนอกจากจะหาหรือเอาหรือไดอาหารมื้อถัดไปนี้ไดอยางไร? ความขาดแคลนนี้ (หรือความ

จําเปนนี้) จะเปนตัวขับใหเราลงมือทําทุกอยางเทาที่เราจะทําไดเพื่อส่ิงนี้กอน ฉะนั้น อาหาร

เสื้อผา ที่อยูอาศัยและยารักษาโรค (ปจจัยสี่) คือพลังขับเคลื่อนชีวิตที่กระตุนใหคนเราลงมือ

เพื่อสรางความแนนอนในสิ่งเหลานี้กอน ตราบใดที่ปจจัยสี่ยังไมแนนอน ตราบนั้นมันก็จะเปน

ตัวกระตุนตลอดกาล ลองจินตนาการวาพวกเราไมมีอะไรจะกินอยางสิ้นเชิงแมแตขาวสักจาน

ดูสิ ทุกลมหายใจเขาออกและทุกขณะจิตของพวกเราจะคิดและหมกมุนถึงอะไร? และตอให

พวกเราพอมีอันจะกินอยูบาง แตยังอัตคัดขัดสนอยูมาก สมมติวาพวกเราเปนคนแบบที่หาเชา

กินค่ําจริง ๆ แลวพวกเราจะวิตกถึงอะไรละ… ก็ความแนนอนเพื่อการอยูรอดไง และเจาสิ่งนี้

จะเปนตัวกระตุนใหเราดิ้นรนเพื่อความอยูรอดไปเรื่อย ๆ อะไรละที่ผลักดันใหพวกเราลงมือ

ทํางานทุกประเภทได ก็อาหารเครื่องนุงหม ที่คุมหัวนอน และยารักษาโรคไง

คนจํานวนเยอะมากยังอยูในสภาพนี้คือดําเนินชีวิตดวยแรงกระตุนตัวนี้มากที่สุดแม

การกระทําอาจหลากหลายและแตกตาง แตแรงกระตุนคือตัวเดียวกัน ตอใหเปนผูคนที่

ตางชาติ ตางภาษา ตางวัฒนธรรมและจารีตประเพณีก็ตาม แตความขาดแคลนเรื่องปจจัยสี่

หรือการขาดแคลนเรื่องความแนนอนเพื่อการอยูรอดนี้ เปนความจําเปนที่เราตานทานไมได

และมันจะเปนแรงกระตุนที่เหมือนกันทั่วโลก ทําไมคนทั่วโลกถึงคลั่งเงินกันนักละ? คําวา

“เงิน” นี้…โอ มันชางสรางอารมณไดมากละ? ก็เพราะวาคนทั้งโลกรูวามันเปนสื่อกลางในการ

นําไปแลกสิ่งที่พวกเขาขาดแคลนหรือไมมีไดฉะนั้น คนเราจึงถูกสงไปเรียนหนังสือโดยพอแม

ของพวกเขาหวังวามันจะเพิ่มโอกาสในเรื่องความแนนอนของการอยูรอด และในขณะเดียวกัน

114

Page 115: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

ก็เพิ่มโอกาสที่จะไดความแนนอนเขามาตุนไวมาก ๆ คนจํานวนมากคลั่งเงินก็เนื่องจากวามัน

เปนแรงกระตุนตัวแรกนั่นเองและเมื่อคนเรามีปจจัยสี่จนลนเหลือแลว แรงกระตุนในดานนี้ก็จะ

ลดลงหรืออาจหมดลงไปเลยก็ได

โปรดจําไววามนุษยสนใจแตส่ิงที่เขาตองการ (คําวา “ตองการ” นั้น มันแปลวา “ฉันยัง

ขาดแคลนมันอยู”) และมีแต “ส่ิงที่ตองการ” เทานั้นที่กระตุนหรือเปนแรงขับใหมนุษยลงมือทํา

เพื่อลบความขาดแคลนนั้นออกไป หาไมแลวสิ่งนี้ก็จะกระตุนเขาไดอยูตลอดไปตราบใดที่เขา

ยังตองการมันอยู พวกเราลองคิดดูสิ หาดพวกเราพูดวา “ฉันไมตองการไอนี่” แลวเปนไปได

ไหมวาพวกเราจะยอมลงมือทําเพื่อใหไดมันมา… ไมมีทาง ตรงกันขามที่พวกเราทํางานกัน

สารพัดนั้น ก็เพราะพวกเรารูวา พวกเราจําเปนตองหาเงินเพื่อสรางความแนนอนไวระดับหนึ่ง

เสมอ ไมงั้นพวกเราก็จะรูสึกวาวิตกกังวลและไรสุข อนึ่ง ความจําเปนในเรื่องความปลอดภัย

นั้น มันก็คือความแนนอนอีกอยางหนึ่งที่เปนแรงขับหรือแรงกระตุนใหพวกเราลงมือทําในสิ่งที่

สอดคลองจําเปน แตผมจะละไวในฐานะที่พวกเราพอเขาใจกันดีอยูแลว

2. ความหลากหลาย

เมื่อพวกเรามีความแนนอนจนมากไป พวกเราจะเปนไง… ความเบื่อหนายไงสมมติวาตัวผม

นั้นไดกินไอศกรีมรสวนิลา ทุกวัน เนนทุกวัน ผมยอมเบื่อบางเปนธรรมดา หากนองสาวผมขับ

รถมาที่บานผมแลวซื้อไอศกรีมวนิลามาฝากผมอีก ผมจะรูสึกไง…เฮออออ เซ็งวะ จะเปนไงถา

เผอิญเปลี่ยนเปนรสชาเขียว อืมมมม เยี่ยมไปเลย ในทํานองเดียวกัน ถาพวกเรามีเสื้อสีน้ําเงิน

กวา 100 ตัวแลว และใสสีนี้ทุกวัน พวกเราจะจําเจไหม? แลวสีอ่ืน ๆ อีกมากมายละหายไป

ไหนหมด ฉะนั้นเมื่อถึงจุดอิ่มตัว สีน้ําเงินดึงดูดใจพวกเราไมไดอีกตอไปแลว ฉะนั้นความ

หลากหลายตางหากที่จะสามารถกระตุนใหพวกเราลงมือทําเมื่อเราผานสภาวะความแนนอน

ไปแลว พวกเราอยากไดอะไรที่มัน “เซอรไพรส” (ความประหลาดใจหรือส่ิงที่คาดไมถึง) หนอย

ทั้งนี้เพราะวา ภาวะความหลากหลายนั่นเองที่พวกเราขาดแคลน มันจึงกลายเปนความจําเปน

ที่กระตุนใหเราลงมือทําไดลองพิจารณาสิ่งเหลานี้ดู

ผมขับรถไปพักผอนที่หัวหินเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศจากการหมกตัวอยูที่กรุงเทพฯนาน

เกินไป ผมตองการความหลากหลายซะบาง มันจึงกระตุนผมใหลงมือเดินทางไปได นี่ถาผมไม

มีแมแตอาหาร ขนมปงสักกอนที่จะยัดใสทอง ผมจะมาสนใจเรื่องการขับรถไปหัวหินเพื่อ

เปลี่ยนบรรยากาศไดหรือ! เห็นไดชัดวาผมไดผานพนสภาวะของการขาดแคลนความแนนอน

ไปแลว แตในบางขณะผมรูสึกวาผมขาดแคลนความหลากหลาย ดังนั้นผมจึงทําไปตามแรงขับ

ตัวนี้ในบางโอกาส

115

Page 116: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

ที่นักดนตรียังแตงเพลงใหม ที่ผมยังเขียนหนังสือเลมใหมที่โรงหนังรีบเปลี่ยนโปรแกรม

หนังใหม ที่คนเราเปลี่ยนโทรศัพทมือถือรุนใหมอยูเร่ือย ที่พวกเราตัดผมทรงใหม ยอมสีผมใหม

ๆ ที่ผมและพวกเราไปช็อปปงกันบอย ๆ ที่พวกเราบางคนไปโดดแมแตบันจี้จัมป เลนสกี ดําน้ํา

เที่ยวทะเล ปนภูเขา ไตหนาผา เลนเครื่องบิน บังคับวิทยุ ไปขี่มา ไปซอมยิงปน ไปฝกเตนราํ ไป

เรียนภาษา ฯลฯ ทั้งหมดนี้คือความหลากหลายที่พวกเราตองการ หากวาตอนนี้พวกเราทั้งเนื้อ

ทั้งตัวเหลืออยู 20 บาทจะเปนไง… ความหลากหลายจะไมมีวันกลายเปนตัวกระตุนหรือแรง

ขับใหพวกเรามือปฏิบัติอะไรก็ตามเพื่อใหไดพวกมันมาเปนอันขาด

3. อยากไดรับความสําคัญ

นอกจากที่เราตองสนองความจําเปนสองประการแรกแลวเรายังอยากใหตัวเรามคีวามหมาย มี

ความสําคัญ ที่เราทํางานก็เพื่อความมั่นคง แตเมื่อเรามีฐานะทางการเงินที่มั่นคงมากขึ้นแลว

เงินเดือนสูงหรือสภาวะรายไดดีเพียงลําพังยอมกระตุนเราไดนอยลง เรายังอยากมีเกียรติยศ มี

ศักดิ์ศรี ความภาคภูมิใจไดรับการยอมรับนับถือ และความรูสึกอื่น ๆ อีกมากเกี่ยวกับวา …

เรานั้นก็มีความสําคัญและมีตัวตนอยู แรงกระตุนตัวนี้แหละที่บงการเราใหทําหลายสิ่งที่

ตามปกติเราจะไมทํา แตบางทีเรายอมเสียสละและทุมเทเพราะอะไรละ? หากวานั่นอาจนํามา

ซึ่ง “การไดเปนคนสําคัญ” เราก็อาจยอมทําเพราะวาความขาดแคลนในดานนี้อาจกําลังเปน

แรงขับดันหลักถาหากวาเราปรารถนามัน และเผอิญวาในตอนนั้นความขาดแคลนในดานอื่น

ไมไดรบกวนเรามากจนเกินไป นี่จึงเปนเหตุผลที่วาทําไมบริษัทใหญถึงตองจัดงานประกาศ

เกียรติคุณอยูเร่ือย มีการมอบโล มอบถวย ทําปายประกาศใหทุกคนรู และมอบรางวัลที่พิเศษ

บางอยางให บริษัทเหลานี้รูดีวาคนบางคนเอาแตเงินไปกระตุนไมคอยได แตเอา “ความรูสึกวา

ฉันสําคัญ” ไปกระตุนได คนบางคนทํางานถวายหัวเมื่อรูสึกวา “ฉันไดรับการยกยองและ

ยอมรับ” เปรียบเหมือนกับมาที่มันจะกินน้ําเพราะวามันกระหาย คนเราหากกระหายอะไรก็

ตาม คนเราก็จะลงมือทําทุกอยางเพื่อดับความกระหายนั้น มันจึงเปนสิ่งที่จะมองขามไมได

ในเรื่องอื่นก็เชนกัน การที่เราจะไปขอรองใหใครชวยเหลือ หรือรวมมือกับเรานั้น การ

บังคับยอมทําไดยาก แตการปฏิบัติตอพวกเขาอยางคนสําคัญยอมเปนกลยุทธที่ชาญฉลาด มี

หลักคําสอนที่ดีมากประการหนึ่งสอนไววา “จงปฏิบัติตอคนอ่ืนอยางที่เราอยากใหเขาปฏิบัติ

ตอเรา” ฉะนั้นถาอยากไดรับความรูสึกวา “ฉันเปนคนสําคัญ” กลับมา จงมอบความรูสึกวา

“คุณเปนคนสําคัญ” ตอคนอื่นเสมอ หากวาใครก็ตามที่ปฏิบัติตอเราอยางไมแคร ไมสน และ

ไมแยแส แลวเราละ เราก็มักจะไมแคร ไมสน ไมแยแส และไมอยากเขาใกลคนแบบนั้นไมใช

หรือ? อยางไรก็ตาม ผมอยากใหพวกเรามุงเนนและเขาใจ “การไดเปนบุคคลสําคัญ” ยอมเปน

116

Page 117: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

ความตองการของผูคนเสมอ ไมวามันจะซอนอยูตื้น ๆ หรือลึกสุดที่กนบึ้งแหงหัวใจของพวก

เขาก็ตาม

อนึ่ง มีส่ิงหนึ่งที่แมไมเกี่ยวของโดยตรง แตผมอยากใหขอมูลเพื่อใหพวกเรารูวา…

มนุษยมีความสําคัญขนาดไหน ประเด็นแรกคือ การตั้งครรภของสตรีทานใดก็ตาม สิทธิ์ที่วา

ดวยการทําลายเด็กในครรภทิ้งไดหรือไมนั้น เปนปญหาโลกแตกที่ถกเถียงกันมานานและมีขอ

กฏหมายที่ซับซอนมาก นักปรัชญาเถียงกันมานานยังหาขอสรุปไมไดเลย เพราะวามันมีคํา

ถามมากจริงหายขอ เชน ตัวออนในครรภมารดาถือวาชีวิตเปนมนุษยตั้งแตเมื่อไหร?คําถามนี้

ก็อวกแลววาจะตอบอยางไร คําถามที่สอง ถาในกรณีที่เลือกรักษาชีวิตคุณแมไดแตลูกใน

ครรภตาย และกลับกัน ถารักษาลูกในครรภไวไดแตคุณแมก็ตองตาย ใครตอบไดวาชีวิตไหน

กันแนที่มีสิทธิ์อยูไดตอไป? ในเชิงความรูสึกเราอาจตอบวาแมสิที่ตองมีสิทธิ์อยูตอไปแตถาเจา

เด็กทารกมันพูดไดละก็ มันอาจไมเห็นดวย ที่ยุงไปกวานั้นคือ ถาตัวคุณแมเองยอมตายละ…

คุณหมอมีสิทธิ์ทําตามคําขอนี้หรือ? คุณหมอจะพนความผิดฐานฆาคนตายโดยเจตนาไดหรอื?

มมติคุณแมคนนี้ทนไมไดจริง ๆ หากลูกของเธอตองตาย แลวเธอดึงดันกับคุณหมอตอไปวา

ถาไมรักษาลูกฉันไว ฉันจะฆาตัวตาย คราวนี้อาจจะมีการตายเพิ่มเปนสอง… ปวดหัวไหม

แบบนี้?

บางทีเมื่อพวกเราไดเขาใจถึง “สิทธิ์ของเสียงขางนอย” พวกเราอาจยิ่งเขาใจวาความ

เปนมนุษยนั้นสําคัญยิ่ง แมวาประเทศสวนใหญปกครองดวยระบบประชาธิปไตยที่ใชเสียงขาง

มากเปนใหญก็ตามแตนั้นไมไดแปลวาไมมีขอบเขตโดยเฉพาะอยางยิ่งเมื่อตองเกี่ยวของกับ

ความเปนความตายของผูคน สมมติวาผมอยูในชุมชนแหงหนึ่งที่มีประชากร 10 คน และ

สมมติวาโดยที่ไมมีเหตุอันใด จู ๆ คนทั้งเกานั้นไดประชุมกันวา “พวกเราลงมติเปนเอกฉันทถึง

เกาเสียงวานายวันชัยตองตายไปซะ” ส่ิงที่ผมจะพูดคือ “มีอยูหนึ่งเสียงที่ไมเห็นดวย… คือตัว

ผมเองไง” เพียงเทานี้ผมก็จะปลอดภัย นี่แหละคือตัวอยางหนึ่งของ “สิทธิ์ของเสียงขางนอย”

ดังนั้น ถาหากวาจะมีผูคนจํานวนหนึ่งในโลกนี้ที่บาขนาดลารายชื่อเพื่อลงมติวา “ชีวิตของพวก

เราแมเพียงแคใครสักคนหนึ่งก็ตามไมสําคัญ” ขอใหพวกเราจงปฏิบัติโตตอบกลับไกดวยความ

โคตรสงบและโคตรเรียบงายวา “แตมีอยูเสียงหนึ่งที่ไมเห็นดวย… และเสียงนั้นคือเสียงของฉัน

เองโวย… ไอพวกบา” คุณผูอานที่รัก มันเปนเรื่องปกติที่พวกเราตองการความสําคัญในระดับ

ใดระดับหนึ่งเสมอ ตอนนี้เราไปดูความจําเปนหรือความตองการที่เหลือกันเถอะ

117

Page 118: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

4. อยากมีความสัมพันธ อยากมีการเชื่อมโยง

ถึงจุดหนึ่ง เรายอมอยากมีคนรัก อยากเปนที่รัก อยากมีเพื่อนรักอยากมีครอบครัวที่อบอุน

อยากจะอยูกับใครบางคนไปชั่วชีวิต อยากตั้งหลักปกฐาน อยากเปนฝงเปนฝา อยากแตงงาน

แลว ฯลฯ มันเปนธรรมชาติที่ชายหญิงนั้นดึงดูดกัน เมื่อความจําเปนในดานอื่นไดรับการ

ตอบสนองแลว บางครั้งแรงขับดันที่ยิ่งใหญตอการกระทําทั้งปวงของพวกเราคือการแสวงหา

ความรัก วรรณกรรมมากมายเขียนเรื่องเกี่ยวกับความรัก จะมีตํานานเกาแกเลาขานถึงความ

รักแทมากมาย เชนถาเปนของจีนก็เชน เร่ือง “มานประเพณี” ที่ตอนจบฝายชายคือ หลยีงซาน

ปอและฝายหญิงคือจูอิงไถ ตองมาตายตามกันไปในเมื่อไมสมหวังในความรักและกลายเปน

ผีเส้ือสองตัวบินเคียงคูกันไป ผมขอแนะนําใหพวกเราหาซื้อเพลงนี้มาลองฟงดูเพราะวามัน

ไพเราะมาก (ชื่อเพลง The Butterfly Lovers Concerto) สวนตอนที่ผมยังเด็ก จําไดวาเคยไป

ดูหนังฝร่ังเรื่อง “ove Story” ที่แสดงโดย ไรอัน โอนีล และอาลี แม็กกรอว หนังเรื่องนี้มีสโลแกน

ที่ผม ไมมีวันลืมวา “หากจะรัก จงอยาลืมคําวาเสียใจ” สวนของไทยยิ่งมีเยอะเขาไปใหญ แต

ผมขอไมเอยถึงก็แลวกัน ยิ่งไปกวานั้น หนังสือในลักษณะรักกันยาวนานขามชาติกันไปเลยก็

ขายดิบขายดีเปนเทน้ําเททา ไมวาจะเขียนโดยคนไทย หรือฝร่ัง หรือจีน ถาเปนของจีนก็เชน

“เดชนางพญางูขาว” เร่ืองนี้ผมบังเอิญไดดูตอนเด็ก แตเหม็นขี้หนาพระอาจารยฟาไห (ตาม

ทองเรื่อง) ที่ยุงเรื่องหนุมสาวเคาจะรักกันไมเขาเรื่อง มีอยางที่ไหนแทนที่มุงเนนหนทางแหง

การรูแจง ดันไปยุงเรื่องผัว ๆ เมีย ๆ พระอาจารยฟาไหไดกอกรรมหนักโดยจับปศาจงขูาวไปขงั

ไวในเจดียขนาดจิ๋วที่อยูในกํามือของเขา และจะใหพระเอกของเรื่องบวชทาเดียว เดาสิวาเกิด

อะไรขึ้น พระเอกของเราทนไมไหวก็เลยเอาหัวพุงชนหินผาตาย และวิญญาณไดพบกับศรี

ภรรยางูขาวของเขาในสวรรค หนังสือแนวรักขามชาติขามภพเปนหนังสือขายดีเพราะวาอะไร

ละ คําตอบนั้นงายมาก อันวาหญิงชายไมของเกี่ยวกับความรักเลยจะมีหรือ? (ยิ่งไปกวานัน้คน

ไมนอยเชื่อในเรื่องบุพเพสันนิวาสหรือคูแทอะไรแบบนั้น เชนคําพังเพยที่วา “คูกันแลวยอมไม

แคลวกัน” แตพอเลิกรากันไปก็พูดวา “ก็มันหมดวาสนากันแคนี้ ก็มันทําบุญรวมกันมาเทานี้”

สรุปวาคําอธิบายจนไดทุกยุคทุกสมัย คําสอนที่วา “จะจีบสาวใหหมั่นเกี้ยว” ยอมบอกเปนนัย

วาอยากไดความสัมพันธมันตองขยันหนอย แตจะขยันไดก็ตอเมื่อมันตองมีแรงขับหรือกระตุน

ของความขาดแคลนที่อยูเบื้องหลังใหลงมือทําเสมอ

ทุกวันนี้ หลายคนไมมีความสุขเพราะไมสมหวังในความจําเปนเรื่องนี้ หลายคนที่ผม

รูจักที่ดูเพรียบพรอมไปหมดกําลังทนทุกข พวกเขาบอกผมวา “ชีวิตของฉันวางเปลา ฉันไมมี

ใครเลยสักคน ฉันไมมีคนรูใจ ฉันอยากแตงงานแลวแตฉันหาคนที่เหมาะสมไมได ฉันพยายาม

แลวนะ แตมันไมเคยลงตัว และตอนนี้ฉันเหงาและหดหูใจมากกับเร่ืองนี้ บางครั้งฉันรูสึกอยาก

118

Page 119: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

ฆาตัวตายนะ” นี่คือเร่ืองจริงที่เกิดขึ้นกับคนไมนอยเลย มันเปนเรื่องปกติมากที่คนเราอยากมี

ครอบครัว และตราบใดที่ความปรารถนานี้ไมไดรับการตอบสนองจะไมมีอะไรในโลกนี้ทําให

พวกเขาสนใจไดมากกวาการไดรับความสัมพันธอยางแนนอน อะไรละที่พวกเราขาดในตอนนี้

เงินรึ ? ความหลากหลายรึ? ความสําคัญรึ? หรือวาความตองการสรางสัมพันธ… มันคืออะไร

กันแนที่ผลักดันเราไดมากที่สุดใหลงมือทําในตอนนี้

อยางไรก็ตาม อยาไดเขาใจผิดเชียววา… คนเปนโสดแยทุกคนเปลาเลย… มันไมได

แยขนาดนั้น เพื่อนผมอีกหลายคนไดใชชีวิตโสดที่เชื่อมโยงกับความสัมพันธในรูปแบบอื่น ที่

เห็นไดชัดคือ เขามีเพื่อนฝูงมากกวาผม พวกเขาสังสรรคกันบอย ไปรองเพลงดวยกัน ไปออก

กําลังกายดวยกัน ไปเตนรําดวยกัน ไปตางประเทศบอยกวาผมบางคนกําลังเรียนเพิ่มเติมอีก

และไดพบเพื่อนใหมมากขึ้น พวกเขาไปสโมสร ไปดื่ม ไปเฮฮาปารตี้ บางคนก็จมอยูกับโลก

ศิลปะพวกเขาสรางความสัมพันธกับส่ิงไมมีชีวิตมากกวาสิ่งมีชีวิต แตมันก็สําคัญมากสําหรับ

เขา เพราะเขาทํามันเพื่อตัวเขาและโลกนี้ และยังมีกิจกรรมอีกมากที่จาระไนไดไมมีวันหมด ส่ิง

เหลานี้ถือไดวาเปนการสรางการเชื่อมโยงหรือความสัมพันธที่อาจเปนไปไดทั้งสิ้น พวกเขาจะ

พยายามเติมในสิ่งที่พวกเขาคิดวาขาดและจะรูสึกวาชีวิตไมไดวางเปลาจนทนไมได บางครั้ง

พวกเขาอาจมีความสุขมากกวาคนที่มีความสุขมากกวาคนที่มีครอบครัวก็ได มันเปนสิ่ง

เปรียบเทียบที่ตัดสินตามใจชอบไมไดหรอก ใครจะกลาพูดวา “คนแตงงานมีความสุขมากกวา

คนเปนโสด” ไดละ? แตผมสรุปไดวาพวกเราจะมีความตองการในการสรางรูปแบบของ

ความสัมพันธเสมอ ไมวากับคน วัตถุ หรือนามธรรม ๆ ก็ตาม และเราจะรูสึกโอเคไดก็ตอเมื่อ

เราไมไดรูสึกวา… เราขาดแคลนอยางสิ้นเชิง ไมเชนนั้นแลว เราจะทุกขทรมาน โปรดจาํไววา…

ความตองการหรือความขาดแคลนจะหายเปนปลิดทิ้งหรือหมดความสําคัญลงไปเลย… เมื่อ

เราไดมันมาแลว

คุณผูอานที่รัก มีเร่ืองนาอายนิดหนอยเรื่องหนึ่งที่ผมจะเลาใหฟง ผมนั้นคลั่งไคลอยาก

ไดเพลงฝรั่งชื่อ “father of days father of nights” คร้ันผมไดมันมา ความขาดแคลนของผมก็

หมดไปความอบอุนใจวามันอยูกับผมแลวไดทําใหผมไมใสใจกับมันอีกตอไป มันราวกับวาผม

ไมไดตองการมันสักเทาไหรเลยทั้ง ๆ ที่เมื่อกอนอยากไดสุด ๆ แตดูสิพอไดมาแลว ความรูสึกก็

ลดลงไปมากอยางไมนาเชื่อ อยูมาวันหนึ่งผมจะเอามันมาเปดฟงแตวาหามันไมพบ ความขาด

แคลนไดเกิดขึ้นในทันที แลวผมก็รูสึกวาชางตองการมันมากเหลือเกิน ทุกวันนี้ผมก็ยังรูสึกวา

ตองการมันอยู เพราะวาความขาดแคลนที่เกิดขึ้นยังไมไดสะสาง มันจึงไมหมดไปจากใจผม

ส่ิงที่ผมเลานี้เพื่อเตือนใจวา “สรรพสิ่งในโลกนี้จะมีความหมายและความสําคัญที่พุงสูงสุดตอ

ความรูสึกของเราก็ในวันที่เราไดสูญเสียมันไปแลว” นี่แหละคือการทํางานของมัน เมื่อใดที่เรา

119

Page 120: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

ขาดแคลนอะไรและเรายังอยากไดมันอยูส่ิงนั้นจะกลายเปนแรงขับแหงการกระทําของเรา

ผูคนในโลกนี้เปนอยางนี้เสมอไมวาจะรูตัวหรือไมก็ตาม

5. ตองการความกาวหนา และการเจริญเติบโต

นอกจากเราตองตอบสนองตอความจําเปนหรือความขาดแคลนหลาย ๆ อยางที่กลาวมาแลว

พวกเราพอหรือยัง… ยัง!!! พวกเราอยากใหธุรกิจของเราเจริญกาวหนาไหม อยากใหมัน

เจริญเติบโตไหมอยากจะมีเงินทองที่เก็บสะสมมากขึ้นไหม อยากใหครอบครัวโตขึ้นมีทายาท

สืบตระกูลและสืบทอดธุรกิจตอไปไหม? พนันไดเลยวาอยากนอกจากนี้เรายังอยากมีขาวของ

เครื่องใชใหมากขึ้น? ผมวาคงหายากเต็มทีตราบใดที่มนุษยยังมีปญญาซื้อเพิ่ม บางทีเราซื้อ

บานเพิ่ม ซื้อคอนโดมิเนียม ซื้อที่ดินเปลาเก็บไวเลน ๆ แคหาสิบปเอง (ผมประชดนะ) เราซื้อ

คอมพิวเตอรตัวที่สิบแลวกระมังเพราะวาดันอยากไดรุนลาสุดอยูเร่ือย ผมมีรองเทาแคสองคู

เอง… ตอใหอมพระมาพูดก็เถอะจะมีใครเชื่อผมเหรอ!!! ผมซื้อ และพวกเราก็ซื้อ ก็ของมัน

เยอะมากนี่ครับ เอะแลวพวกเขาผลิตไปมากมายเกินกวาคนซื้อไปทําไมกันนี่… พวกเขาก็

อยากเติบโตเชนกัน เวลานี้มีรานขายโทรศัพทมือถือเยอะไหม… แนนอน ถาพวกเขาไมเชื่อวา

มันจะขยายตัว พวกเขาจะเปดไปทําไมกันละ สวนคนที่ทํารานอาหารบางเจามีกวา 200 สาขา

เขาไปแลว สวนแบรนดตางประเทศอยาไดริไปนับเชียว…เหนื่อยตายเปลา มีใครบางไหมที่

เปดหนึ่งสาขาแลวหยุด ไมมีทาง พวกเขาขยายธุรกิจเปนวาเลนและบุกแหลกเมื่อมีโอกาส ส่ิง

เหลานี้ลวนชี้ชัดวา มนุษยมีความตองการที่จะเจริญเติบโตอยางไมมีที่ส้ินสุด

คราวนี้หันมาสนใจพวกเราเองกันหนอย พวกเราก็อยากจะเกงขึ้น มีความสามารถ

มากขึ้น มีทักษะมากขึ้น มีหนาที่การงานที่ดีข้ึน มีสุขภาพที่ดีข้ึน พูดภาษาไดหลายภาษามาก

ข้ึน อานหนังสือมากขึ้น เขาใจชีวิตมากขึ้น และมีคุณภาพชีวิตโดยรวมที่ดีข้ึน พวกเราตองการ

การเจริญเติบโตทางดานประสบการณ ความคิดอาน และความมั่นคงตาง ๆ เห็นไดชัดวาเมื่อ

พวกเราดิ้นรนจนพนสภาพอดตายมาได แตเราไมมีทางหยุดแคนั้นหรอก พวกเรายังตองการ

ความเจริญกาวหนาทั้งในชีวิตสวนตัวและหนาที่การงานอีกมากนี่คือวิถีของชาวโลก พวกเรา

ไมใชคนแบบ “ตําขาวสารกรอกหมอ” หรอก พวกเราฉลาดกวานั้นแยะ (แมวาจะมีคนเชนนั้น

อยูบางก็ตาม แตนั้นไมใชแบบอยางที่เราจะเลียนแบบอยูแลวนี่) ดังนั้น แรงขับอีกแรงหนึ่งที่อยู

เบื้องหลังในการกระทําของเราจึงคือความตองการเรื่องการเจริญเติบโตอยางปฏิเสธไมได

120

Page 121: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

6. อยากชวยเหลือแบงปน

เมื่อถึงจุดหนึ่งที่เราเพรียบพรอมไปหมด เราจะรูสึกอยากตอบแทนอะไรบางอยางตอโลกนีท้ีเ่รา

ไดเกิดมา เชน การทําบุญ การสรางกุศล การบริจาคเงินในโครงการตาง ๆ การสรางวัด สราง

โรงเรียน ตั้งมูลนิธิ การสนใจที่จะอนุรักษปา คุมครองสัตวปา การรักษาสิ่งแวดลอม เขียน

หนังสือเพื่อใหความรู ไปใหวิชาการเพื่อถายทอดประสบการณตามคําเชิญ หรือแมแตการเลน

การเมืองเพื่อรับใชประชาชน เราอยากจะให เราอยากไดชวยเหลือคนอื่นหรือสังคมในทางใด

ทางหนึ่ง และแนนอนวาถาเราไมไดทํามันละก็… เราจะรูสึกวาเราขาดแคลน!!!! (ผมใส

เครื่องหมายตกใจถึงหาอันเพื่อย้ําวามันเปนอาการขาดแคลนประการหนึ่งหากเราตองการแลว

ไมได) ฉะนั้น แรงกระตุนนี้ก็จะทําสิ่งที่เรียกวาการกุศลหรือสาธารณประโยชนเปนการใหญ

นั่นแหละความจําเปนหรือความรูสึกขาดแคลนภายในตัวเราถึงจะบรรเทาลงได ฉะนั้น คนบาง

คนที่อยูในสภาวะนี้จะตาโตถาเราชวนเขาทําบุญ แตจะไมตื่นเตนอะไรถาเราไปชวนเขาทํา

การคา (ก็เขามีจนเพียบแลว เขาไมไดขาดแคลนเรื่องการคาสักหนอย) ผมเชื่อวาพวกเราคงพอ

เขาใจแลววาทําไมคนเราทําในสิ่งที่เขาทํา ก็เพราะวามันมีแรงกระตุนจากความขาดแคลนหรือ

ความจําเปนหรือความตองการนั่นเอง

7. ความตองการทางจิตวิญญาณ

ความขาดแคลนหรือความจําเปนประการสุดทายที่มนุษยมีความตองการไปตลอดกาลคือ

ความตองการทางจิตวิญญาณ มันอาจเปนแคความตองการที่จะมีความสงบสุขทางใจ หรือ

อาจเปนนามธรรมตาง ๆ อ่ืนใดก็ไดเร่ือยไปจนถึงการรูแจง คนที่บวชไมสึกที่จริงจังกับการบวช

คือตัวอยางที่ชัดเจนของความตองการทางดานนี้ หากวาเราไดมีคุณสมบัติทางจิตวิญญาณ

อยางครบถวนแลว พวกเราชาวมนุษยก็จะไมขาดแคลน ไมมีการแสวงหาทางดานจิต

วิญญาณอีกตอไปแตดวยความขาดแคลน มันไดเปนแรงขับใหมนุษยหาทางเขาใจตนเองใน

ลักษณะเฉพาะตัว การกําเนิดขึ้นของศาสดา และศาสนาตาง ๆ ในประวัติศาสตรยอมเปน

หลักฐานวามนุษยมีแรงกระตุนในดานนี้อยูตลอดมา

อยางไรก็ตาม พวกเราโปรดอยาเขาใจผิดวาฆราวาสที่ครองเรือนอยางเราไมมีความ

ตองการทางจิตวิญญาณ ลองจินตนาการวาพวกเราไมมีความสงบสุขจากภายในอยูเลย พวก

เราจะอยูไหวหรือกับชีวิตเชนนั้น มันแปลวาเรามีสภาวะทางจิตวิญญาณที่ดีพอสมควรอยูแลว

เราไดรับการสั่งสอนทางศาสนา การไปวัด การทําบุญ และการปฏิบัติธรรมมาบางไมมากก็

นอยอยูแลว ดังนั้นการที่เราครองเรือนก็เพราะวาเราถูกกระตุนเรื่องความขาดแคลนดานอื่น ๆ

121

Page 122: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

มากกวาดานนี้ เราทําตัวเราไปตามแรงขับตัวที่มีอิทธิพลที่รุนแรงกวาเสมอ ดั่งที่ผมไดอธิบาย

มาแลว มนุษยเร่ิมคิดถึงการขโมยเมื่อเขากําลังจะอดตาย สวนแรงขับทางจิตวิญญาณที่วา..

จงอยาขโมยเพราะวาผิดกฏหมายและละเมิดศีลนั้น… มีแรงขับนอยมากเมื่อเทียบกับแรงขับ

แหงการอยูรอด มีคนนอยมากที่ยอมอดตายจริง ๆ เพื่อรักษาศีลที่หามการลักทรัพยหนึ่งขอ

เอาไวไมได คุณผูอานที่รัก ผมไมไดบอกวาการละเมิดศิลเปนเรื่องดี แตผมพยายามอธิบายสิ่ง

ที่เกิดขึ้นในโลกและผมเห็นวา… ใครก็ตามที่สามารถพิสูจนไดวา เขากําลังจะอดตายในมื้อ

ถัดไป (อาจไมไดกินอาหารมาหลายวันแลว) ผมคิดไมออกวาการหยิบผลไมของใครสักผลเพื่อ

กินเขาไปจะละเมิดศิลขอไหนได ตรงกันขาม หากพวกเรารูเชนนั้น พวกเราคงยื่นมือออกไป

ชวยเหลือเสียมากกวาที่จะปลอยใหคนคนหนึ่งตายลงไปจริง ๆ โดยที่เขาไดชื่อวาไรความผิด

บาปจากการถือศีล

ในบางครั้งที่เรารูสึกอับจน เราไปที่หิ้งพระ นั่งลงแลวก็สวดมนต นั่นก็คือแรงขับหนึ่งที่

ผลักดันใหเราแสวงหาทางออกทางจิตวิญญาณ สวนใครที่สวดมนตเสมอจนเปนนิสัยติดตัว

ผมขอสนับสนุนวามันชางยอดเยี่ยมเหลือเกิน บางครั้งเรานั่งทําสมาธิเพื่อเจริญวิปสสนา โอ…

มันชางเปนการกระทําที่สูงสงยิ่ง ส่ิงเหลานี้ลวนคือส่ิงที่ฆราวาสอยางพวกเราสามารถทําได

เพื่อสนองตอความตองการทางจิตวิญญาณของเรา ประชาชนของทุกชาติทุกศาสนาลวนมี

รูปแบบของตนเองในการตอบสนองทางดานนี้ทั้งนั้นแหละ และผมหวังวาพวกเราคงพอเขาใจ

ตัวเองถึงการกระทําในทุกรูปแบบแหงความจําเปนหรือการขาดแคลนทั้งปวงไดแลว วาพวก

มันทั้งหมดคือแรงขับหรือตนเหตุแหงการกระทําของเราเพื่อบรรเทาหรือหยุดภาวะขาดแคลน

และนั่นแหละที่ทําใหชีวิตของพวกเราเปนปกติสุขอยูได

122

Page 123: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 2 การผสมผสานของแรงขับทั้งเจ็ด

ผมเพิ่งไดอธิบายถึงแรงขับหรือแรงกระตุนทั้งเจ็ดประการที่ผลักดันใหพวกเราลงมือทําสิ่งตาง ๆ เพื่อ

ตอบสนองตอความจําเปนหรือความขาดแคลนของเราเพื่อทําใหเรามีความสุข ตามปกติแลว ความ

ตองการปจจัยสี่ หรือความจําเปนที่จะตองอยูรอดจะเปนแรงขับตัวแรกเสมอเพราะวามันอยูใน

สัญชาตญาณทีเดียว สวนแรงขับตัวอื่น ๆ อีกหกประการนั้นไมจําเปนตองเรียงลําดับกอนหลังไปตามที่

ผมไดอธิบายไว พวกเราคือส่ิงมีชีวิตที่มีความซับซอนที่สุด มีสมองที่ใหญและเฉลียวฉลาดที่สุด และ

ความจําเปนหรือความขาดแคลนที่เกิดขึ้นกับเราไมไดเกิดขึ้นทีละอยางแลวเรียงคิวเขามาหาเรา แตมัน

มักจะเกิดขึ้นหลาย ๆ อยางในคราวเดียวกัน ดังนั้นพวกเราจึงมีแรงขับหลายอยางที่ผสมผสานกนัไปใน

ระดับความมากนอยตามความจําเปนที่เราขาดแคลน และเราไดลงมือทําหลายสิ่งหลายอยางเพื่อ

บรรเทาความขาดแคลนในทุก ๆ ดานของเราอยูเสมอ เมื่อใหรก็ตามที่เราไดบรรเทาหรือเติมเต็มความ

จําเปนที่เราขาดแคลน เราจะรูสึกดี มีความสุข รูสึกวาประสบความสําเร็จ และสมความปราถนา

คุณผูอานที่รัก การที่เราเขาใจแรงขับตาง ๆ นั้น ทําใหเราเขาใจตนเองและผูอ่ืน เราสามารถมี

คุณภาพชีวิตไดดียิ่งขึ้นก็เพราะวาเราเขาใจตนเองและผูอ่ืน ดังนั้นเพื่อที่จะรูวาเรามีแรงขับตอความ

จําเปนในดานตาง ๆ ในระดับใด การทําการบานขางลางตอไปนี้จะชวยพวกเราไดเปนอยางยิ่ง เราจะ

ไดรูเสียทีวา… อะไรคือแรงขับตัวที่รุนแรงที่สุดในตอนนี้ อะไรที่รองลงไป และการที่เราจะรูไดนั้น เรา

จะตองรูวาตองการอะไรมากที่สุดหรือที่มากรองลงมาเสียกอน

จงตอบคําถามขางลางโดยเลข 0 คือคะแนนที่เราใหกับส่ิงที่ตอนนี้เราไมอยากไดเลย เลข 10

คือคะแนนที่เราใหกับส่ิงที่ตอนนี้เราอยากไดมากที่สุด (เลข 2 ถึง 9 คือคะแนนที่คอย ๆ เพิ่มข้ึนระหวาง

0 กับ 10 ) เอาละ พวกเราไปทํากันเลย

ปจจัยสี่หรือความแนนอน (เพื่อการอยูรอด)……………………………… คะแนน ความหลากหลาย (ความแปลกใหม)……………………………………….. คะแนน ความรูสึกวาตนเองมีความสําคัญ (มีศักดิ์ศรี ไดรับการยอมรับ)………… คะแนน การเชื่อมโยง/ การสรางความสัมพันธ (เชนความรัก)………………..…… คะแนน ความเจริญกาวหนา(การเติบโตทั้งชีวิตสวนตัวและหนาที่การงาน)…..… คะแนน อยากชวยเหลือแบงปน (การทํากุศล การบริจาค การไดใหกลับคืน)….. คะแนน ความตองการทางจิตวิญญาณ (ความสงบสุขภายใน การรูแจง)………… คะแนน

123

Page 124: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

เมื่อพวกเราไดทําการบานอยางนี้แลว พวกเราจะเขาใจถึงแรงขับตาง ๆ ที่บังคับใหเราลงมือ

ทําสิ่งตาง ๆ อะไรก็ตามที่เราตองการมันมากที่สุด จะแปลวาเราขาดแคลนมันมากที่สุด และเราไดถูก

แรงขับหรือแรงกระตุนตัวนี้บงการชีวิตของเรามากที่สุดตามไปดวย คําวา “ขาดแคลน” นี้ มันเปนไป

ตามความรูสึกของคนที่ไมเหมือนกัน สมมติผมมีเงินตั้งหนึ่งรอยลานบาทแลว แตผมไมสนใจอยางอื่น

อีกเลยนอกจากตั้งหนาตั้งตาหาเงินอยางเดียว นั่นแปลไดวา ผมยังขาดแคลนอยูดี สวนคนที่มีเงินหนึ่ง

ลานบาทและตอนเชาไปทํางานสวนตอนค่ําออกไปทํางานอาสาสมัครชวยเหลือสังคมทุกคืน คนแบบนี้

คือพอแลวเรื่องเงิน (เงินกระตุนเขาไมคอยได) แตตัวกระตุนที่แทจริงของเขาคือ การอยากไดชวยเหลือ

แบงปนคนอื่น ผมอยากใหพวกเราเขาใจในมุมลึกเพื่อที่จะสามารถอธิบายพฤติกรรมของตัวเราเองและ

คนอื่น ๆ ได

อนึ่ง การที่พวกเราไดตอบคําถามขางบนแลว มันไมไดหมายความวาจะเปนเชนนั้นตลอดไป

ความตองการ ความจําเปนและขาดแคลนของพวกเรานั้นคอย ๆ เปลี่ยนแปลงไป หรือในบางครั้ง

เปลี่ยนอยางฉับพลัน ฉะนั้น แรงขับใหเราลงมือทําเร่ืองราวตาง ๆ ก็เปลี่ยนแปลงอยูตลอดเวลา เราจึง

ควรทําการประเมินใหมเปนระยะวาอะไรกันแนที่เปนตัวกระตุนหลักของเราในตอนนี้ ยิ่งเรารูชัดเทาไหร

เราจะยิ่งมีความสุขสมหวังไดเร็วเทานั้น หากวาตอนนี้ตัวกระตุนหลักคือ “เงิน” ก็จงสนใจและเอาใจใส

ใหดี หากวาอยากไดชื่อเสียง จงมุงเนนสรางความดีใหปรากฏเร็วไว แตถาขาดเรื่องความรัก… ให

มุงเนนสนใจคนอื่นใหมากขึ้น หากขาดความกาวหนา จงมุงเนนการตั้งเปาหมายใหมากขึ้น และสมมติ

วาตอนนี้ขาดความสงบในใจ ใหสวดมนตไหวพระและเจริญวิปสสนาเสีย ขอใหพวกเราทําใหมันตรง

กับความจําเปนหรือความขาดแคลนของพวกเราเสีย แลวพวกเราจะมีความสุขเหนือใคร ๆ นั่นแหละ

คือ A Wonderful Life

124

Page 125: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 3 วิธีดึงดูดสิ่งที่พวกเราตองการ

ส่ิงที่ผมจะอธิบายตอไปนี้ เปนสิ่งใหมที่ผมไดเรียนรูมาไมนานนัก แตมันใหความรูสึกที่ดีและตื่นเตนเรา

ใจไดมากเหลือเกิน การที่คนเราจะไดในสิ่งที่เขาตองการมานั้น เขาจะตองลงมือทําบางสิ่งบางอยาง

เพื่อพยายามใหไดมันมา ดังนั้น ผมยังคงมุงเนนเรื่องการปฏิบัติและวินัยเล็ก ๆ เสมอ อยางไรก็ตาม

การเพิ่มโอกาสที่จะไดมันมาขึ้นอยูกับความรูสึกและวิธีดําเนินชีวิตประจําวันของเราเปนอยางมาก ผม

ยังแปลกใจเลยวาทําไมเมื่อกอนผมไมไดคิดถึงเรื่องนี้ แตในขณะนี้ ผมถือวาเทคนิคที่จะกลาวตอไปนี้

คือเทคนิคขั้นสูงมาก และตอไปนี้คือส่ีข้ันตอนในการดึงดูดสิ่งที่พวกเราตองการ

1. จงระบุออกมาใหชัดวาอะไรคือสิ่งที่พวกเราไมตองการ 2. จากนั้น จงเปลี่ยนสิ่งที่ไมตองการในขอหนึ่งใหกลายเปนสิ่งที่ตองการ 3. ใหดําเนินชีวิตประจําวันดวยการทําใหตนเองรูสึกดี (มาก ๆ ) กับสิ่งตาง ๆ ที่

ตองการในขอสอง 4. จากนั้น ใหลงมือทําในสิ่งที่ตองทํา และดําเนินชีวิตตอไป อยางราเริงที่สุดเทาที่

ชีวิตจะทําได และในระหวางนั้น ใหเชื่อวาสิ่งที่พวกเราตองการกําลังอยูบนเสนทางของ

มันที่ตรงดิ่งมาหาเรา และเราเองก็เชนกันที่กําลังอยูบนเสนทางที่ตรงด่ิงไปหามัน เราและ

มันกําลังดึงดูดซึ่งกันและกัน จงใหเวลาเพื่อปลอยใหมันบังเกิดขึ้นโดยไรความกังวลจงรา

เริงและยิ้มแยมแจมใสใหมาก ๆ เสมอ

คุณผูอานที่รักยิ่ง ผมขอรองใหพวกเราทองสี่ข้ันตอนนี้ใหข้ึนใจ ใหมันกลายเปนสวนหนึ่งที่

สําคัญในความรูสึกนึกคิดของเรา แลวพวกเราจะกลายเปนคนที่โชคดีที่สุดในโลก ตอนนี้พวกเราไป

ศึกษาในรายละเอียดกันเถอะ

1. ระบุสิ่งที่ไมตองการ

วิธีดีที่สุดในการรูใจตนเองวาเราตองการอะไร คือการรูใหชัดวา… อะไรบางคือส่ิงที่เราไม

ตองการอยางแทจริง ผูคนจํานวนมากพลาดเรื่องที่สําคัญและจําเปนยิ่งตอชีวิตไปก็เพราะวา

ไมตระหนักรูใหถองแทถึงเรื่องนี้ ยกตัวอยางงาย ๆ เชน การเจ็บไขไดปวยเปนสิ่งที่พวกเราไม

ตองการใชหรือไม? แลวตรงกันขามกับมันละคืออะไร? สุขภาพที่ดีไง!!! ฉะนั้นเมื่อพิจารณาลึก

ๆ ลงไปภายในตัวเรา สุขภาพดีคือส่ิงที่เราตองการ แตเพราะเราไมไดถามวา “การเจ็บไขได

ปวยเปนสิ่งที่ฉันไมตองการใชหรือไม?” พวกเราก็เลยลืมไปวา…. การมีสุขภาพดีคือส่ิงหนึ่งที่

125

Page 126: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

เราตองการ บางทีคําถามตอไปนี้จะยิ่งทําใหพวกเราเขาใจไดมากข้ึน… การมีอายุส้ันคือส่ิงที่

ฉันไมตองการใชหรือไม? แลวอะไรละที่ตรงกันขามกับมัน อายุยืนไง!!! ฉะนั้น การมีอายุยืน

ยาวคือส่ิงหนึ่งที่เราตองการอยางแทจริงในระดับจิตวิญญาณ แตแลวพวกเราปลอยปละ

ละเลยตัวเองโดยไมเอาใจใสเร่ืองสุขภาพไปไดอยางไร? พวกเราเผลอไปก็เพราะไมไดถามวา

“การมีอายุส้ันคือส่ิงที่ฉันไมตองการใชหรือไม?” อีกตัวอยางหนึ่งที่ดีมากคือการถามวา “ความ

ยากจนคือส่ิงที่ฉันไมตองการใชหรือไม?” งั้นสิ่งที่ตรงกันขามละคืออะไร? งายจะตายก็ความ

มั่งคั่งรํ่ารวยไง!!! ยังมีอะไรที่นาถามอีก “ความทุกขคือส่ิงที่ฉันไมตองการใชหรือไม?” งั้นมันก็

ตองคือความสุขสิที่พวกเราตองการจริงไหมละ? คุณผูอานที่รัก ข้ันตอนที่ 1 คือส่ิงที่ผูคนทั่ว

โลกลืมทํา แตตั้งแตนี้ไปพวกเราจะไมลืม โปรดตอบคําถามตอไปนี้ดวยความตั้งใจจริงจัง และ

ทําบอย ๆ ใหเปนระยะ ๆ

สิ่งที่ฉันตองการอยางแทจริง

…………………………………………………………

…………………………………………………………

…………………………………………………………

…………………………………………………………

…………………………………………………………

…………………………………………………………

…………………………………………………………

…………………………………………………………

…………………………………………………………

โปรดหาสมุดสวนตัวมาสักเลมหนึ่ง ตั้งชื่อมันวา “ส่ิงที่ฉันไมตองการ” แลวเขียนพวก

มันออกมา ระบุออกมาใหชัดเจน แลวสมองของพวกเรามันจะฉลาดขึ้นวาอะไรกันแนที่มันตอง

ถอนตัวออกหาง เมื่อพวกเราไดทําข้ันที่ 1 แลว เราตองเปลี่ยนทุกรายการในขั้นที่ 1 ใหเปนสิ่งที่

ตรงกันขามซึ่งมันก็คือข้ันตอนที่ 2 นั่นเอง

2. ระบุสิ่งที่ตองการอยางแทจริง

หลังจากที่ไดทําขั้นตอนแรกไปแลว มันก็งายเหมือนปอกกลวยเขาปาก เพราะเราก็แคเปลี่ยน

ใหเปนตรงกันขามเสีย แลวมันก็จะกลายเปนสิ่งที่พวกเราตองการ เชน ถาความยากจนเปนสิ่ง

126

Page 127: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

ที่ไมตองการที่บันทึกไวในขั้นตอนที่ 1 พวกเราก็แคเปลี่ยนใหมันกลายเปนคําวา “ความสุข”

และนําคําวา “ความสุข” มาจดบันทึกไวในรายการของสิ่งที่เราตองการอยางแทจริงในขั้นตอน

ที่ 2 งาย ๆ แคนี้เอง เอาละ ชวยบอกตัวเองกันหนอยวาอะไรกันแนคือสิ่งที่พวกเราตองการ

อยางแทจริง

สิ่งที่ฉันตองการอยางแทจริงคือ…. …………………………………………………………………………..

…………………………………………………………………………..

…………………………………………………………………………..

…………………………………………………………………………..

…………………………………………………………………………..

…………………………………………………………………………..

…………………………………………………………………………..

…………………………………………………………………………..

………………………………………………………………………….. ส่ิงหนึ่งที่พวกเราตองระวังคือ ส่ิงที่เราตองการตองเปน “คําบอกเลา” หามใชคําปฏิเสธ

หรือการปฏิเสธซอนกันสองครั้ง เชน “ส่ิงที่ฉันตองการอยางแทจริงคือ ความร่ํารวย” ประโยคนี้

ถูกตอง แตอยาพูดวา “ส่ิงที่ฉันตองการอยางแทจริงคือ ไมยากจน” ประโยคนี้ผิดเพราะวามัน

มีคําวา “ไม” อยูในนั้นตัวอยางตอไปเชน “ส่ิงที่ฉันตองการอยางแทจริงคือ อายุยืน” ประโยคนี้

ถูกตอง แตอยาพูดวา “ส่ิงที่ฉันตองการอยางแทจริงคือ ไมอยากตายเร็ว” ประโยคนี้ผิด

เพราะวามีคําวา “ไม” อยูในนั้น ตัวอยางสุดทาย “ส่ิงที่ฉันตองการอยางแทจริงคือ การมีคนรัก

ที่รูใจ” ประโยคนี้ถูกตอง แตอยาพูดวา “ส่ิงที่ฉันตองการอยางแทจริงคือ การไมไมมีคนรักที่รู

ใจ” ประโยคนี้ผิดเพราะดันไปพูดซะฟงยากดวยการใชคําวา “ไม” ถึงสองตัวติดกัน (ปฏิเสธ

ซอนปฏิเสธ) ผมทราบดีวาคนที่ชอบพูดแบบปฏิเสธซอนปฏิเสธนั้นคงมีไมมาก แตผมอยาก

ขามรายละเอียดนี้ไปเพราะวาคนทั่วไปไมรูถึงอันตรายของมันที่ผมจะเลาใหฟงเดี๋ยวนี้เลย

เมื่อไหรที่พวกเราพูดวา “ส่ิงที่ฉันตองการอยางแทจริงคือความร่ํารวย” กฏแหงการ

ดึงดูดจะดึงดูดคําที่เรา “ตองการ” เขามาหาเรามาก ๆ ซึ่งในที่นี้คือความร่ํารวย แต…แต…

แต…แต…

แตเมื่อไหรที่พวกเราพูดวา “ส่ิงที่ฉันไมตองการอยางแทจริงคือความยากจน” กฏแหงการดงึดดู

คําที่เรา “ไมตองการ” เขามาหาเรามาก ๆ ซึ่งในที่นี้ก็คือความยากจน นี่คือคําอธิบายวาทําไม

127

Page 128: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

คนจํานวนมากถึงมักไดแตส่ิงที่พวกเขาไมตองการอยูเร่ือย เพราะวาพวกเขาพูดผิดวิธีนั่นเอง

พวกเราจะแปลกใจไหมถาผมจะบอกวาการพูดวา “ส่ิงที่ฉันไมตองการคือความยากจน” คือ

การพูดที่ยิ่งทําใหยากจนเขาไปใหญ เมื่อเราไมอยากยากจน แลวมันเรื่องอะไรถึงไปพูดถึงคํา

วา “ยากจน” ใหโสตประสาทมันไดยิน ทําไมไมทําใหเรียบงายโดยพูดวา “ส่ิงที่ฉันตองการคือ

ความมั่งคั่งรํ่ารวย” เสียละ คราวนี้โสตประสาทของเราจะไดยินคําวาอะไร… ก็ความมั่งคั่ง

รํ่ารวยไง!!! เอาละ ตอนนี้พวกเราทุกคนตางเขาใจดีแลว พวกเราไปตอบคําถามใหตรงประเด็น

ดวยประโยคบอกเลากันอีกครั้ง ผมรูวาพวกเราไดทํามาหนึ่งครั้งแลว แตทําอีกสักหนึ่งครัง้เถอะ

เพื่อความชัวร

จากขั้นตอนที่ 1 มันทําใหฉันรูวา

สิ่งที่ฉันตองการอยางแทจริงคือ…. …………………………………………………………………………..

…………………………………………………………………………..

…………………………………………………………………………..

…………………………………………………………………………..

…………………………………………………………………………..

…………………………………………………………………………..

…………………………………………………………………………..

…………………………………………………………………………..

…………………………………………………………………………..

3. จงทําใหตนเองรูสึกดีกับสิ่งที่ตองการ

เคล็ดลับสุดยอดในการดึงดูดสิ่งที่เราตองการก็คือ การที่เราสามารถรูสึกดีกับส่ิงที่เราตองการ

ตราบใดที่เรารูสึกแยกับส่ิงที่เราตองการ ตราบใดที่เรารูสึกแยกับส่ิงที่เราตองการ มันจะ

กลายเปนเรื่องยากแสนยากไปในทันที คิดดูสิวาทําไมคนที่ยากจนถึงรวยไดยากนักยาก

หนา…. ทุกครั้งที่พวกเขาคิดถึงคําวา “รํ่ารวย” พวกเขารูสึกวาตื่นเตนหรือหดหูละ แหงอยูแลว

วาหดหู ความหดหูเปนความรูสึกที่ดีไหมที่มอบใหกับคําวา “รํ่ารวย” ถามโง ๆ … เด็กอมมือยัง

รูเลยวาไม แตนั้นแหละคือปญหาของคนทั้งโลกกลาวคือทั้ง ๆ ที่รูวาการรูสึกแยกับส่ิงที่

ตองการไมชวยอะไรเลยนอกจากทําใหสถานการณเลวรายลงไปอีก แตมันก็ทําใจไมไดที่จะให

128

Page 129: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

รูสึกดีกับส่ิงที่ตัวเองยังไมมี ผมอยากใหพวกเราอานตรงนี้ดวยความระมัดระวัง ผมกําลังบอก

วา แมมีเหตุผลในตัวมันเองที่คนเราจะรูสึกทอใจ หดหูใจ หรือรูสึกแยเมื่อนึกถึงสิ่งที่อยากได

และรูวามันชางยากเหลือเกิน แตการรูสึกแยอยางนั้น…ไดกลายเปนอุปสรรคที่ขัดขวางการ

ไดรับในส่ิงที่ตองการ คนทั่วไปมักโทษทุกสิ่งทุกอยางวาทําใหพวกเขาลําบากยากไร แตยกเวน

ไวส่ิงหนึ่งที่พวกเขาจะไมโทษ… นั่นก็คือการที่พวกเขารูสึกแยกันทั้งปทั้งชาติ ทําไมคนยากจน

จะราเริงไมไดละ? ทําไมตองเอามารวมกันอยูเร่ือยละระหวางความยากจนกับความราเรงิ? ผม

ขอบอกไวตรงนี้วา หากคนยากจนหันมาราเริงและทําจิตใจใหผองแผวกันไดทั้งปทั้งชาติ

เมื่อไหรละก็ ความยากจนของพวกเขาจะถูกขับไลออกไปจนสิ้นซาก พวกเราหลายคนอาจคิด

วามีหลายปจจัยที่ทําใหตนเองยังลําบากอยู แตถาจะโทษอะไรสักอยางหนึ่งที่เปนตัวการเหนือ

ส่ิงอื่นใด มันก็คือความรูสึกของพวกเราเองผมขอแนะนําใหโทษความรูสึกของตนเองวาเปน

สาเหตุใหญที่ชางตอเนื่องยาวนานอยางไมนาเชื่อที่เปนปจจัยใหญสุดในการชักนําแตเร่ืองไมดี

เขามาหา ผมอยากใหขอคิดวามันเหมือนกับกฏแหงการหวานและการเก็บเกี่ยวนั่นแหละ

กลาวคือมันตองหวานเมล็ดกอนแลวเก็บเกี่ยวผลผลิตในภายหลัง มีแตคนเสียสติเทานั้นที่ขอ

เก็บผลผลิตกอนแลวจะหวานชดใชใหภายหลัง ก็เชนกันสําหรับการดําเนินชีวิตที่ดีที่สุด

กลาวคือ.. จงหวานเมล็ดแหงจิตใจที่ผองแผวออกไปกอน แลวจะไดเก็บเกี่ยวความสุข

ในทันที แถมยังจะไดรับส่ิงปราถนาในภายหลัง แตมีอยางที่ไหนที่คนจํานวนมากหวานเมล็ด

แหงความหดหูออกไปกอน แลวแอบหวังวาจะไดรับความสุขกับส่ิงที่ปราถนาในภายหลัง

ฉะนั้นสิ่งที่ไดก็คือความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในทันที และผลักไสสิ่งที่ตองการออกไปไกลลิบโลก…

บาชมัด ฉะนั้นโปรดรูไววา วิธีการดําเนินชีวิตดวยอารมณเชิงลบในทุกรูปแบบนั้น ไดถูก

กระทําโดยคนสวนใหญบนโลกซึ่งใหหลักฐานที่พิสูจนใหเห็นแลววา… มันไมไดผล ไมทําให

ความสุขและความสําเร็จเปนเรื่องที่งายขึ้น ไมเพิ่มโอกาส เสียเวลาไปโดยเปลาประโยชน และ

เปนโทษสถานเดียวเทานั้น แตดวยความโชคราย พวกเขาจํานวนมากไมไดยุติพฤติกรรม

เหลานั้นเลย ตรงกันขาม พวกเขาคิดเพียงแงเดียววา ก็มันสมเหตุสมผลแลวนี่ที่คนอยางฉัน

หรือคนอ่ืนที่เจออยางฉัน มันก็ตองคิดลบทั้งนั้นแหละ มันคลายการประชดชีวิตที่ไมควรทําเลย

และโชครายอีกประการหนึ่งก็คือ บางทีพวกเขาก็ไมรูวาการทําตัวแย ๆ อยางนั้นคือกลยุทธที่

ไมไดผล ในกรณีนี้นับวานาเห็นใจมาก ผมหวังวาพวกเขาจะไดอานหนังสือเลมนี้บางทีพวกเขา

อาจเปลี่ยนใจก็ได

ฉะนั้น พวกเราตองหันมาดําเนินชีวิตประจําวันดวยการทําใหตนเองรูสึกดี (มาก ๆ )

กับส่ิงตาง ๆ ที่พวกเราตองการที่ไดเขียนไวแลว โปรดจําไววา ตอไปนี้ประเด็นที่เราตองสนใจ

อยูเสมอมีอยูสองเรื่องคือ มันตองเปนสิ่งที่เราตองการเทานั้น และความรูสึกที่เรามอบใหกับ

129

Page 130: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

มันตองดีเทานั้น กฏมีอยูวา “วิธีดึงดูดสิ่งที่เราตองการนั้น ใหหาวิธีที่เราจะเขาไปมีความรูสึกดี

กับส่ิงที่เราตองการเสมอ แลวเราจะไดมัน”

และทั้งหมดที่พวกเราจะไดอานตอไปอีกมากมายนั้น คือวิธีตาง ๆ ที่จะทําใหพวกเรา

รูสึกดีกับส่ิงที่เราตองการ ไปกันเลยเถอะ

130

Page 131: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 4 การต้ังปณิธานกับสิ่งที่ตองการ

ส่ิงหนึ่งที่พวกเราตองระวังจริง ๆ คือ ไมวาเราจะใชถอยคําวาอะไรก็ตาม แตพวกเรารูสึกจริง ๆ กับส่ิงที่

เราตองการอยางไรกันแน แมวาพวกเราไดใชคําที่ถูกตองเชนวา “ฉันอยาก…” หรือ “ฉันตองการ…”

หรือ “ฉันปราถนา…” แลวก็ตาม แตถาลึกลงไปภายในตนเองกลับรูสึกแย เชน “ใชวาฉันอยาก แตวา

มันเปนไปไมไดนี่” หรือ “ใชสิที่ฉันตองการ แตฉันไมมีปญญานี่” ในกรณีเชนนี้จะทําใหส่ิงที่เราตองการ

โบยบินหนีไปเพราะฤทธิ์เดชของคําคําหนึ่งที่เกินมา นั่นคือคําวา “แต” ที่ไปปรากฏอยูในประโยคที่เรา

พูด คําวา “แต” ทําใหเรารูสึกแยกับส่ิงที่เราตองการไดทุกครั้ง และประโยคที่เราใชแลวถูกตองจะตองมี

ลักษณะดังนี้ “ฉันตองการ… และ…” เทานั้น เชน “ฉันตองการความมั่งคั่งรํ่ารวยและฉันกําลังทุมเท

ความพยายามทุกอยางเพื่อมัน” มีแตคําวา “และ” เทานั้นที่ใชแลวโอเคพวกเราจึงตองฝกใช “และ” ให

บอย ๆ จนติดนิสัย คําวา “และ” เปนคําที่ดีในทุกเรื่องก็วาได

และเพื่อที่จะยิ่งเพิ่มพลังแหงความรูสึกดี พวกเราตองหาทางที่จะลดเสียงตอตานภายในใจของ

พวกเราใหจงได มีวิธีหนึ่งที่ดีมากคือการเปลี่ยนถอยคําอีกนิดหนอยโดยตอไปนี้ผมขอใหพวกเราใชคํา

วา “ฉันขอตั้งปณิธานวา…” แทนคําวา “ฉันตองการ…” ในทุกประโยคที่พวกเราจะพูด โดยขณะที่พูด

ใหสวมวิญญาณที่เต็มเปยมไปดวยความรูสึกของพวกเราลงไป ขอใหพูดอยางจริงจัง หรือจะตะโกนได

จะยิ่งดีใหญ เชน

ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะทํางานของฉันดวยความรูสึกที่ดีและดีขึ้น ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะเอาใจใสคนที่ฉันรักดวยความรูสึกที่ดี ขึ้นและดีขึ้น ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะดูแลสุขภาพของตัวฉันเองดวยความรูสึกที่ดีขึ้น และดีขึ้น ฉันตั้งปณิธานวา ฉันจะสรางฐานะใหมั่งค่ังร่ํารวยดวยความรูสึกที่ดีขึ้น และดีขึ้น

ขอใหพวกเราพูดกับตนเองบอย ๆ แลวเราจะกลายเปนคนในแบบที่เราพูด เราจะดึงดูดในส่ิงที่เราให

ความรูสึกกับมัน และไดรับในส่ิงที่เราไดตั้งปณิธานไว พวกเราไปดูตัวอยางเพิ่มเติมกันเถอะ

ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันมีความสุขกับทุกสิ่งที่ฉันทํา ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะทําทุกสิ่งดวยความรักและสนุก ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะเปนคนที่ราเริง และยิ้มแยมแจมใส ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะมีรูปรางดีและแข็งแรง ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะอยูกับความสุขแทนความกลัว ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะรูสึกชื่นชมยินดีกับชีวิต

131

Page 132: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะเบิกบานใจและผองใสทุกวัน ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะยิ้มและเริงรําไปกับชีวิต ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะเกษมสําราญกับชีวิตนี้ ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะซื้อรถใหมในปนี้ ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะเปนสุดยอดนักขายดาวจรัสแสง ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะเปนเศรษฐีผูมีความสุข ฉันขอตั้งปณิธานวา ฉันจะอายุยืนถึงรอยป

การตั้งปณิธานคือวิธีสรางความรูสึกดีวิธีหนึ่ง ลําดับตอไปผมจะพาพวกเราไปรูจักกับวิธีที่สอง

ในการสรางความรูสึกดีเพื่อดึงดูดสิ่งที่เราตองการ

132

Page 133: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 5 เขียนบทใหมใหตรงกับที่เราอยากใหมันเปน

เทคนิคการสรางความรูสึกดีที่มีพลังมหาศาล คือ “การเขียนบทใหม” กับ “ทุกเรื่อง” ใหตรงกับ “ส่ิงที่เรา

อยากใหมันเปน หรืออยากใหมันเกิด” โปรดสังเกตคําวา “ทุกเรื่อง” มันแปลวาเชนนั้นจริง ๆ ไมวามัน

จะเกี่ยวกับอะไรก็ตาม พวกเราก็สามารถใชเทคนิคนี้ได สวนการเขียนใหตรงกับ “ส่ิงที่เราอยากใหมัน

เปน หรืออยากใหมันเกิด” นั้นก็มีความหมายตามคําพูดเปะเลย กลาวคือ เราไมสนวาตอนนี้ความเปน

จริงคืออะไร เราสนแตวาเราอยากใหส่ิงตาง ๆ กลายเปนอะไรเปลี่ยนไปอยางไร และเราอยากเห็นอะไร

เกิดขึ้นในอนาคต เอาละไปดูตัวอยางที่ผมเขียนบทใหมใหกับภรรยาของผมกันดีกวา

ตัวอยางการเขียนบทใหมใหกับภรรยาของผม

ภรรยาของผมนั้น เธอเปนคนที่…. เธอราเริงและมีความสุขมาก เธอดูแลตัวเองไดเปนเลิศ เธอเกงมากขึ้น และมากขึ้น เธอเฉลียวฉลาด เธอสุขภาพดีและแข็งแรงมาก เธอใจดี และสรางสรรค เธอไดพบแตเรื่องดี ๆ เธอรักลูกและสามีเปนที่สุด เธอเปนภรรยาที่ยอดเยี่ยม

คุณผูอานที่รัก เทคนิคที่ผมเขียนบทใหมใหกับภรรยาของผมนั้น มีรายละเอียดที่ผมจะอธิบายอีก 3

ประเด็นคือ

1. ผมไมไดสนใจวาภรรยาของผมนั้น… จริง ๆ แลวตอนนี้เปนคนแบบไหน

แตส่ิงที่ผมเขียนคือสิ่งที่ผมปรารถนาจะใหมันเกิดขึ้นในอนาคต คือสิ่งที่ผมเอยากใหเปนไป

ตามที่ผมเขียน ฉะนั้น เทคนิคใหเขียนเฉพาะสิ่งที่อยากใหเปนโดยยังไมตองสนใจวาจะเปน

ความจริงไปตามนั้นไดอยางไร ขอสําคัญ อยาไดเขียนสิ่งที่ไมอยากใหเกิดขึ้นเปนอันขาด

133

Page 134: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

2. เนื่องจากวามันคือสิ่งที่ผมอยากจะใหมันเกิดขึ้น มันจึงเปนเรื่องของผม… ไมใชเรื่องของภรรยา

โปรดอยาสับสนและงงกับตรงนี้นะครับ ส่ิงที่ผมตองการ (ไมวาเรื่องอะไรก็ตาม) แมวาจะ

เกี่ยวกับคนอ่ืนก็ตาม แตตราบใดที่มันเปนความตองการของผม… ยอมตองถือวาเปนเรื่องของ

ผมวันยังค่ํา ฉะนั้น คนที่จะไดอานมันจึงไมใชภรรยาของผม แตคือตัวผมเองที่เปนคนเขียน ผม

ขอย้ําวาผมหามใหภรรยาของผมอานเปนอันขาด ผมเปนคนเขียน ผมจึงตองเปนคนอาน และ

จะวาไปแลว ผมมีสิทธิ์อะไรจะไปใหคนอื่นเขาเปลี่ยนแปลง!!! ผมมีสิทธิ์แคปรารถนาเทานั้น

3. ผมจะอานมันตอนเชา และกอนนอน โดยใสความรูสึกดีลงไปมาก ๆ กับทุก

ประโยคที่ผมอาน

เพราะวามันคือสิ่งที่ผมตองการนี่แหละคือเทคนิคที่มุงเนน มุงนึก มุงคิด มุงอานแตส่ิงที่ผม

ตองการผมเชื่อวาจะเกิดแรงดึงดูดใหภรรยาของผมคอย ๆ เปลี่ยนแปลงไปเปนคนในแบบที่ผม

ไดเขียนบทไวทุกประการโดยไมมีการบังคับกันเปนอันขาด

ตอนนี้พวกเราคงพอมีไอเดียบางแลววาจะเขียนบทใหมใหกับทุกสิ่งทุกอยางได

อยางไร จงหาสมุดสวนตัวสักเลมหนึ่งที่ตัวเราเองเทานั้นจะเขียนใหตรงกับส่ิงที่เราตองการให

มันเกิดขึ้นในอนาคตหากคิดไมออก ผมขอแนะนําใหเขียนในลักษณะที่เลอเลิศที่สุดเทาที่เรา

จะสามารถ

คุณแมของฉันเปนคนที่……...........................................................................................................

……………………………………………………………………………………………………………

……………………………………………………………………………………………………………

คุณพอของฉันเปนคนที่…………………………………………………………………………………..

……………………………………………………………………………………………………………

……………………………………………………………………………………………………………

สามีของฉันเปนคนที่……………………………………………………………………………………...

……………………………………………………………………………………………………………

……………………………………………………………………………………………………………

ภรรยาของฉันเปนคนที่…………………………………………………………………………………...

……………………………………………………………………………………………………………

134

Page 135: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

……………………………………………………………………………………………………………

ลูกของฉัน(ระบุชื่อ) เปนคนที่……………………………………………………………………………..

……………………………………………………………………………………………………………

……………………………………………………………………………………………………………

เจานายของฉันเปนคนที่………………………………………………………………………………….

……………………………………………………………………………………………………………

……………………………………………………………………………………………………………

ธุรกิจของฉันเปนธุรกิจที่…………………………………………………………………………………..

……………………………………………………………………………………………………………

……………………………………………………………………………………………………………

ตัวฉันเองเปนคนที่………………………………………………………………………………………..

……………………………………………………………………………………………………………

……………………………………………………………………………………………………………

โครงการใหมของฉันเปนโครงการที่……………………………………………………………………....

……………………………………………………………………………………………………………

……………………………………………………………………………………………………………

สุนัขตัวโปรดของฉันเปนสุนัขที่…………………………………………………………………………...

……………………………………………………………………………………………………………

……………………………………………………………………………………………………………

รถเกงของฉันเปนรถที่…………………………………………………………………………………….

……………………………………………………………………………………………………………

……………………………………………………………………………………………………………

เพื่อนของฉัน (ระบุชื่อ) เปนคนที่………………………………………………………………………….

……………………………………………………………………………………………………………

……………………………………………………………………………………………………………

ลูกคาของฉันเปนลูกคาที่…………………………………………………………………………………

……………………………………………………………………………………………………………

……………………………………………………………………………………………………………

คุณผูอานที่รัก ไมวาจะเกี่ยวกับอะไรก็ตาม หากมีสตินึกได ขอใหพวกเราเขียนบทใหม

ใหกับพวกมันทั้งหมดเสมอ ผมไดบอกไวแลววาเมื่อเราเขียนเอง เราตองอานเอง อยาใหคนเกี่ยวของที่

135

Page 136: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

อยูในขอความที่เราเขียนถึงไดอานเปนอันขาด และเพื่อยืนยันสิ่งนี้ ผมจะยกตัวอยางสองเรื่องที่นาขัน

ใหฟง สมมติวาผมเขียนบทใหมใหกับรถของผมวา “โอ… เจารถของขา เจาชางเปนรถที่มีสมรรถนะที่

ยอดเยี่ยมเหลือเกินเกาะถนนเปนเลิศ เจารับใชขาอยางซื่อสัตยและทนทานอยางหาที่เปรียบไมได”

ถามจริง… รถของผมมันอานหนังสือที่ผมเขียนออกหรอ!!! ฉะนั้น มันไมมีวันไดอานหรอก แตผมก็เชื่อ

วามันจะเปนไปตามนั้น และนี่คืออีกตัวอยางหนึ่ง “โอ เจาหมานอยของ เจาคือสุนัขที่ฉลาดล้ําลึก เจา

ไดชวยดูแลบาน และระแวดระวังตอคนแปลกหนาไดอยางยอดเยี่ยม และแมแตการเหา เจาจะเหา

เทาที่จําเปนและเหมาะสมเทานั้น มีแตสุนัขที่แสนรูอยางเจาเทานั้นที่ทําไดถึงขนาดนั้น” ถามจริง…

หมาของผมจะอานขอความที่ผมเขียนไดหรือ? ฉะนั้น ผมจึงตองอานเองโดยใสความรูสึกวาหมาของ

ผมจะเปลี่ยนแปลงไปตามที่ผมเขียน พวกเราอาจแยงวา “แลวมันจะเปนไปไดไง?” สหายที่รักทุกสิ่ง

เปนไปไดไมใชแคความคิด… แตดวยความรูสึก ฉะนั้นเวลาอานจึงตองใสความรูสึกเขาไปมาก ๆ และที่

ผมกลาวมาทั้งหมดนี้… ไมใชเร่ืองลอเลน เจาหมาตัวนั้นเปลี่ยนไปตามที่เขียนบทไว ผมดึงดูดใหมัน

เกิดไมใชแคความคิด แตดวยความรูสึก ย้ําดวยความรูสึก

136

Page 137: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 6 เปลี่ยนจากคิดมาเปนรูสึก

หากพวกเราอยากดึงดูดสิ่งที่ตองการใหเขามาหาเร็วไว แคคิดถึงสิ่งที่ตองการนั้นยังไมเร็วพอ แตตอง

คิดดวยความรูสึก ฉะนั้น แทนที่เราจะพูดวา “คิด” ซึ่งมักทําใหพวกเราลืมวาตองใสความรูสึกที่เขมขน

หรือแรงกลาเขาไปดวย เราจึงตองหาวิธีที่ไมลืมดวยการเปลี่ยนไปใช คําวา “รูสึก” แทนคําวา “คิด” การ

ที่เราจะไดอะไรเขามาในชีวิตของเรานั้น ยิ่งเรารูสึกถึงมันไดมากเทาไหร ยาวนานมากเทาไหร เรา

จะตองไดมันมาอยางไมตองสงสัย ยกตัวอยางในยามที่เราสังหรณใจวาจะมีบางสิ่งบางอยางเกิดขึ้น

รับรองไดเลยวาจะเปนไปตามนั้น เพราะวาลางสังหรณคือความรูสึกที่ชัดและแรงกลาที่สุดในบรรดา

ความรูสึกทั้งหลายที่พวกเราจะสามารถรูสึกได นาเสียดายที่เราไมเขาใจถึงพลังแหงความรูสึก พวกเรา

จึงดึงดูด แมแตส่ิงที่ไมตองการเขามาหาโดยไปรูสึกในเชิงลบมากเกินไป ในภาษาของเรานั้นผมอยาก

แนะนําใหลองหัดพูดใหมหมดเลยดวยการแทนที่ทุกตําแหนงของคําวา “คิด” ดวยคําวา “รูสึก” แลว

พวกเราจะแปลกใจวาเราสามารถตอบคําถามหรือเขาใจสภาพความเปนจริงไดมากข้ึนอยางไมนาเชื่อ

ยกตัวอยางเชน

“ตอนนี้ฉันคิดอะไรอยู?” เปลี่ยนเปน “ตอนนี้ฉันรูสึกอะไรอยู” “ฉันคิดยังไงกับตัวฉัน?” เปลี่ยนเปน “ฉันรูสึกยังไงกับตัวฉัน” “ฉันคิดอยางไรกับการเรียนของฉัน?” เปลี่ยนเปน “ฉันรูสึกอยางไรกับการเรียนของฉัน?” “ฉันคิดอยางไรกับงานของฉัน” เปลี่ยนเปน “ฉันรูสึกอยางไรกับงานของฉัน” “ฉันคิดอยางไรกับเพื่อนรวมงานของฉัน” เปลี่ยนเปน “ฉันรูสึกอยางไรกับเพื่อนรวมงานของฉัน” “ฉันคิดอยางไรกับสุขภาพของฉัน” เปลี่ยนเปน “ฉันรูสึกอยางไรกับสุขภาพของฉัน” “ฉันคิดอยางไรกับลูกของฉัน” เปลี่ยนเปน “ฉันรูสึกอยางไรกับลูกของฉัน?” “ฉันคิดอยางไรกับปญหาของฉัน” เปลี่ยนเปน “ฉันรูสึกอยางไรกับปญหาของฉัน?” “ฉันคิดอยางไรกับ…?” เปลี่ยนเปน “ฉันรูสึกอยางไรกับ…?

ดวยการตอบคําถามไปตามความรูสึกจะงายกวาการพยายามคิด และการบานขางลางตอไปนี้

ผมออกแบบมาใหพวกเราโดยเฉพาะเพื่อฝกสรางความรูสึกแทนการคิด ผมรับประกันวาพวกเราจะ

เปลี่ยนแปลงการมองทุกสิ่งในโลกนี้ไปอยางมหาศาลเชนกัน สวนสิ่งที่พวกเราตองการนั้นไมตองหวง

ความรูสึกของเราจะดึงดูดพวกมันใหเขามาหาเราไดเร็วกวาที่เราคาดไว ขอใหพวกเราทําการบาน

ตอไปนี้โดยใชความรูสึกใหมาก ๆ

137

Page 138: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

เทาที่ผานมา โดยรวมแลว คุณรูสึกอยางไรกับตัวคุณเอง? ……………………………………………………………………………….………………………

…………………………………………………………………. (ถาคุณรูสึกไมดี จงเปลี่ยนมันซะ)

เทาที่ผานมาคุณรูสึกอยางไรกับรูปรางหนาตาของคุณ? ……………………………………………………………………………….………………………

…………………………………………………………………. (ถาคุณรูสึกไมดี จงเปลี่ยนมันซะ)

เทาที่ผานมา คุณรูสึกอยางไรกับหนาที่การงานของคุณและคุณรูสึกอยางไรกับบริษัท และ

เพื่อนรวมงานของคุณ?

……………………………………………………………………………….………………………

…………………………………………………………………. (ถาคุณรูสึกไมดี จงเปลี่ยนมันซะ)

เทาที่ผานมา คุณรูสึกอยางไรกับฐานะทางการเงินของคุณ?

……………………………………………………………………………….………………………

…………………………………………………………………. (ถาคุณรูสึกไมดี จงเปลี่ยนมันซะ)

เทาที่ผานมา ถาคุณมีครอบครัวของตนเองแลว คุณรูสึกอยางไรกับสมาชิกทุกคนในบานของ

คุณ?

……………………………………………………………………………….………………………

…………………………………………………………………. (ถาคุณรูสึกไมดี จงเปลี่ยนมันซะ)

เทาที่ผานมา คุณรูสึกอยางไรกับสุขภาพของคุณ?

……………………………………………………………………………….………………………

…………………………………………………………………. (ถาคุณรูสึกไมดี จงเปลี่ยนมันซะ)

เทาที่ผานมา คุณรูสึกอยางไรกับผูคน สังคม ส่ิงแวดลอม ประเทศชาติ และโลกใบนี้?

……………………………………………………………………………….………………………

…………………………………………………………………. (ถาคุณรูสึกไมดี จงเปลี่ยนมันซะ)

เมื่อพวกเราไดตอบคําถามเหลานี้ไปตามความรูสึกแลว ส่ิงที่ตองรูคือพวกเราไดดึงดูดทุกสิ่ง

เขามาพัวพันในชีวิตของพวกเราไปตามความรูสึกตาง ๆ เหลานั้น หากวารูสึกดีอยูแลว โอ.. นั่นชางเปน

โชคโดยไมรูตัว แตถาพวกเรารูสึกไมดี ผมขอรองใหคอย ๆ ปรับใหรูสึกดี แลวเราจะเปลี่ยนวิธีดึงดูดสิ่ง

ตาง ๆ ไปในทันที กลาวอยางสั้น…. วิธีที่เรารูสึกนั่นแหละ คือวิธีที่เราดึงดูด

138

Page 139: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 7 จัดเตรียมสิ่งที่จะขอบคุณไวเสมอ

ขณะนี้เรายังอยูในขั้นตอนที่สามที่ใหสรางความรูสึกดีกับทุกสิ่งที่เราตองการ แตถาเราอารมณเสีย เรา

จะรูสึกดีกับส่ิงตาง ๆ ไดอยางไร? เมื่อเราอารมณเสีย เราอยาไปโกรธวา “ก็รูอยูแลววาอารมณเสียจะ

ดึงดูดเรื่องไมดี แลวยังอารมณเสียอีก นาโมโหตัวเองจริง ๆ” แตตราบใดที่พวกเรายังไมไดรูแจงแลวไซร

มันยอมตองมีอารมณเสียกันบางเปนธรรมดา ฉะนั้น การที่เรารูสึกแยยังไมใชประเด็นที่สําคัญที่สุด แต

ประเด็นที่สําคัญกวาคือเราจะพลิกกลับมาอารมณดีใหเร็วที่สุดเทาที่จะเปนไปไดไดอยางไร? วิธีหนึ่งที่

ดีมากคือการหาทางยายความสนใจออกจากสภาวะอารมณเสียแลวไปสนใจสิ่งอื่นชั่วคราวและ

เพื่อที่จะไดรูสึกดีไดไว เราจะสนใจสิ่งอ่ืนในลักษณะของการขอบคุณขอใหพวกเรานึกถึงอะไรก็ได เชน

ดวงตาของเรา แวนตาของเรา ขาของเรา มือของเรา เสนผมของเรา เสื้อผาที่สวมใสอยู ปายบอกทาง

บนถนนที่เราขับรถผาน ตนไมหรือดอกไมขางทาง น้ําประปา กระแสไฟฟา ถนนหนทาง หรือใครสักคน

ที่เราอยากขอบคุณ เมื่อเราหันไปสนใจสิ่งอ่ืน เราจะสนใจอารมณที่เสียอยูนอยลง และยิ่งเราไปสนใจ

ส่ิงอื่นในลักษณะที่ระลึกคุณหรือขอบคุณมัน นั่นจะยิ่งทําใหเรารูสึกดีข้ึน ทั้งนี้เพราะวาเรามีสองสภาวะ

ซอนทับกันในเสี้ยววินาทีเดียวกันไมได ฉะนั้น แทนที่จะมุงเนน เร่ืองเดิมที่ทําใหเราอารมณเสีย เราตอง

ตั้งสติใหไวโดยรีบหาอะไรสักอยางเพื่อขอบคุณมันในใจทันที หากทําดังนี้ ภายในเวลาอันสั้นเราจะ

พบวาเรารูสึกดีข้ึนมาก นี่หมายความวาเราพลิกสถานการณกลับมาสูสภาวะที่ใหพลังดึงดูดสิ่งดีแทน

สภาวะที่ใหพลังงานในการดึงดูดสิ่งเลว การที่เรารูสึกดีข้ึนทีละนิดนั้นคือความสําเร็จอยางแทจริงและมี

คายิ่ง ขอใหผมเตือนใจพวกเราอีกครั้งวา ภารกิจใหญในชีวิตของพวกเรา คือการดําเนินชีวิตดวยความ

ราเริง ปติยินดี และเปยมสุขพวกเราเพียงดํารงสภาวะนี้ไว และยามใดที่หลุดออกไปจากเสนทางนี้ ส่ิงที่

พวกเราตองทําคือการกลับเขาสูเสนทางนี้ใหเร็วที่สุดเทาที่จะทําได จงอยาปลอยใหตนเองออกนอก

เสนทางนานเกินไป หาไมแลวพวกเราจะเดือดรอนกับการกวักมือเรียกสิ่งเลว ๆ เขามาหาตนเองอยาง

ไมหยุดหยอน

ส่ิงที่เราจะเตรียมไวขอบคุณในยามที่เราอารมณเสียนั้น อาจ เปนอะไรก็ไดทั้งนั้น โปรดรูวา

แมแตของเล็กนอยที่ดูราวกับวาไมสําคัญเลย เชน กระดาษเปลาสักหนึ่งแผน แตเมื่อเราขอบคุณมันเรา

จะพบถึงความออนโยนภายในจิตใจของเรา และเราจะรูสึกดีขึ้นอยางนาอัศจรรยใจ วิธีนี้ผมไดปฏิบัติ

มาแลว ไดรับรูถึงพลังของมันอยางชัดเจน ผมขอรับประกันวามันเปนเทคนิคที่มีประสิทธิภาพสูงมาก

อนึ่ง การขอบคุณ…พวกเราไมจําเปนตองรอใหอารมณเสียแลวคอยทําหรอกนะ ผมขอแนะนําใหทําใน

ทุกเชาและกอนนอน ทําสักครั้งละหาถึงสิบนาที แลวพวกเราจะพบวา วันนั้นไดกลายเปนวันที่พิเศษไป

ทั้งวัน ดังนั้น นอกจากการขอบคุณจะสามารถแกไขสถานการณอารมณเสียไดแลว เราสามารถใชมัน

ไดทุกเวลาและสถานที่อีกดวย มันเปนสิ่งที่ใหประโยชนอยางเดียวเทานั้น หาขอเสียไมไดเลย

139

Page 140: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บททื่8 วิธีสรางความรูสึกดีแบบอื่น ๆ

นอกจากที่ไดกลาวมาแลว ผมขอแนะนํากิจกรรมตอไปนี้ที่ลวนแลวแต ยอดเยี่ยมไรเทียมทานทั้งสิ้น

ขอใหพวกเราฝกทําไปตามความชอบก็แลวกัน สวนตัวผมเองนั้น ไดทําทุกอยางที่ผมจะกลาวตอไปนี้

ไปยืนที่หนากระจก ยิ้มใหกวาง ๆ เปนเวลา 1 นาที ใหทําวันละ 3 คร้ัง (ควรเปดเพลงเพื่อสราง

บรรยากาศ) กลามเนื้อ 80 มัดบนใบหนาจะถูกฝกใหแสดงออกวามีความสุขอยางอัตโนมัติ

(จงเลิกทําตัวเปนเสือยิ้มยากหรือคนหนาเฉยชาเสียที)

ฮัมเพลง รองเพลง ปรบมือ ดีดนิ้ว ผิวปาก เตนรํา หรือด้ิน โดยเฉพาะการดิ้นกับเพลงมันส ๆ

ผมบอกไดเลยวา เพียงยี่สิบนาที… ทุกอยางจะเรียบรอย

วิ่งกระโดด… ขอใหลองกึ่งวิ่งกึ่งกระโดดสลับขาไปมาอยางที่พวกเราเคยทําตอนเด็กดู เราจะ

รูสึกวาสนุกมากทีเดียว

ทําการเคลื่อนไหวที่ทรงพลัง กลาวคือใหเจตนาเคลื่อนไหวใหเร็ว ๆ ส่ันมือไว ๆ ปรบมือแบบ

ปะทะแลวกระชากออกจากกันใหเร็วที่สุด หรือวิ่งอยางเร็วจี๋ (แตตองไมเร็วจนหัวใจวายนะ

ครับ)

หัวเราะใหดังมาก ๆ โปรดจําไววา บางครั้งการทําตัวราวกับคนบาและไรสาระ คือการมีสาระ

ทําอะไรก็ไดที่มันนาขัน อะไรก็ไดที่มันตลก อะไรก็ไดที่มันนอกกรอบ (ที่ชาวบานเขาไม

เดือดรอนนะ)

และหากวาไมมีอะไรไดผลเลยแมแตอยางเดียว (ซึ่งไมนาจะเปนไปได) งั้นขอใหแคยิ้มไป

เร่ือย ๆ แคยิ้มแลวทุกอยางจะโอเคแคยิ้มแลวทุกอยางจะเรียบรอย แมรูวาฝนยิ้มก็ไมเปนไร ให

ยิ้มตอไปอีกเดี๋ยวจะดีเอง อีกเดี๋ยวการฝนจะหมดไป อีกเดี๋ยวจะไดความรูสึกดีกลับคืนมา และ

วิธีนี้ใชไดในทุกสถานการณ ทุกเงื่อนไข ทุกโอกาส ทุกสถานที่ และทุกเวลา

140

Page 141: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 9 พวกเราทําอยางไรแลวดีขึ้น

นอกจากที่ไดกลาวมาแลว พวกเราทุกคนตางมีกลยุทธ เทคนิค และวิธีการสวนตัวในการสรางอารมณ

ดีและปราบอารมณรายดวยกันทั้งนั้นแหละ ดังนั้นวิธีการเหลานั้นยอมตองรวมเขาไปดวย เอาละ บอก

ผมหนอยสิวา เมื่อพวกเราอารมณเสีย พวกเราทําอยางไรกันบางถึงไดอารมณดีข้ึน

(เชน ฉันออกไปช็อปปง)…………………………… ……………………………

……………………………………………………………………………………

……………………………………………………………………………………

……………………………………………………………………………………

……………………………………………………………………………………

……………………………………………………………………………………

……………………………………………………………………………………

……………………………………………………………………………………

……………………………………………………………………………………

พวกเราที่รัก อะไรที่มันเคยไดผลมาแลว ก็ขอใหทําตอไปอะไรที่ยังไมเคยลองทําที่แนะนําไวใน

หนังสือเลมนี้ ก็ลองฝกฝนดู เปาหมายของเราคือการสรางความรูสึกดีกับทุกสิ่งที่เราตองการและการ

แกไขยามอารมณเสียใหกลับมาอารมณดีไดเร็วไว บัดนี้พวกเรากําลังกาวไปสูข้ันตอนที่ส่ีซึ่งตอน

สุดทายของวิธีดึงดูดสิ่งที่เราตองการแลว ไปตอกันเลยครับ

141

Page 142: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 10 ขั้นที่ 4 ปลอยใหมันเกิดขึ้น

พวกเราไดศึกษาเรื่องวิธีดึงดูดสิ่งที่เราตองการผานไปแลวถึงสามขั้นตอนและเพื่อกันลืม ผมจะทบทวน

ใหอีกครั้งดังนี้ 1. จงระบุออกมาใหชัดวาอะไรคือสิ่งที่พวกเราไมตองการ 2. จากนั้น จงเปลี่ยนสิ่งที่ไมตองการในขอหนึ่งใหกลายเปนสิ่งที่ตองการ 3. ใหดําเนินชีวิตประจําวันดวยการทําใหตนเองรูสึกดี (มาก ๆ ) กับสิ่งตาง ๆ ที่เรา

ตองการในขอสอง บัดนี้เรากําลังเขามาสูข้ันตอนที่ส่ีซึ่งเปนขั้นตอนสุดทายแลว 4. หลักการของขั้นที่4 มีอยูวา ใหเราทําตัวพรอมกับดําเนินชีวิตตอไปอยางราเริง

ที่สุดเทาที่จะทําได และในระหวางนั้น ใหเชื่อวาสิ่งที่พวกเราตองการกําลังอยูบนเสนทาง

ของมันที่ตรงดิ่งมาหาเรา และเราเองก็เชนกันที่กําลังอยูบนเสนทางที่ตรงด่ิงไปหามัน เรา

และมันกําลังดึงดูดซึ่งกันและกัน จงใหเวลาเพื่อปลอยใหมันบังเกิดขึ้นโดยไรความกังวลจง

ราเริงใหมาก ๆ เสมอ

เมื่อเราไดทําถูกมาถึงสามขอแลว เปรียบไดกับเราไดหวานเมล็ดพันธุไปแลว ดังนั้นมันจะมีเวลา

ทิ้งชวงจํานวนหนึ่งกอนที่เราจะไดเก็บเกี่ยว ไมมีใครหรอกที่สามารถหวานในวันนี้แลวเก็บเกี่ยวในวัน

พรุงนี้ทันที ก็เชนกัน พวกเราตองไมใจรอนจนเกินไป ส่ิงที่ควรทําที่สุดในชวงเวลาเชนนี้คือความรูสึก

เชื่อมั่น ความรูสึกมั่นใจ และการปลอยวางกฏแหงการดึงดูดจะทํางานในสวนที่เหลือใหเราเปรียบ

เหมือนกับวาเราไดทําหนาที่ของเราคือหวานเมล็ดพันธุลงในดินแลว รดน้ําพรวนดินแลว ฉะนั้น หนาที่

การเจริญเติบโตยอมเปนของเมล็ดพันธุดวยตัวมันเอง และเวลาที่มันตองใชเพื่อการเจริญเติบโตนี่แห

ละคือเวลาทิ้งชวงที่เราตองมอบใหกับมัน ฉะนั้น เราจะกังวลไปทําไมวาเมล็ดพันธุที่เราเพาะปลูกจะไม

เจริญเติบโตใหเราเก็บเกี่ยว มันชางเหลวไหลสิ้นดี ดังนั้น นอกจากความราเริง ความปติยินดี ความ

เชื่อมั่นและการปลอยวางวามันจะตองเปนไปตามกฏอยางแนนอนแลวพวกเราอยาไปวติกกงัวลเปนอนั

ขาด เพราะวาการวิตกกังวลแปลวาเรารูสึกไมดีตอส่ิงที่เราตองการ นั่นคือการทําตรงขามเสียแลว แลว

เราจะไดส่ิงที่เราตองการไดอยางไรในเมื่อเรารูสึกไมดี และตอไปนี้เปนอาการของคนจํานวนหนึ่งที่เรา

หามเลียนแบบหากเราไมอยากผลักไสสิ่งที่เราตองการใหไกลออกไปอีก

142

Page 143: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

“ไอสิ่งที่ฉันตองการเนี่ย เมื่อไหรมันจะไดสักทีวะ?” “นี่มันก็หลายวันแลว แตไอที่รอคอยไมมีทาทีเลย ควาน้ําเหลวละมั้งเรา?” “ฉันก็ทําถูกทั้งสามขั้นตอนแลวนี่หวา แตไหงไมไดสิ่งที่ตองการวะ?” “เซ็งวะ เมื่อไหรมันจะมาสักทีวะ?” “ฉันกะแลววามันคงไมเปนไปอยางที่ฉันคิดหรอก”

ยามใดที่เราพูดหรือนึกคิดดวยประโยคอยางนั้น มันทําใหเรารูสึกแยอยางชัดเจน มันจึงขัดแยง

กับเจตนารมณที่เราพยายามจะสรางความรูสึกดีใหกับส่ิงที่เราตองการ ส่ิงที่เราตองทําจริง ๆ คือสราง

ความรูสึกวาสบายใจ ราเริง ยิ้มแยมแจมใส ปติยินดี และมีชีวิตชีวาใหมาก ๆ ส่ิงที่เราตองทําก็คือ

ออกไปทํางานดวยความกระตือรือรนกระฉับกระเฉง ใหคงความราเริงไวมาก ๆ หากยามใดเกิดนึกถึง

ส่ิงที่ตองการขึ้นมาครั้งใด ก็ใหนึกคิดไปในลักษณะเชิงบวกทั้งสิ้น นี่แหละคือการรูสึกเชื่ออยางแทจริง

และการเชื่ออยางแทจริงนั่นแหละคือเนื้อหาของหัวขอนี้ที่วา .... ปลอยใหมันบังเกิดขึ้น

ในเมื่อพวกเราไดเขาใจเทคนิคการดึงดูดสิ่งที่ตองการอยางถองแทแลว มันยอมถึงเวลาแลวที่

พวกเราจะสรางอนาคตใหอยูในกํามือของเรา และตอไปนี้คือเนื้อหาของภาคสุดทายที่จะทําใหพวกเรา

มองเห็นโอกาสในโลกยุคใหมวามันสดใสซาบซากวายุคใด นี่คือยุคที่คนเราสามารถประสบ

ความสําเร็จไดงายกวายุคกอน ๆ เราไปศึกษากันเถอะวา ในภาคที่ 4 จะมีขอมูลสําคัญอะไรบางแก

พวกเราบาง

143

Page 144: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

ภาค 4 อนาคตอยูในกํามือของเรา

144

Page 145: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 1 ภูเขาแหงความมั่งค่ังทั้งหก

ในโลกยุคใหมนี้ ความมั่งคั่งรํ่ารวย และความสําเร็จคือโอกาสที่เปดกวาง แตส่ิงที่ขาดไมไดคือการมี

เปาหมายหรือรูวาพวกเราจะมั่งคั่งรํ่ารวยกับอะไรบาง? ฉะนั้น พวกเราตองมองไปที่ภาพใหญกอนวา

ตอนนี้คนในโลกกําลังรํ่ารวยกับอะไรอยู จากนั้น พวกเราถึงจะคิดไดชัดเจนวาจะร่ํารวยกับเขาบางได

อยางไร ตอไปนี้คือภูเขาแหงความมั่งคั่งทั้งหกที่คนในโลกกําลังสรางกันอยู

โลกแหงสินคา และบริการ ไดแกสินคาและบริการทุกชนิด โลกแหงอสังหาริมทรัพย ไดแก บาน ตึก และที่ดิน เปนตน โลกแหงการลงทุน เชน หุน พันธบัตร ตราสารหนี้ เปนตน โลกแหงธุรกิจเครือขาย ซ่ึงปจจุบันขยายตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ โลกแหงนักขายมืออาชีพ และสุดยอดนักบริหาร โลกแหงการทํา E-commerce ในอินเตอรเน็ต

ตอนนี้พวกเราคงพอไดไอเดียคราว ๆ แลว ตอไปผมขอใหพวกเราใชความรูสึกกันสักหนอย

เรารูสึกชอบแบบไหนละ ภูเขาทั้งหกนี้ลวนสามารถสรางความมั่งคั่งที่ไรขีดจํากัดไดทั้งสิ้น เราจึงตอง

เลือก หรืออาจเลือกโดยผสมผสานกันมากกวาหนึ่งอยางก็ได ขอใหพวกเราหลับตาลง แลวสรางจินต

ภาพดูวา พวกเรากําลังจะเปนเศรษฐีเงินลานกับภูเขาแหงความมั่งคั่งลูกไหน? สมมติวาเวลาไดผานไป

สามปจากที่พวกเราไดอานหนังสือเลมนี้แลว พวกเราจะยื่นนามบัตรที่บงบอกวาเราอยูในธุรกิจดาน

ไหน มันคืออะไรกันแนพวกเราบอกไดไหมครับขอใหตอบคําถามขอนี้ใหไดเพราะวามันสําคัญที่เราตอง

เห็นภาพใหญของตัวเราเองกอน แลวเราถึงจะสามารถดําเนินชีวิตไปตามนั้นได จงตัดสินใจใหเด็ด

เดี่ยวเสียวาจะเปนเศรษฐีในดานไหน แลวอนาคตจะอยูในกํามือของเรา

เอาละ พวกเรามาฝกพูดในจินตนาการกันหนอย อยาลืมใสความรูสึกเชื่อเขาไปดวยนะครับ

ผมมั่งค่ังร่ํารวยจากการทําธุรกิจครับ ดิฉันมีอิสรภาพทางการเงินจากการสรางธรุกิจเครือขายคะ ดิฉันหาเงินลานไดจากอสังหาริมทรัพยคะ ดิฉันหาเงินลานไดจากการลงทุนในตลาดหุนคะ ดิฉันหาเงินลานไดจากการเปนสุดยอดนักขายคะ ผมหาเงินลานจากการเปนสุดยอดนักบริหารครับ ผมรวยในพริบตาจากโอกาสที่เปดกวางบนอินเตอรเน็ตครับ

145

Page 146: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

ยิ่งเรารูชัดเทาไหรวาตอนนี้เราเปนใคร และตอไปเราจะเปนใคร ยิ่งเรารูชัดเทาไหรวาตอนนี้เรากําลังทํา

อะไร และตอไปเรายังจะทําอะไรอีก ยิ่งเรารูทิศทางวาตอนนี้เราอยูที่ไหน และเรากําลังจะไปที่ไหน

ความสําเร็จยอมเปนเรื่องที่งายขึ้นและเร็วขึ้นเทานั้น คนแบบพวกเรานี้ผมเรียกวา…. คนที่มีเปาหมาย

ครับ

146

Page 147: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 2 ชวยสมองอีกสองเรื่อง

คนที่มีอนาคตคือคนที่มีเปาหมาย ยิ่งมีเปาหมายมากก็ยิ่งมีอนาคตมาก สวนคนที่มีเปาหมายนอย

หรือไมมีเปาหมายเลย คือคนที่มีอนาคตนอยมากหรือไมมีอนาคตเลย ศาสตรแหงความสําเร็จจํานวน

หนึ่งที่ผมศึกษาย้ําตรงกันวา เปาหมายคือปจจัยตัวใหญมากที่ขาดไมไดและผมก็เห็นดวยวา …

นอกจากพลังแหงอารมณความรูสึกที่ผมไดเนนย้ํามาตลอดทั้งเลมเพื่อความสุขแลว เปาหมายคือพลัง

ที่นําไปสูความสําเร็จ ฉะนั้น เมื่อไหรที่เรามีความรูสึกดี และมอบความรูสึกดีใหกับเปาหมายซะ เราจะ

กลายเปนแบบอยางของคนที่มีความสุขและความสําเร็จที่หาไดยากยิ่งที่ควาไวไดทั้งสองประการ และ

ผมยอมรับไมไดหากเราจะไดไวเพียงประการเดียว และเพราะวาตอนนี้พวกเราเกงเรื่องพลังแหง

อารมณหรือสภาวะจิตไปแลว ผมจึงไมหวงวา พวกเราจะไมมีความสุขอีกตอไป ผมเชื่อวาพวกเราจะ

สามารถจัดการใหตัวเราเองกลับมารูสึกดีมีความสุขไดอยางรวดเร็ว ส่ิงที่เหลืออยูคือ การสอนใหสมอง

หรือความคิดของเราใชงานไดอยางมีประสิทธิภาพโดยการสอนมันวา… มีอะไรบางที่เราตองการ ที่มัน

จะตองรูและจดจําใหไดและใหความสําคัญกับส่ิงที่เราตองการอยูเสมอ ดังนั้นเราจึงตองชวยมันอีกสอง

เรื่อง คือ 1. เราตองบอกมันกอนวาเราตองการอะไรบาง… และ 2. เราตองชวยมันจดจําโดยเขียนออกมาใหละเอียด ซ่ึงอันนี้แหละคือเปาหมาย

ดังนั้น ถาเราอยากใหสมองมันชวยเรา เราตองชวยมันกอนเอาละ เราไปจัดการกับเร่ืองแรกใหสมองกัน

เลย

147

Page 148: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 3 สิ่งที่ฉันตองการ?

หากวาจะมีคําถามใดคําถามหนึ่งที่อาจเปนสาเหตุใหคนเรามีโอกาสสุขสมหวังไดแลวละก็ มันยอมตอง

เปนคําถามนี้อยางแนนอน “ฉันตองการอะไร?” และใครก็ตามที่ไมสามารถตอบคําถามขอนี้ไดถูกตอง

แมนยํา ก็อยาหวังเลยวาจะไดพบกับคําวาความสมหวังที่แทจริง คนที่ไมรูวา “ฉันตองการอะไร?”

เปรียบเหมือนกับกอนหิน เมื่อผมถามกอนหินวา “คุณกอนหิน คุณตองการอะไรครับ?” กอนหินจะตอบ

วา “ประทานโทษ นี่คุณจะบาหรือไง ผมไมรูหรอกครับวาผมตองการอะไรผมไมรูดวยซ้ําวาผมมีตัวตน

และอันที่จริงนั้น ผมพูดไมไดอีกดวย” แตคนเราไมใชกอนหิน เราคือมนุษยที่เฉลียวฉลาดที่สุด เรามี

สมองที่มีศักยภาพมากที่สุด แตเราตองบอกมันใหชัดเจนวาเราตองการอะไรเสียกอน แลวมันจะชวย

เราไดอยางมีประสิทธิภาพ และหนทางเดียวที่เราจะชวยใหมันรูก็คือบอกกลาวเลาสิบกับมันซะ คุณ

ผูอานที่รักไดโปรดตอบคําถามนี้อีกครั้ง

สิ่งที่ฉันตองการอยางแทจริงคือ

………………………………………………………………

………………………………………………………………

………………………………………………………………

………………………………………………………………

………………………………………………………………

………………………………………………………………

………………………………………………………………

………………………………………………………………

………………………………………………………………

ส่ิงที่พวกเราตองการอยางแทจริงนั้นมีมากมาย เนื้อที่วางในหนังสือเลมนี้มีนอยในการใหพวกเรา

ไดซอมเขียนถึงความตองการเพียง 9 ขอขางบนนี้ไมพอหรอก พวกเราตัองหาสมุดสวนตัวมาเขียนเพิ่ม

คอย ๆ ทําไปเรื่อย? ๆ วันไหนนึกถึงอะไรไดเพิ่มเติมอีกก็ใหเขียนเพิ่มเขาไปจนกวาจะสมบูรณ สวน

อะไรที่เราเกิดเปลี่ยนใจวาไมอยากได ก็ใหขีดฆาออกจากรายการที่ไดเขียนไว

ยิ่งไปกวานั้น พวกเราอยาเผลอไปใชถอยคําที่อาจทําใหสับสนได เชนอยาใชคําวา “ควร” ในยาม

ที่เรากําลังยุงอยูกับเร่ือง “ส่ิงที่ฉันตองการ” เชน

148

Page 149: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

“ฉันควรซื้อรถคันนี้ไหม?” ใหเปลี่ยนเปน “ฉันตองการซื้อรถคันนี้ไหม?” ส่ิงที่ผมพยายามย้ําเตือนพวก

เราก็คือ…. ตอนนี้เรากําลังพิจารณาวาเราตองการอะไรจริง ๆ เราไมไดสนใจวามัน “ควร” ไหมเปรียบ

เหมือนถาเราสนใจหญิงสาวคนหนึ่ง ที่เราอยากรูที่สุดคือ “ฉันตองการแตงงานกับหญิงสาวคนนี้

หรือไม?” ถาตองการจะไดพิจารณาเรื่องวิธีการตอไป ถาไมตองการก็จบซะ แตไมใชถามอยางนี้ “ฉัน

ควรแตงงานกับหญิงสาวคนนี้หรือไม?” นี่แหละที่เปนตนตอที่ทําใหสับสนในแงที่วา… มันเปนคําถามที่

อาจทําใหเราไมรูวาจริง ๆ แลวเราตองการอะไร โลกใบนี้สับสนวุนวายเพราะวาคนจํานวนมากไมรูใจ

ตัวเองวาตองการอะไรกันแน คําวา “ควร” คือตัวบอนทําลายที่เกงที่สุดในโลกนี้เลยทีเดียว

“ฉันควรกลับบานตอนนี้ไหม?” คําถามแบบนี้เหมือนดีและมีเหตุผลใชไหม? แตผมใหคะแนน

เทากับศูนย มันทําใหสมองทํางานหนักโดยไมจําเปน จงเปลี่ยนไปถามวา “ฉันตองการกลับบานตอนนี้

ไหม?” งาย ๆ แคนี้เอง จงใหทิศทางการคิดที่ชัดเจนกับสมองซะ แลวมันจะงายขึ้นเยอะ

“ฉันควรไปดูหนังเรื่องนี้ไหม?” คําถามแบบนี้ก็เชนกันที่ไมไดเร่ือง พวกเราจงถามใหมวา “ฉันตอง

ดูหนังเรื่องนี้ไหม?” แบบนี้คอยรูเร่ืองหนอย แบบนี้ซิที่ชวยสมองใหทํางานอยางมีประสิทธิภาพ “ฉันควร

มีสุขภาพที่ดีใชไหม?” บาชัด ๆ ที่ถามตนเองแบบนี้ เปนคําถามที่เหมือนดีแตแยเพราะไปถามซะ

ซับซอนเชียว จงถามใหมันตรงประเด็นวา “ฉันตองการมีสุขภาพที่ดีไหม?” ถาตองการ ก็ทําไปตามนั้น

ถาไมตองการก็ทําไปตามนั้น แตอยางนอยตองรูใหชัดวาเราตองการอะไรกันแนใหได

คุณผูอานที่รัก ไมวาเรากําลังอยูที่ไหน? เมื่อไหร? กับใคร? หรืออยูในสถานการณใด ๆ จงถาม

ตนเองวา “ตอนนี้ฉันตองการอะไร?” จงฝกใหเคยชินจนอยูตัวที่จะถามตนเองวา “ฉันตองการอะไร” ไป

จนตลอดชีวิต แลวชีวิตของพวกเราจะแสนวิเศษ สวนคําถามที่วา “ฉันตองทําอะไรตอไป” หรือ “ฉันควร

ทําอยางไร” นั้น พวกมันเปนคําถามที่สามารถถามไดตอเมื่อเรารูแลววา…เราตองการอะไร

149

Page 150: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่4 ต้ังเปาหมาย

เมื่อเรารูชัดเจนแลววา เราตองการอะไร ข้ันตอไปที่เราตองชวยสมอง คือ ชวยใหมันจดจําอยางฝงใจ

ดวยการเขียนสิ่งที่ตองการและวิธีที่จะไดมาดวยเทคนิคที่เรียกวา “การตั้งเปาหมาย” พวกเราหลายคน

มักคิดวา “แตฉันตองจําไดอยูแลวนี่วาฉันตองการอะไร” นี่คือส่ิงที่คนสวนใหญในโลกเปนกันทั้งนั้น ผม

กลาพูดวา “คนสวนใหญ” เชียวรึ! ยิ่งกวากลาอีกเพราะตัวเลขที่ผมรูทําใหผมช็อก

มีคนรอยละ 3 เทานั้นที่เขียนเปาหมายลงบนกระดาษ

สวนใหญที่เหลืออีกรอยละ 97 ไมเคยทําเลยชั่วชีวิต

ยิ่งไปกวานั้น ตัวเลขเกี่ยวกับผลประโยชนที่คนสองกลุมนี้ไดรับก็นาตกใจไมแพกัน กลาวคือคนที่มี

เปาหมายประสบความสําเร็จเปน 2 ถึง 10 เทาของคนที่ไมมีเปาหมายหรือไมไดเขียนเปาหมายไวใน

กระดาษ ดวยเหตุผลนี้ ผมมักบอกกับผูฟงในการบรรยายของผมทุกครั้งวา “ใหรีบยายตนเองให

กลายเปนคนรอยละ 3 ที่เขียนสิ่งที่ตองการลงบนกระดาษ และที่จริงพวกเรานาจะตื่นเตนที่เราได

กลายเปนคนรอยละ 3 นั่น และคําถามเดียวที่ผมสามารถถามพวกเราไดก็คือ “พวกเราตองการ

กลายเปนคนรอยละ 3 ไหมละ?” ถาตองการมันก็งาย ถาไมตองการ เชื่อผมเถอะ… วางหนังสือเลมนี้

ลงหรือไมก็บริจาคมันใหกับคนอ่ืนเสียเถอะ ตอไปนี้คือคําถามสําคัญ

คุณตองการและตัดสินใจที่จะกลายเปนคนรอยละ 3 ทีมีอนาคตมากหรือไม? หากคําตอบคือใช งั้นเรา

ไปดูตอวาการตั้งเปาหมายที่ดีมีองคประกอบอะไรบาง? 1. ระบุสิ่งที่ตองการใหชัดเจนวามันคืออะไรบนหัวกระดาษ 2. ใสระยะเวลาที่คาดวาจะใชเพื่อใหไดมันมา หรือบอกกําหนดเสนตายเอาไววาเราจะ

ทําใหเสร็จภายในวันที่เทาไหร เดือนอะไร และปไหน?

3. เขียนเหตุผลใหมากที่สุดวาทําไมเราถึงตองการสิ่งนี้ ยิ่งเรามีเหตุผลหรือความจําเปน

มากเทาไหร นั่นแปลวาเรามีแรงขับหรือแรงจูงใจมากมายตอการที่จะยอมทุมเทเพื่อใหได

มันมา คําวา “ทําไม” นั้นเปนคําที่ตองใชดวยความระมัดระวัง แตถาเรารูชัดเจนแลววาเรา

ตองการอะไร คําถามที่ถามตอไปวา “ทําไมฉันถึงตองการมันนักละฉันทําไปเพื่อใครหรือ

เพื่ออะไรละ” คําถามทํานองนี้กลับทําใหเรายิ่งรูชัดวา… เราตองการสิ่งที่เราตั้งเปาหมาย

150

Page 151: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

ไวจริงหรือเปลา ตามปกติแลวมันจะใหพลังกับเรามากขึ้น เพราะมันกระตุนใหเราลงมือทํา

เพื่อบรรเทาหรือใหไดมาสิ่งที่เรายังขาดแคลนอยูนั่นเอง ผมเคยพบคนมามากที่บอกวาทํา

เพื่อลูก เพื่อพอแม เพื่อนอง ๆ เพื่อจะไดไปทองเที่ยวรอบโลก หรือเพื่ออะไรก็ตาม ส่ิง

เหลานั้นแหละคือเหตุผลที่อาจเปนไปไดในขอที่ 3 นี้ ฉะนั้น จงระดมสมองและเขียนพวก

มันออกมามาก ๆ

4. ระดมความคิดถึงการกระทําตาง ๆ ที่อาจเปนไปไดทั้งหมด ในขั้นตอนนี้ยังไมตอง

คิดถึงลําดับความสําคัญเพราะจะทําใหยาก ขอใหเขียนมันออกมาเทาที่จะนึกคิดได เขียน

ใหมาก ๆ ข้ันตอนนี้อาจกินเวลาหลายวันก็ได และเมื่อไหรที่คิดเพิ่มอีก ก็เขียนเพิ่มเขามา

ในหัวขอนี้อีก

5. เอาขอมูลจากขอ 4 มาจัดลําดับความสําคัญ เขียววาอะไรตองทํากอน อะไรตองทํา

หลัง นี่คือการวางแผน ลองนึกถึงตอนที่เราเคยจัดตารางสอนไปโรงเรียนดูสิ สิ่งที่เราทําใน

ข้ันตอนที่ 4 ก็คลายกับแผนของการปฏิบัติที่จัดตารางสอนแลวนั่นเอง

6. ใหลงมือทําไปตามแผนที่ไดกําหนดไวในขอที่ 5 ทันที คนจํานวนหนึ่งวางแผนเสร็จ

แลวเมื่อทํามาจนถึงขอที่ 5 แตแลวกลับหยุดอยูแคนั้น มันนาเสียดายจริง ๆ มีการ

ลอเลียนกันมากกับเรื่องแบบนี้ เชน “คุณวางแผนไวหรือยัง?” แลวคําตอบที่ไดกลับมาคือ

“วางไวแลวครับ คือผมเอาแผนวางไวแลวครับ” ก็เลยไมไดทําสักที ขงจื้อสอนไวดีมากวา

“หนทางหมื่นลี้ เร่ิมตนที่กาวแรก” ฉะนั้นพวกเราตองรีบรอนที่จะทําใหมันแนนอนลงไป

ดวยการ “ทํามันไปเลยทันทีเมื่อวางแผนเสร็จ” หาไมแลวเราอาจลังเลได อันวาคนโลเลนั้น

คืออาการของคนที่พายเรือในอาง หรือทําอะไรครึ่ง ๆ กลาง ๆ คือมักไปไดไมถึงไหนสักที

ฉะนั้น กอนที่จะเกิดการเปลี่ยนใจขึ้น จงมุงเนนไปที่การปฏิบัติจนเกิดแรงสงที่หนุนใหเรา

ทําตอไปไดโดยงาย และดํารงการกระทําและแรงสงนั้นไว นี่แหละคือวินัยเล็ก ๆ ที่ผมเคย

กลาวถึงมาแลว

7. ทําตอไปอยางคงเสนคงวา โดยสังเกตหรือใหรูสึกไววาเรากําลังไดผลลัพธอะไรอยู ถา

มันใชส่ิงที่เราตองการ ก็ขอใหเรามุงเนนการปฏิบัติตอไป แตถาไมใช ขอใหเราปรับแผน

โดยเปลี่ยนวิธีการใหม ๆ จากนั้นสังเกตอีกวาเรากําลังไดผลลัพธแบบไหนอยู ตรงกับที่เรา

ตองการหรือไม หากไมใชก็เปลี่ยนอีก ถาหากวาไมใชอีกก็เปลี่ยนอีก ทําไป ยืดหยุนไป

ปรับวิธีการไปจนกวาเราจะบรรลุเปาหมายที่เราตองการ

อนึ่ง เปาหมายบางอยางไมมีกําหนดวันทําเสร็จ ในกรณีนี้ใหระบุวา “ตองทําตลอดไป” เชนเรื่อง

การดูแลสุขภาพใหดีที่สุดอยูเสมอยอมเปนเปาหมายที่ไมมีวันทําเสร็จ เชนเดียวกับสุขภาพที่ดี

เจตนารมณที่จะมีสภาวะจิตที่แข็งแกรง อารมณดี มีความสุข ความสงบ สุขภายใน และนามธรรมอืน่ ๆ

151

Page 152: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

อีกมากลวนแลวแตเปนเปาหมายที่เมื่อตั้งขึ้นมาแลว ลวนเขาขายเปนเปาหมายยาวนานตราบจนชีวิต

จะหาไมทั้งสิ้น ในเมื่อผมไดกลาวถึงเปาหมายแลว ผมยังมีสูตรแหงความสําเร็จที่จะมอบใหอีกดวย มัน

เปนสูตรที่งายและตรงกับสามัญสํานึกของเราเปนอยางยิ่ง อานครั้งเดียวก็นาจะจําขึ้นใจไดแลว

152

Page 153: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่5 สูตรความสําเร็จ

กลาวกันวา ความสําเร็จทิ้งรองรอยใหคนเราไดศึกษาสาเหตุแหงความสําเร็จอยูเสมอ ผมขอแนะนําสัก

สูตรหนึ่งที่ผมชอบเปนพิเศษ สูตรนี้คือ K-F-C

K = Know what want รูวาคุณตองการอะไร F = Find out what you are getting รูวาตัวคุณเองกําลังไดอะไรอยู C = Change what you do until you get what you want เปลี่ยนสิ่งที่คุณทําจนกวาคุณจะไดรับส่ิงที่คุณตองการ

สูตรนี้เมื่อพิจารณาโดยเนื้อหาของมันแลว… มีใครบางไมรู?

มันชางเปนสามัญสํานึกที่งายแท ๆ เชียว แตใหผมสารภาพบาปหนอยดีไหม ผมเพิ่งรูและใชมันอยาง

จริง ๆ จัง ๆ มาไมเกิน 4 ปเทานั้นเอง คิดดูสิครับวาจะมีคนอื่นที่เปนแบบผมเยอะไหม ผมคิดวาเยอะ

ถามวาทําไมผมไปเชื่อแบบนั้นละ ก็ถาความสําเร็จมันทวมทนไปกับคนจํานวนมากในประเทศแลวละก็

ทําไมเรายังจะตองไปแกไขปญหาเรื่องปากทองกันนักเลา นั่นยอมหมายความวา มันกลับเปนเรื่องที่

เพื่อนรวมชาติและเพื่อนรวมโลกของเรารูจักหรือเขาใจสูตรแหงความสําเร็จนอยมาก และใหตาย

เฮอะ… ตั้งแตอนุบาลยันปริญญาตรี เคยมีใครสักคนบอกผมเรื่องสูตรแหงความสําเร็จบางไหมพับผา

เถอะ!!!

พวกเรามักรูกันอยางกระทอนกระแทน ไมคอยเปนระบบ และสวนใหญไมรูเลย ผมคิดวาฝร่ังกไ็ม

รู คร้ังหนึ่งผมเคยคุยกับเพื่อนชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งเมื่อปที่แลว ผมบังเอิญไดถามเขาถึงคนดัง ๆ หลาย

คนที่เปนผูนําในดานการพัฒนาตนเองที่อยูในสหรัฐอเมริกา แตเขาไมรูจักใครแมแตคนเดยีว…. ใหตาย

สิโรบิ้น ผมตองรีบเปล่ียนเรื่องคุยแทบไมทัน และผมไดตระหนักรูวา คนในโลกที่สนใจศึกษาเรื่องการ

พัฒนาตนเองอยางไมหยุดยั้งนั้นไมมีมากเลยเมื่อเทียบกับประชากรโลกที่มีถึงราวกวาหกพันลานคน

ฉะนั้น เมื่อพวกเรารูสูตรนี้ K-F-C แลว ผมวาพวกเราเปนตอนะ

153

Page 154: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 6 สิ่งที่หยุดยั้งเราไวคือ ความกลัว

การที่คนเราไมคอยรูวาพวกเขาตองการอะไรจริง ๆ นับวาเปนปญหาที่หนักหนวงในตัวมันเองมากอยู

แลว แตปญหาไมไดจบลงแคนั้น เพราะตอใหคนเรารูวาพวกเขาตองการอะไรแลวก็ตาม แตจะขาดการ

กระทําหาไดไม คร้ันมองไปตามความเปนจริงที่วา… ผูคนขาดการกระทําหรือเปลา? มันก็ไมเชิงนัก แต

ผมรูสึกวา คนจํานวนมากดําเนินชีวิตไปในลักษณะที่มีความกลัวครอบงําพวกเขามากเกินไป มันจึง

เกิดอาการของโรคที่เรียกวา “ไมกลาทํา หรือทําอยางกลัว ๆ” ดังนั้นความกลัวเลยกลายมาเปนปญหา

ใหญของคนทั่วไป แทบทุกครั้งนสัมมนาของผม ผมจะเตือนใจคนฟงดวยประโยคแรกที่ดังกึกกองวา

“ส่ิงที่หยุดยั้งคุณไว คือความกลัว ส่ิงที่ปลดปลอยคุณ คือความกลา” ฉะนั้น ความสําเร็จจะเกิดขึ้นงาย

เมื่อพวกเราปฏิบัติภารกิจทั้งมวล ดวยความกลาหาญที่มากขึ้น คนจํานวนมากเก็บกักความกลัวไวใน

ความคิด การที่ไมสามารถตัดสินใจได หรือการคิดวนไปเวียนมาวา จะลงมือทําสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือไม…

เสียเวลากวาการใชเวลาทําจริงหลายเทา และสุขภาพจิตก็เสียหายตามไปดวย ฉะนั้น พวกเราตองทํา

ความเขาใจกับความกลัวใหมากขึ้น แลวเราจะเอาชนะความกลัวไดมากขึ้นตามไปดวย เราไปจัดการ

กับความกลัวกันเถอะ

154

Page 155: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 7 เรากลัวอะไรกันบาง?

เพื่อใหเขาใจถึงความกลัว พวกเราตองรูกอนวาเราอาจกลัวอะไรไดบาง ส่ิงที่เรากลัวหรืออาจกลัวไดแก

1. กลัวถูกปฏิเสธ

ทําไมคนเราถึงกลัวการปฏิเสธกันนักละ? เพราะวาตั้งแตเล็กจนโต คนทั่วไปได

เชื่อมโยงความหายของการปฏิเสธไวในแงลบลวน ๆ สมองของพวกเขาถูกสอนวา “การถูก

ปฏิเสธคือความเจ็บปวด” นอกจากนั้นมันยังอาจหมายถึง การไมไดรับการยอมรับ ความนา

อับอาย ความรูสึกวาทําอะไรก็ไมสําเร็จ (ลมเหลว) หรือแมกระทั่ง “ฉันไมเปนที่รัก” โอโฮ.. มัน

ชางเปนการตีความที่หนักหนาสาหัสมาก และเพื่อลดความเสี่ยงที่จะพบกับความเจ็บปวดที่

พวกเขาอาจใหความหมายเชิงลบไปตาง ๆ นา ๆ พวกเขาจึงเลือกจะไมทําอะไรก็ตามที่มี

แนวโนมวาอาจจะไดรับการปฏิเสธ ในที่สุด รูปแบบนี้ไดรุกลามไปจนใหญโตขึ้นเรื่อย ๆ จนชิน

กับการกลัวเอาไวกอน การไมทําทําใหพวกเขาปลอดภัยจากการอาจถูกปฏิเสธ แตการไมทําก็

ทําใหพวกเขาไมคอยไดผลลัพธอะไรในชีวิตเชนกัน ชางนาสงสารอะไรเชนนั้นที่พยายามหนี

ออกจากความเจ็บปวดที่อาจไดรับจากคนอื่น แตตองมาเจ็บปวดกับตนเองเมื่อคิดไดวา “ฉัน

ไมมีผลลัพธอะไร!” ฉะนั้นพวกเราตองปลดปลอยความกลัวออกไปจากความคิด ตอไปนี้คือวิธี

เอาชนะความกลัวตัวนี้ ผมขอใหพวกเราพยายามใหความหมายใหมเชน

การถูกปฏิเสธ คือ ความจําเปนของคนอื่น เปนเรื่องปกติแมแตตัวเราเองก็ตองทํา

เชนนั้นกับคนอ่ืนบาง

การถูกปฏิเสธ คือการลงทุนที่ตองจายออกไปเพื่อความสําเร็จ นอกจากการถูกปฏิเสธ

แปลวาความเจ็บปวดแลว มันยังอาจแปลวาอะไรไดอีกที่ดีกวานั้น (การพูดเชนนี้เปนการใหสติ

เพื่อฉุกคิด)

นอกจากวาพวกเราไดฝกใหความหมายใหมแลว จงใชหลักการที่วา “ทั้ง ๆ ที่ยังกลัว จงลอง

หรือพยายามทําในสิ่งที่กลัว แลวความกลัวจะคอย ๆ ลดลงและสูญสิ้นไปเอง”

2. กลัวความลมเหลว

ทําไมคนเราถึงกลัวความลมเหลวกันนัก? เพราะวาเขากลัววาจะเหน็ดเหนื่อย เสียแรง

เปลา เกรงวาจะขาดทุน กลัววาจะไดมาไมคุมกับที่จายไป กลัววาคนจะดูถูกหรือเยาะเยยถาก

155

Page 156: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

ถาง และคิดวามันนาอับอาย แตข้ึนชื่อวามันเปนความกลัวแลว มันมีโทษมากกวาคุณ คนเรา

อาจกลัวลมเหลวไดแตตองไมรุนแรงถึงขนาดไมกลาทําอะไรเลยตราบใดที่สมองยังเชื่อมโยงวา

ความลมเหลวคือความเจ็บปวด ตราบนั้นพวกเขาก็จะพยายามหนีไปใหไกลจากความ

เจ็บปวดหรือความเสี่ยงที่อาจพบกับความเจ็บปวดอยูเสมอ (แตมักหนีไมพนโดยไปเจอกับ

ความเจ็บปวดในอีกรูปแบบหนึ่งที่เรียกวา “โรคชวยเหลือตนเองไมได” นั่นเอง) ทางแกจึง

เหมือนกับที่ไดกลาวมาแลว คือตองพยายามฝกการใหความหมายใหมกับคําวา “ลมเหลว”

ความลมเหลว คือส่ิงชั่วคราวที่เกิดขึ้นเพื่อนําไปสูความสําเร็จ (คิดถึงเด็กหัดตั้งไข ตอง

ลมกอนแตดวยการพยายามตอไป ในที่สุดความลมเหลวชั่วคราวไดยุติลงตลอดไป)

ไมมีความลมเหลวหรอก มีแตความสําเร็จในการผลิตผลลัพธที่เกิดจากการกระทํา

เสมอ

นอกจากความลมเหลวแปลวาความเจ็บปวดแลว มันยังอาจแปลวาอะไรไดอีกทีด่กีวา

นั้น (การพูดเชนนี้เปนการใหสติเพื่อฉุกคิด) และที่ลืมไมไดคือ “ทั้ง ๆ ที่ยังกลัว ฉันจะลองหรือ

พยายามทําในสิ่งที่กลัว แลวความกลัวของฉันจะคอย ๆ ลดลงและสูญสิ้นไปเอง”

3. กลัวถูกหาวาโง / กลัวความอับอาย

บางครั้งเราอาจกลัวการกระทําบางอยางเชน การยกมือถามครูในชั้นเรียนเมื่อเรายังไมเขาใจดี

แตนั้นมันอาจแปลวาฉันโง และดวยเหตุนั้นเราจึงละการกระทํานั้นซะทั้ง ๆ ที่ถาเราทําลงไป

คนที่จะชมวาเรากลาจะมีมากกวาคนที่ดูถูกเรา บางที่เราอาจไมยอมทําเพราะวาเราไมได

เตรียมตัวมาใหดี เชนตองออกไปพูดหนาเวที เรากลัววาจะทําไดไมดีพอ เราอาจไดรับความอับ

อาย เราจึงกลัวขึ้นมาทันที แตเร่ืองนี้แกไขไดดวยการเตรียมตัวใหดีข้ึน แลวเราจะรูสึกมั่นใจวา

จะทําไดดี สวนเรื่องกลัววาใครจะหาวาเราโงนั้น มันเปนเรื่องเล็กแท ๆ แตขืนเรายังกลัวตอไป

มันจะทําใหเรากอนิสัยที่ชวยเหลือตนเองไมได การกลัววาคนอื่นจะวาเราโงนั้น แทบจะรอยทั้ง

รอยที่เราคิดไปเอง คิดอยูฝายเดียว สวนคนอื่นนั้น พวกเขามักสนใจตนเองมากกวาที่จะสนใจ

เรา ผมอยากทาทายใหพวกเราลองไปยืนที่หนาหางเซ็นทรัลสาขาไหนก็ได แลวแกลงถามคน

เดินผานไปผานมาวา “ขอโทษครับแถวนี้มีหางเซ็นทรัลไหมครับ?” ทุกคนจะชี้ไปที่ขางหลัง

พวกเราแลวบอกวา “นี่ไง” รอยละรอยจะชวยตอบคําถามนี้ใหกับพวกเรา ไมมีแมแตคนเดียวที่

พูดวา “ทําไมโงอยางนี้วะ ก็ขางหลังคุณไง” แลวเราจะพบวาคนจํานวนมากอยากชวยเหลือเรา

ขอควรระวังมีอยูอยางเดียว คือตองถามดวยความสุภาพ และก็อยางที่ผมไดบอกไว “ทั้ง ๆ ที่

ยังกลัว จงลองหรือพยายามทําในสิ่งที่กลัว แลวความกลัวจะคอย ๆ ลดลงและสูญสิ้นไปเอง”

156

Page 157: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

4. กลัวการเปลี่ยนแปลง

ทําไมคนเราถึงกลัวการเปลี่ยนแปลงทั้ง ๆ ที่คนทุกคนกําลังเปลี่ยนแปลงอยูแลวทุก

ขณะจิต เหตุผลเดียวคือพวกเขากลัววาจะไดรับส่ิงที่แยกวาเดิม เห็นไดชัดวามันมีปญหาเรื่อง

การคาดหวังนั่นเองสมมติวาถาพวกเขากําลังจะไดรับส่ิงที่ดีกวาเดิม พวกเขาตองปติยินดีแทน

ความกลัว ดังนั้น ผมขอใหพวกเรากลับไปอานเรื่องกฏแหงการคาดหวังอีกครั้ง แลวพวกเราจะ

ไมกลวการเปลี่ยนแปลง เทคนิคมากมายที่ไดกลาวไปแลวในหนังสือเลมนี้สามารถจักการกับ

ปญหาทุกรูปแบบได ผมอยากใหพวกเราตระหนักวาเรากําลังเปลี่ยนแปลงอยูตลอดเวลาทั้ง

อยางชา ๆ หรืออยางฉับพลัน โดยรวมแลวมันเปนเรื่องธรรมชาติ จําไดไหมวาผมเคยแนะนํา

ถึงขนาดใหพวกเราแทรกแซงระบบใหญภายในตัวเราเอง ฉะนั้น พวกเราตองเอาชนะความ

กลัวตอการเปลี่ยนแปลงใหได มันไดสรางความเสียหายใหกับคนมานับไมถวน เชน คนบางคน

ไมยอมเปลี่ยนอาชีพที่หมดอนาคตแลวเพราะกลัวการเปลี่ยนแปลง ขอใหพวกเราจงกลาที่จะ

เปลี่ยนแปลงกอนที่จะสายเกินไปจนไมทันการณ ผมมีเร่ืองตลกเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงจะ

เลาใหฟง ลูกชายถามพอวา “ผมไมอยากใหพอแกเลยฮะ” พอบอกวา “ไมไดหรอก” ลูกชายจึง

ถามตอไปวา “ทําไมละฮะพอ” ขืนพอไมแกลงไปเรื่อย ๆ พอก็ตายไปแลวนะสิลูกเอยลูก

ตองการอยางนั้นหรือ?” พอทั้งตอบและถามกลับไปบาง

คุณผูอานที่รัก จงสังหารอสูรกายตอนที่ตัวมันยังเล็ก จงจัดการกับความรูสึกกลัวตอน

ที่มันยังไมเติบใหญ หาไมแลวมันจะมีพลังมากจนยากที่จะเอาชนะได และทั้ง ๆ ที่ยังกลัว จง

เขาไปเผชิญหนากับมัน จงลองเขาไปมีประสบการณกับส่ิงที่กลัว จงลองทําในสิ่งที่กลัว จงลอง

ไปอยูในที่มืดถาเรากลัวความมืด จงลองไปหัดวายน้ํา ถาเรากลัวน้ํา จงลองไปฝกทําสิ่งใหม ๆ

ถาเรากลัวการเปลี่ยนแปลง แลวความกลัวในทุกรูปแบบจะคอย ๆ สูญสิ้นไปเอง

157

Page 158: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 8 หมดสิทธิ์หยุดการพัฒนาตนเอง

สมัยกอนเมื่อไมเกินรุนพอแมของเรามานี้เอง เมื่อคนเราไดจบการศึกษาแลว คนสวนใหญจะถือวา “ฉัน

เรียนมายี่สิบปแลว พอกันที ไดเวลาทํางานแลว” แตมั่นไมเปนปญหาสักเทาไหรในยุคนั้น แตใชไมได

สําหรับยุคปจจุบัน จากนี้ ไปทุก ๆ สามป โลกจะเปลี่ยนแปลงอยางกาวกระโดด ลองนึกถึง

โทรศัพทมือถือเมื่อกอนเมื่อเทียบกับวันนี้ดูสิ ก็แคสามปเทานั้น…แตมันคนละเรื่องกันไปแลว และภูเขา

แหงความรูใหมกําลังเพิ่มข้ึนเปนสองเทาของตัวมันในทุก ๆ สามป นี่คือโลกยุคใหมที่พวกเราจะตอง

ตื่นตัวในทุก ๆ ดานโดยรวม คติพจน ประจําใจที่ดีที่สุดในวันนี้คือ “การเรียนรูที่จะพัฒนาแบบตอเนื่อง

อยางไมหยุดยั้ง” หากเรายังชะลาใจตอไป อีกหนอยเราจะใชอะไรไมเปนเลย! ผมขอแนะนําใหพวกเรา

สรางนิสัยรักการอานใหมาก ๆ เพราะวาโลกยุคใหมนี้ คือยุคที่ความรูเปนพระเจา สวนเงินที่เคยเปน

พระเจากําลังออนแรงลงไปแลว ทําไมละ ก็เพราะตอนนี้เราไมไดเผชิญหนากับการไมมีเงินสภาพคลอง

นั้นมีอยูแลว แตคําถามเดียวก็คือ จะเอาเงินไปทําอะไรละ? ผมยอมรับวาคนที่ไมมีเงินยอมคิดวาเงิน

สําคัญมาก แตคนที่มีเงินแลวไมมีความรูละจะทําไง? หลาย ๆ คนเก็บเงินไวเฉย ๆ จริงไหมละครั้นลอง

หันไปมองคนที่มีความรูกันบาง ผมสามารถเห็นคนอายุนอย ๆ ที่เกงกลาเรื่องการออกแบบเว็บไซทที่

กําลังรวยเอา ๆ ดวยพลังแหงความรู เขาไมตองมีเงิน แตเขามีความรูนั่นแหละที่จะทําใหเขามีเงิน เร่ือง

อยางนี้เปนไปไมไดเลยในสมัยกอน แตสมัยนี้มันกลับตาลปตรกันหมดแลว คนมีความรูถูกซื้อตัวกัน

เปนวาเลน รวยงายกวาที่ตัวเขาเองไดฝนไวดวยซ้ํา ผมขอยืนยันวา… เงินคือประกาศิตในสมัยกอน แต

ความรูคือประกาศิตในยุคแหงปจจุบัน และคนตัวเล็ก ๆ ทุกคนมีสิทธิ์สรางเรื่องที่ยิ่งใหญได

ฉะนั้น หากพวกเราหมั่นศึกษาอะไรก็ตามเพิ่มเติมวันละหนึ่งชั่วโมง ภายในสามปเราจะ

เชี่ยวชาญในเรื่องนั้น หากวาเราอานหนังสือในวงการของเราสัปดาหละ 1 เลม ปหนึ่งเราจะอานได 52

เลมนั่นเปรียบไดกับเราไดมอบปริญญาใหกับตัวเราเองปละหนึ่งใบ และหากวาเรามีวินัยอยางตอเนื่อง

เมื่อผานไป 10 ป เราจะอานได 520 เลม นั่นแหละความรูระดับอัจฉริยะ! ผมไดตั้งปณิธานไววาจะเปน

ผูเชี่ยวชาญภาษาจีนกลางภายในสามปผมสรางวินัยวาจะทํางานในตอนกลางวัน สวนตอนกลางคืน

จะใชวลาที่วางจากการเลนและสอนลูกมาศึกษาทบทวนภาษาจีน สามปแปปเดียวก็ผานไปแลว แต

ความรูที่ไดเพิ่มพูนขึ้นทุกวันจะอยูกับผมไปจนตาย ผมคะเนวา มีคนจีนราวหนึ่งพันสามรอยลานคน

จากประชากรโลกทั้งหมดราวหกพันลานคน พูดงาย ๆ คือ ราวทุกสี่คนเปนคนจีนหนึ่งคน ฉะนั้นไมวา

ผมจะเดินทางไปไหนในโลก ผมยอมหาคนที่ผมจะสนทนาดวยไดแน และมันไมจําเปนวาตองเปน

ภาษาจีน หากเราชอบภาษาไหนหรือทักษะใด ขอใหขวนขวายที่จะเรงศึกษาโดยไว อะไรลวนอาจ

เปนไปไดในโลกนี้ยุคนี้ทั้งนั้น จําไวเสมอวา นี่มันคือยุคของความรูเปนใหญ เดี๋ยวนี้มันเปนยุคที่เขาขาย

แมกระทั่งไอเดียกันแลว จะประดุจมีแสงรัศมีที่เรืองรองรอบตัว มีแตคนที่อยากจะเชิญเราไปรวมทํา

158

Page 159: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

การคา ขอคําปรึกษาหารือ หรือเชิญเราไปทํางานใหเขา ชางเปนเกียรติและมีศักดิ์ศรีอะไรเชนนั้น! สวน

ใครที่ยังไมเชื่อวาโลกไดเปลี่ยนไปแลว แถมทําตัวไรการพัฒนาอยางตอเนื่อง ชีวิตไรความรูของเขาคง

ไดเฉาอยูกับเงินที่เก็บไวตามลําพังอยางเงียบ ๆ และเดียวดาย

159

Page 160: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 9 สถิติไมโกหก

ปจจุบันมีเศรษฐีในสหรัฐราว 5 ลานคน มีเศรษฐีเกิดใหมมากกวาปละ 100,000 คน เฉลี่ยแลวทุก ๆ 5 นาทีที่ผานไปจะเกิดเศรษฐีใหม 1 คน คาดวาคาเฉลี่ยกําลังเรงขึ้นไปที่ 1 นาทีตอ 1 คน พวกเขาเกือบทั้งหมด เริ่มตนจากมือเปลา พวกเขาเกือบทั้งหมด เคยลมเหลว ถังแตก ลมละลาย ราว 3.3 ครั้งกอนเปนเศรษฐี

คุณผูอานที่รัก สมัยนี้ ผูคนเปนเศรษฐีไดงายกวาสมัยกอนเพราะวาอุปสรรคหลายประการไดถูกกําจัด

ทิ้งไปแลวเชน

สมัยกอนมีสงครามบอย รบกันแตละคร้ังก็ยาวนาน แลวจะเอากะจิตกะใจที่ไหนไปทํามา

คาขายได

โรคระบาดในสมัยกอนทําใหคนตายเปนเบือแบบนับไมถวนแตเดี๋ยวนี้ไมมีการตายทีละมาก ๆ

อยางนั้นอีกแลว สมัยนี้ตายแค 5 คนก็เปนขาวดังไปทั่วโลกแลว

คนในยุคนี้มีเทคโนโลยีที่เปนเลิศ ทําใหคาขายกันไดสะดวก รวดเร็วกวา คิดดูสิ ทุกอยางดีกวา

สะดวกสบายกวา มีบริการมากกวา รวดเร็วกวา สมัยนี้คือยุคจิ๊กโกใจรอน ดังนั้น เจาของธุรกิจ

ก็ตองรีบควาโอกาสไว คือใหบริการสงสินคาแบบ “โคตรดวน” (ขอชมดวยจิตคารวะ) เมื่อยี่สิบ

ปกอนผมเคยสั่งหนังสือตางประเทศ หกเดือนยังไมไดเลย มันตางกันมากเมื่อเทียบกับสมัยนี้

แลวคิดดูสิอยางไหนจะขายไดมากกวากัน ระหวางหกเดือนไปแลวยังไมไดสินคากับจะสงให

ภายในสามวัน สวนสินคาภายในประเทศไมตองพูดถึงบางอยางนั้นล้ําหนาไปไกลมากถึง

ขนาดที่วา ถาอาหารที่นํามาสงไมรอนไมเก็บเงิน โอ.. ชางล้ําเลิศจริง ๆ

ยิ่งไปกวานั้น ดวยเทคโนโลยี มันจึงเปนยุคที่ตัวสินคามีคุณภาพสูงและราคาถูก นี่คือขอ

ไดเปรียบอยางชัดเจน มันจึงขายดีเปนเทน้ําเททา และผูคนที่รูจักทํามาคาขายจึงตางพากันรวยเอา ๆ

เปนวาเลน นี่คือยุคที่รํ่ารวยไดงายที่สุดแลวขอบอก

160

Page 161: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 10 เปนเจาแหงการใชกลยุทธ

การดําเนินชีวิตนั้นตองมีกลยุทธ และสุดยอดแหงกลยุทธก็คือการที่ พวกเราคนหาตนแบบของคนที่ได

ส่ิงที่พวกเราตองการไปแลวใหพบตอไปนี้คือส่ีข้ันตอนในการดําเนินกลยุทธข้ันสุดยอด

1. อยาเริ่มตนเรียนรูจากศูนยโดยไมจําเปน 2. คนหาวาใครคือคนที่ มี เปน หรือได ในสิ่งที่เราตองการไปแลว 3. จงศึกษา ไตถาม วาเขาทําไดอยางไร 4. จากนั้นจงทําตามเพื่อผลิตผลลัพธซํ้าในสิ่งที่เราตองการ

ยกตัวอยางเชน ถาพวกเราอยากลดความอวน จงหาตนแบบของคนที่รูปรางสมสวนและสุขภาพ

ดีใหพบ ถามเขาวาเขาเชื่อในอะไร เขากินอะไร เขาออกกําลังกายและดูแลตนเองอยางไร เมื่อไดเคร็ด

ลับจากเขาแลว ใหลองทําตามไปเพื่อสรางผลลัพธอยางเดียวกับเขา จําไววา จงอยาไปหาหมอหรือใคร

ก็ตามที่อวนฉุเพื่อขอความชวยเหลือเร่ืองการลดน้ําหนักเปนอันขาด นั่นไมใชตนแบบที่จะใหคําปรึกษา

ที่เหมาะสมกับเราได ลําพังเขาเองยังเอาตัวไมรอดเลย!

ในทํานองเดียวกัน จงหาตนแบบในทุกเรื่องที่พวกเราตองการใหพบ ถามเขาวาเขาทําอยางนัน้ได

อยางไร จงขอเคล็ดลับจากเขา จากนั้นนําไปปฏิบัติดูวามันใหผลลัพธตรงกับที่เราตองการหรือไม ถาไม

จงหาตนแบบใหม วิธีนี้เราจะประหยัดเวลาไดเปนอันมาก

161

Page 162: ชีวิตที่แสนวิเศษ A Wonderful Life

บทที่ 11 พวกเราตองการมันไหม?

ในที่สุด ภารกิจของผมกับหนังสือเลมนี้ไดเดินทางใกลถึงจุดหมายปลายทางแลว ผมอยากฝากคําถาม

ที่สําคัญใหพวกเราตอบ ไมมีใครบังคับใครได พวกเราแตละคนตองตัดสินใจดวยตัวเอง ส่ิงตอไปนี้พวก

เราแตละคนตองการมันไหม?

1. การดําเนินชีวิตอยางปฏิหาริยดวยการมีสุขภาพรางกายที่แข็งแรงยิ่ง 2. การดําเนินชีวิตอยางปฏิหาริยดวยการมีสมองที่เฉลียวฉลาดเปนเลิศ

3. การดําเนินชีวิตอยางปาฏิหาริยดวยการเปนเจาแหงการเงินและหนาที่การงาน

4. การดําเนินชีวิตอยางปาฏิหาริยดวยการเปนเจาแหงความสัมพันธที่เลอเลิศ

5. การดําเนินชีวิตอยางปาฏิหาริยดวยการเปนเจาแหงดุลยภาพของกาลเวลา

6. การดําเนินชีวิตอยางปาฏิหาริยดวยการเปนนายแหงอารมณความรูสึก

7. และสุดทาย การดําเนินชีวิตอยางปาฏิหาริยดวยการมีจิตวิญญาณที่สงบสุข และเปยมสุข

คุณผูอานที่เคารพ ผมมีคําพูดนับลานคําที่ไดพูดออกไปแลว และผมหวังวาผมจะมีคําพูดอีกหนึ่งลาน

คําที่จะไดพบกับพวกเราอีกครั้งในอนาคตอันใกล ผมขออวยพรใหพวกเรามีแตความสุขและความรา

เริงอยูเสมอ และถอยคําสุดทายจากสวนลึกแหงจิตใจของผมที่ขอมอบใหก็คือ

“การตัดสนิใจคือบิดาแหงการกระทํา และการลงมือทํา คือการเริ่มตนที่แทจริง”

จนกวาจะพบกันอีกครั้ง

รักยิ่ง วันชัย ประชาเรอืงวิทย

162